ตอนที่ 27 : ความลับ

2358 คำ
  มี่อิงจ้องมองเฟิ่งเจี๋ยแล้วยกมือปากป้องหัวเราะคิกคัก ซือจงที่ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นท่าทางของนางก็อดหัวเราะตามไม่ได้เช่นกัน "พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน!" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึม ทั้งสองจึงเม้มปากแน่น สงบท่าทีลง แต่มี่อิงก็ยังคงอมยิ้มอยู่ที่มุมปากอยู่ดี เมื่อได้ช้อนตามองใบหน้าคุณชายโจวอีกเป็นครั้งที่สอง ใครจะไปคาดคิดว่าคุณชายโจวจะใส่ชุดหนังสัตว์สีน้ำตาลที่ดูพะรุงพะรังนั่นออกไปจับโจร! หรือว่าจะเป็นรสนิยมของคุณชายกันนะ? อาจจะเป็นเพราะข้าไม่เคยเห็นชุดแปลกประหลาดเช่นนั้นด้วยกระมังจึงรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่มันติดตาข้าไปแล้วเสียด้วยสิ… "มี่อิง...ไฉนเจ้าถึงเข้ามาหาข้ายามวิกาลเช่นนั้น" เสียงทุ้มเข้มของคุณชายโจว ทำให้นางหลุดจากห้วงแห่งความคิดทันที "ใกล้รุ่งสางแล้ว บ่าวเลยเข้ามาจัดอาภรณ์ให้คุณชายเจ้าค่ะ มีแต่คุณชายต่างหากที่กลับเข้ามาผิดเวลา แล้วชุดนั้นก็..." มี่่อิงหลุบตา เอ่ยตอบเสียงแผ่ว จริงด้วย! ข้าใช้เวลาอยู่ที่เรือสำเภานั่นนานจนเกือบจะรุ่งสาง รอบนี้เป็นข้าเองที่ไม่ระวัง หาใช่ความผิดนาง "ชุดนั้นซือจงก็ใส่" เฟิ่งเจี๋ยโพล่งตอบ ซือจงที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกโยนคำพูดใบหน้าฉายความงุนงงเล็กน้อย "อะ อะไรกันขอรับท่านโหว" "เจ้าออกไปจับโจรกับข้า แล้วบังคับให้ข้าใส่ หรือไม่จริงกันเล่า" เฟิ่งเจี๋ยเหลือบตามองซือจงข่มขู่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะชักสายตากลับมาดังเดิม ซือจงมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยในคราแรก หลังจากนั้นก็ได้สติ หันหน้าไปตอบกับนางว่า "ใช่แล้วแม่นาง...ข้าคะยั้นคะยอให้ท่านโหวใส่เอง" มี่อิงขมวดคิ้วมุ่น มีสีหน้าไม่เข้าใจ "เพราะอะไรหรือ" "เพราะว่า….เอ่อ….คือ..." ซือจงที่โดนคาดคั้น สีหน้าพลันซีดขาวดุจกระดาษ เหงื่อกาฬผุดซึมทั่วใบหน้า เฟิ่งเจี๋ยเห็นว่าไม่ได้การจึงกระแอมเสียงดังและเอ่ยขัดขึ้น “ซือจง! นำหนังสือค้าขายของลาซูและท่านแม่มาให้นาง” “ขอรับท่านโหว” ซือจงรับคำเสียงดัง ก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือค้าขายคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในชั้นหนังสือมาวางตรงหน้าของมี่อิง “หนังสืออะไรหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ “หนังสือค้าขายทั้งสองเล่มนี้ เป็นฉบับเดียวกัน วันเวลาตรงกัน ทว่าข้ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เจ้าช่วยตรวจสอบดูได้หรือไม่" "เจ้าค่ะคุณชาย" มี่อิงรับคำสั่ง