สารทฤดูมาเยือน
ใบไม้และกลีบดอกไม้พร้อมใจกันผลัดตัวร่วงหล่นลงจากต้น จวงมามาจึงสั่งการให้บรรดาบ่าวใช้หลายคนทำความสะอาดพื้นทั่วทั้งจวนตามระเบียบ
เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวเคล้ากับเสียงไม้กวาดขูดกับพื้นปูน พวกนางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน การทำงานจึงไม่น่าเบื่อ
"นี่เจ้า! รู้หรือไม่ว่าฮูหยินและนายใหญ่สวี่มาที่จวนของเราเมื่อวันก่อน"
"เหตุใดจะไม่รู้กันเล่า ข้าเห็นมากับตา ข้าว่า...คุณหนูสวี่จะต้องกลับมาหาคุณชายเป็นแน่"
บทสนทนาของบ่าวสาวกลุ่มหนึ่งดังขึ้น และดังพอที่จะทำให้มี่อิงที่ยืนจับไม้กวาด กวาดพื้นอยู่ทางด้านหลังได้ยินอย่างชัดเจน
แล้วก็อีกเช่นเคย…
พอได้ยินคำว่า 'สกุลสวี่' นางก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง พยายามไม่สนใจอะไรและกวาดพื้นต่อ
"มี่อิง...ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนเข้าไปต้อนรับสกุลสวี่ เจ้าคิดเช่นเดียวกับพวกข้าหรือไม่" บ่าวหน้ายาวตะเบ็งเสียงถาม
ว่าจะทำเป็นเมินไม่ได้ยินอยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็ตะโกนถามข้าเสียจนได้...
"ใช่!" นางตะโกนตอบกลับไปสั้น ๆ
หลังจากนั้น บรรดาสาวใช้ที่ยืนเกาะกลุ่มก็ทิ้งไม้กวาดลงพื้นและวิ่งกรูกันเข้ามาหาพลางเกาะแขนทั้งสองข้างของนางแน่นหนึบราวกับปลาหมึก
"มี่อิง…เจ้าเห็นคุณหนูสวี่มาด้วยหรือไม่ คุณหนูสวี่สีหน้าเป็นเช่นไร"
"ใช่ ๆ แล้วเจ้าล่ะ คิดเช่นเดียวกับพวกข้าหรือไม่"
มี่อิงสูดลมหายใจลึกสองที ก่อนที่จะสะบัดแขนพวกนางให้หลุดออก "พอที! ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น อีกอย่างเรื่องของนาย บ่าวอย่างเราไม่ควรจะไปก้าวก่ายไม่ใช่หรือ"
"โธ่...มี่อิง ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยากรู้ เจ้าอย่าเคร่งเรื่องกฏระเบียบเสียหน่อยเลย บอกพวกข้ามาเถิด" อิ้งหงพยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม
มี่อิงหรี่ตามองอิ้งหงและเอ่ย "ถึงแม้จะคะยั้นคะยออย่างไร ข้าก็ไม่มีมูลอะไรจะบอกพวกเจ้า"
"อิ้งหง...อย่าพยายามไปคาดคั้นนางเลย นางคงไม่อยากพูดคุยอะไรกับพวกเรา" บ่าวหน้ายาวเอ่ยตัดบทขึ้น
"ใช่ ๆ " เหล่าบ่าวสาวที่ยืนรายล้อมเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกัน
หลังจากนั้น บรรดาบ่าวสาวก็พากันปล่อยมือจากแขนของมี่อิง หันหลังสลายตัวออกไปคนละทิศคนละทาง
"นี่พวกเจ้า!" นางอุทานพลางยื่นปากด้วยความน้อยใจ เฮอะ! อะไรกัน พอข้าไม่มีประโยชน์ก็ทิ้งเลยงั้นหรือ? คบไม่ได้เลยสักคนเดียว
มี่อิงก้มศีรษะกวาดพื้นต่อ ทั้ง ๆ ที่ในใจยังวางไม่สนิท พอมาคิด ๆ ดูแล้ว…ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าวันนั้นในเรือนเยว่สือ พวกเขาคุยอะไรกันบ้าง? หากเป็นเรื่องงานแต่งงานของคุณชายจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ ไยใจข้าถึงรู้สึกห่อเหี่ยวนัก
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่บริเวณนั้นแล้ว ก็มีเพียงแค่นางที่ยืนกวาดพื้นอยู่ บรรยากาศรอบด้านจึงเงียบเชียบลง
ทว่าเวลาล่วงไปชั่วครู่ เสียงเงียบงันก็พลันทลายด้วยเสียงของฝีเท้าปริศนาคู่หนึ่ง
ตึ่ก...ตึ่ก...
โสตประสาทของมี่อิงตั้งรับ เสียงฝีเท้าคู่นั้นกระทบกับพื้นปูนดังขึ้นและใกล้เข้ามาหานางเรื่อย ๆ เพราะเวลาผ่านไปไม่นาน นางจึงไม่ได้สนใจอะไรและคิดว่าเป็นสหายบ่าวใช้ในจวนสักคนที่เดินกลับมาหาอีกครั้ง จึงโพล่งเอ่ยความคิดตัวเองออกไปอย่างไม่คิดอะไร ขณะกำลังยืนหันหลังทำหน้าที่ของตนอยู่
"เจ้ายอมกลับมาอ้อนวอนข้าอีกครั้งสินะ…หากอยากรู้ความคิดความอ่านของข้าจริง ๆ ละก็...ข้าจะยอมบอกเจ้าก็ได้"
"ข้อแรก สกุลสวี่มาที่จวนของเราจริง แต่ข้าเห็นใบหน้าของฮูหยินและนายท่านสวี่ดูไม่สบอารมณ์นัก นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้มาเจรจาเรื่องงานแต่งงานเป็นแน่"
"ข้อที่สอง ข้าไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนูสวี่ ฉะนั้นสิ่งที่เจ้ากล่าวลือกันไปต่าง ๆ นานา ย่อมผิดทั้งสิ้น เลิกลืออะไรผิด ๆ เสียเถิด"
"ส่วนข้อสุดท้าย คุณชายนัดคุยกับฮูหยินและนายท่านสวี่ที่เรือนเยว่สือที่เคยถูกไฟไหม้ เจ้าว่าไม่แปลกหรอกหรือ เรือนรับรองก็ไม่มีผู้ใด สรุปแล้วคือ…"
"ข้าไม่มีทางคุยเรื่องแต่งงานกับสกุลสวี่เป็นแน่"
"ใช่..." มี่อิงโพล่งเอ่ยตอบไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของคุณชายโจว นางเบิกตากว้างโตโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะหันตัวขวับมองทันใด
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
"คะ คุณชาย...มาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วมาได้อย่างไรเจ้าคะ" มี่อิงพูดจาติด ๆ ขัด ๆ ด้วยความประหม่า
"จวงมามาพาข้าออกมาเดินเล่น ข้าเดินของข้ามาเรื่อย ๆ จำกลิ่นกายของเจ้าได้ จึงเดินมาหา" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย
นั่นก็หมายความว่าคุณชายโจวได้ยินทุกคำพูดของข้าแล้วละสิ!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็พลันนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่ากล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิด "บ่าวขอโทษเจ้าค่ะคุณชาย บ่าวผิดไปแล้ว จะลงโทษอย่างไรบ่าวก็ยอมเจ้าค่ะ"
นางรู้ดีว่าหากแก้ตัวไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะหลักฐานที่มัดตัวคือคำพูดที่ออกมาจากปากของนางเองทั้งสิ้น
"ช่างเถิด...ข้าอยากกลับเรือน เจ้าพาข้าไปที"
คิ้วเรียวสวยของมี่อิงขมวดมุ่นด้วยความฉงนอย่างคาดไม่ถึง ครั้งนี้ความผิดของข้าเด่นชัดที่สุด นึกว่าคุณชายโจวจะโกรธแล้วลงโทษเสียอีก ไฉนถึงได้กลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ไปเสียได้
เมื่อหลุดจากห้วงแห่งความคิด นางก็ลุกขึ้นยืนขนาบข้าง โอบประคองคุณชายโจวเดินไปที่เรือนจ้วนสือ
ในระหว่างทางไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของคุณชายโจว ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย นางปรารถนาให้เขาว่ากล่าวตักเตือนหรือแม้แต่เอ่ยปากกร่นด่าออกมาสักคำก็ยังดี ไม่เช่นนั้นคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่
"เจ้าพูดถูก...ข้าน่ะ! ไม่คิดจะแต่งงานกับเอ้อร์หนิงอีกแล้ว"
ในที่สุดคำพูดก็หลุดออกมาจากปากของคุณชายโจว หาใช่คำต่อว่าอย่างที่คาดหวัง ทว่าเป็นคำพูดที่ทำให้ทุกอย่างรอบตัวของมี่