หลังจากนั้นก็ใช้มือเรียวสวยพลิกหน้ากระดาษเปิดหนังสือทั้งสองเล่มที่วางเคียงกัน เลื่อนสายตาอ่านทีละหน้าอย่างละเอียดพร้อม ๆ กัน จนเวลาล่วงไปครู่ใหญ่ หนังสือทั้งสองเล่มก็ถูกปิดลงพร้อมกับคำพูดหนึ่งที่เปล่งออกมาจากปากของนาง "ตัวเลขเจ้าค่ะ" เฟิ่งเจี๋ยชะงักสีหน้านิ่งและเอ่ยถาม "เจ้าหมายความว่าอย่างไร" "ตั้งแต่หน้าสาม ตัวเลขที่ปรากฏในหนังสือสองฉบับนี้ก็ไม่ตรงกันแล้วเจ้าค่ะ" "งั้นหรือ...แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร" มี่อิงเอ่ยต่อ "หนังสือสองฉบับนี้เป็นหนังสือค้าขายฉบับเดียวกัน ตัวเลขของยอดขายและกำไรที่ปรากฏจะต้องตรงกัน หากมีเล่มใดเล่มหนึ่งมีตัวเลขเปลี่ยนไป นั่นก็เท่ากับว่ากำลัง…" "ถูกโกง" เฟิ่งเจี๋ยโพล่งเอ่ยขึ้น "เจ้าค่ะ" มี่อิงหลุบตาเอ่ยตอบ "แล้วหนังสือเล่มไหนมีตัวเลขน้อยกว่ากันงั้นหรือ" "เล่มแรกเจ้าค่ะ" "หนังสือเล่มแรกเป็นของท่านพ่อท่านแม่ข้า ส่วนอีกเล่มเป็นของพ่อค้ารายหนึ่ง" นัยน์ตากลมโตเป็นประกายของมี่อิงฉายแววตกตะลึง "นั่นก็หมายความว่า...นายท่านกับฮูหยินโจวถูกโกงเงินหรือเจ้าคะ" เฟิ่งเจี๋ยพยักหน้าเชื่องช้า พลางเอ่ย "จากหลักฐานก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น...ข้าคอยตามสืบเรื่องการตายของท่านพ่อท่านแม่อยู่ ผู้ต้องสงสัยหนึ่งในนั้นคือสกุลสวี่และอีกสองวันข้างหน้า ข้าจะต้องไปที่จวนสกุลสวี่นั่น เจ้ายินดีจะติดตามข้าไปด้วยหรือไม่" มี่อิงตอบออกไปอย่างไม่ลังเลใจ "ยินดีเจ้าค่ะ" "ดี!" "แล้วข้าน้อยล่ะขอรับท่านโหว” ซือจงเอ่ยขัดขึ้น เห็นพูดคุยกันจึงอยากมีส่วนร่วมด้วย “นางเป็นสตรี ละเอียดละอ่อนกว่าเจ้า จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าเจ้า เจ้าน่ะ! ค่อยติดตามข้าไปตอนที่จะใช้กำลังก็เพียงพอ" "ขอรับท่านโหว" ทันทีมี่อิงออกไปจากเรือนจ้วนสือแล้ว ซือจงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย "เหตุใดท่านโหวถึงยอมบอกเรื่องนี้กับนางล่ะขอรับ" เฟิ่งเจี๋ยหลับตาเอ่ยไป เอานิ้วมือนวดหว่างคิ้วไป "ข้าไม่อยากให้นางสงสัยในตัวข้า" "จริงหรือขอรับ แต่ข้าน้อยว่า...ท่านโหวอยากใกล้ชิดนางมากกว่ากระมัง" เฟิ่งเจี๋ยชำเลืองตามอง เอ่ยตะคอกเสียงเย็น "ซือจง! ข้าใช้ให้เจ้าออกความเห็นหรือ" "ขะ ขออภัยขอรับท่านโหว"   อากาศปลอดโปร่งในยามเว่ย แสงแดดอ่อนจางแขวนตัวลอยอยู่บนท้องฟ้า สายลมกลางวันยามสารทฤดูให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป มือเรียวงามของมี่อิงหยิบผ้าที่เปียกชุ่มด้วยน้ำใสสะอาด ขึ้นมาบิดให้แห้งทีละตัว โยนลงตะกร้าสานและนำมาสะบัดตากบนราวไม้ตากผ้าที่ขึงไว้ด้วยเชือก ขณะที่สองมือไม่ว่างเว้น ความคิดในหัวสมองก็เช่นเดียวกัน จู่ ๆ คุณชายโจวก็มาบอกความลับให้ฟัง ถึงจะแปลกใจแต่กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากคุณชายกล้าเปิดเผย ก็เท่ากับว่าข้าคือผู้ที่ไว้ใจได้ แต่หนังสือค้าขายสองฉบับนั่นเกี่ยวข้องกับสกุลสวี่หรือไม่นะ… หากใช่! การสืบเรื่องราวครั้งนี้ของคุณชายโจวคงน่าลำบากใจไม่น้อย ฮึก! ฮืออ อ และคงไม่เกี่ยวกับเสียงร่ำไห้… ดะ เดี๋ยว! มี่อิงหลุดจากห้วงภวังค์แห่งความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงร่ำไห้บางอย่างแว่วเข้ามาในโสตประสาท เสียงร่ำไห้นั้นแว่วมาไกล ๆ ได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่ก็รับรู้ว่าตนเองไม่ได้หูฝาดและผีสางคงไม่ออกมาตอนกลางวันเป็นแน่ ด้วยสัญชาตญาณนี้ นางจึงสะบัดผ้าตัวสุดท้ายแขวนบนราวไม้ตากผ้า และรีบสาวเท้าเดินไปตามต้นเสียงนั้นทันที... จนในที่สุด ก็มาหยุดด้านหลังสวนของจวนที่อยู่ติดกับสุสานบรรพบุรุษสกุลโจว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดคิด นางมองเห็นแผ่นหลังบอบบางของสตรีนางหนึ่งกำลังสั่นระริก นั่งหันหลังก้มศรีษะร่ำไห้อยู่ ดูจากการแต่งกายแล้ว สตรีผู้นี้จะต้องเป็นบ่าวในเรือนเป็นแน่ แต่เป็นใครคงไม่สำคัญ นางคงทุกข์ใจไม่น้อยถึงได้มาแอบร่ำไห้ที่นี่ เข้าไปดูนางเสียดีกว่า... สิ้นสุดความคิด มี่อิงจึงใช้มือเลิกกระโปรงผ้าต่วนขึ้น ค่อย ๆ ยกเท้าก้าวย่องเข้าไปหานางอย่างเชื่องช้า เดินหลบเลี่ยงไม่ให้เหยียบเศษใบไม้ ดอกไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน ระมัดระวังให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ก่อนที่จะเข้าไปนั่งเคียงข้างนาง พลางเอ่ยเสียงค่อย "เจ้าเป็นอะไรหรือ...ไยถึงแอบมานั่งร่ำไห้อยู่ที่นี่" บ่าวสาวผู้นั้นเมื่อได้ยินเสียงของมี่อิง พลันยกมือขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ออกมาหนักกว่าเดิม มี่อิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจและทำตัวไม่ถูก "นะ นี่เจ้า...อย่าร้องไห้ไปเลย มีอะไรก็บอกกับข้าได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องเจ้าให้ผู้ใดรับรู้" สิ้นเสียง บ่าวสาวผู้นั้นก็เข้าไปโผกอดมี่อิงแน่น ก่อนที่จะร้องคร่ำครวญเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ "ขะ ข้าเสียใจ...ฮืออ อ" มี่อิงที่โดนบุ่มบ่ามเข้าสวมกอด สะดุ้งโหยงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ขัดขืน นางใช้มือลูบไปที่แผ่นหลังของบ่าวสาวช้า ๆ เพื่อปลอบประโลม "เจ้าใจเย็นลงก่อน ร่ำไห้ไป ตาเจ้าจะบวมเปล่า ๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า...เจ้าเสียใจเรื่องอันใดหรือ" “ขะ ข้า…" บ่าวสาวสะอึกสะอื้น พยายามเปล่งเสียงเล่าเรื่องราวแสนเจ็บปวดออกมาทางปลายลิ้นอย่างสุดความสามารถ "...ขะ ข้าถูกคนรักเลิกราไปแต่งงานกับสตรีอื่น” นัยน์ตากลมสวยของมี่อิงทอประกายระยับ อดสงสารบ่าวสาวผู้นี้ไม่ได้ สตรีย่อมเข้าใจความรู้สึกของสตรีด้วยกันเป็นอย่างดี ความใฝ่ฝันของหญิงสาวจะมีอะไรนอกเสียจากการมีครอบครัวที่อบอุ่นและการได้คู่ครองกับชายที่ตนเองรัก ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก... บ่าวสาวสะอื้นไห้ ยื่นกระดาษที่อยู่ในมือส่งให้มี่อิงอ่าน ขณะที่นางยังคงก้มหน้าร่ำไห้อยู่ “คนรักของข้าส่งจดหมายมาให้ข้า ขอตัดสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อใยกับข้า มิหนำซ้ำยังบอกว่ากำลังจะแต่งงานภายในสองสามวันนี้ ฮือออ อ” มี่อิงยื่นมือรับกระดาษจดหมายแผ่นนั้นยกขึ้นมาอ่านจนจบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่ "หากชายผู้นั้นไม่ได้เกิดมาคู่กับเจ้า เจ้าก็หาใหม่เสีย ไม่เห็นจะเป็นไร” "เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าคงไม่เคยมีความรักเหมือนกันกับข้า" นางใช้มือปาดเช็ดคราบน้ำตา เงยหน้าขึ้นด้วยโทสะเล็กน้อย ทันทีที่ดวงตาประสาน ทั้งสองก็ผละตัวออกจากกันโดยสัญชาตญาณ เพราะคนเบื้องหน้าของมี่อิงก็คือ 'เซี่ยวเซี่ยว' คู่อริตัวฉกาจ หาใช่ผู้อื่นอย่างที่นางคาดคิด นี่เจ้า! นี่เจ้า! ทั้งสองยกนิ้วชี้ไปที่ใบหน้าของกันและกันด้วยความตกใจ "เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้ามากอดข้าทำไม หรือว่า...เจ้าซ่อนมีดเอาไว้ในมือ" เซี่ยวเซี่ยวโวกเวกโวยวาย ขณะที่สายตานางสอดส่ายมองหาด้ามมีดในมือของมี่อิงไม่หยุด "อะไรของเจ้า! คิดว่าข้าอยากจะกอดเจ้านักหรือ หากข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้า ป่านนี้เจ้าก็คงเป็นวิญญาณไปแล้ว” มี่อิงเหยียดปาก เอ่ยหน้านิ่ว “เช่นนั้นเจ้าเข้ามาหาข้าทำไม หากมิได้ประสงค์ร้าย” “ข้ามาที่นี่ก็เพราะทนเสียงร่ำไห้ของเจ้าไม่ได้ต่างหากเล่า หากรู้ว่าเป็นเจ้าตั้งแต่แรก ข้าคงจะไล่เจ้าเสียมากกว่ามานั่งปลอบเจ้าอยู่แบบนี้” “นี่! เจ้ากล้าไล่ข้าหรือ” เซี่ยวเซี่ยวแผดเสียงดัง “เหตุใดจะไม่กล้า…แล้วนี่เจ้าเศร้าอยู่จริงหรือไม่ ที่เห็นยืนเถียงข้าฉอด ๆ อยู่นี่คงหายดีแล้วกระมัง" สิ้นเสียง เซี่ยวเซี่ยวก็สงบท่าทีลงราวกับเป็นคนละคน นางสูดจมูก หันหลังให้อีกฝ่าย เอ่ยด้วยความอดสูใจ “สำหรับเจ้าคงเป็นเรื่องน่าขันอย่างนั้นสินะ เอาเลย...เจ้าอยากไปป่าวประกาศที่ไหนก็แล้วแต่เจ้า อยากล้อเลียนข้าก็สุดแล้วแต่ใจเจ้า” สายลมที่ว่างเปล่า มี่อิงกลับสัมผัสได้ถึงจิตใจนางที่ว่างเปล่ามากกว่านั้น ถึงแม้จะมองนางผ่านแผ่นหลังแบบบาง แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่านางกำลังกลับไปสู่มุมอ่อนแอนั้นอีกครั้งหนึ่ง ความรักอย่างนั้นสินะ… เป็นความรักที่ทำให้นางที่ไม่ยอมคนมีท่าทีสงบเสงี่ยมลงเช่นนี้ คนอย่างนางต้องฮึดสู้มิใช่หรือ? เหตุใดถึงยอมปล่อยให้ความรักที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้เข้ามาทำร้ายหัวใจด้วย ดูไม่เป็นตัวนางเอาเสียเลย “เจ้าเชื่อได้อย่างไร...ว่าจดหมายนี่ ส่งมาจากชายหนุ่มที่เจ้ารักจริง ๆ หากมีผู้ใดปลอมแปลงมันขึ้นมาล่ะ” มี่อิงโพล่งเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศเงียบงันและเศร้าโศก ดวงตาของเซี่ยวเซี่ยวเป็นประกายวูบ คำพูดของมี่อิงเหมือนดั่งแสงสว่างที่ฉุดนางให้ขึ้นออกมาจากหลุมแห่งความโศกเศร้าอาดูรอย่างมีความหวังอีกครั้ง “จะ จริงหรือ” “ข้าไม่ได้จะพูดเพื่อให้เจ้าสบายใจหรอกนะ เลิกร้องไห้เถิด! ไฉนถึงไม่ออกไปหาความจริงแล้วตอบจดหมายนั่นกลับเสีย! นัดชายหนุ่มคนรักของเจ้าออกมาประชันหน้า เอ่ยความรู้สึกรักที่มากล้นของเจ้าให้ชายผู้นั้นฟัง ถามความจริงออกมาจากปากของเขาให้ได้ หากชายผู้นั้นยังยืนกราน ก็ช่างปะไร! เชิดหน้าออกมาหาชายหนุ่มคนใหม่แบบไม่ติดค้าง อย่างนั้นไม่ดีหรอกหรือ” หลังจากนั้นน้ำตาของเซี่ยวเซี่ยวที่เอ่อคลอขอบตาก็ไหลหลากไม่หยุดราวกับเขื่อนกั้นทะเลสาบจิ้นหยางแตก น้ำตาบ่อแรกคือความเสียใจ น้ำตาบ่อที่สองคือความซาบซึ้งใจ นางไม่คิดว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของมี่อิงคนที่นางมองเป็นศัตรูได้ “มี่อิง…เจ้าไม่เกลียดข้าหรอกหรือ" "ถึงข้าจะไม่ค่อยชอบการแสดงออกของเจ้านัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเกลียดเจ้าเสียหน่อย" "มี่อิง...ข้าขอโทษ” “จะ เจ้าขอโทษข้าทำไมกัน” เพราะไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเซี่ยวเซี่ยว นางจึงอึ้งและทำตัวไม่ถูก นางล้วงมือเข้าไปในเสื้อชั้นในคว้าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวลผืนบางส่งยื่นให้เซี่ยวเซี่ยว พลางเอ่ย "เรื่องมันผ่านมาแล้ว ช่างเถิด...เช็ดน้ำตาเสีย หน้าเจ้ายามนี้ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย" เซี่ยวเซี่ยวระบายยิ้มบาง ๆ ยื่นมือรับ พลางเอ่ย "ขอบคุณนะมี่อิง...ข้าจะลองส่งจดหมายไปตามที่เจ้าชี้แนะดู" “อื้ม” มี่อิงทอยิ้มอ่อนจาง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป แล้วรอยยิ้มนั้น....ก็เป็นรอยยิ้มแห่งมิตรภาพครั้งแรกของพวกนางทั้งสอง  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม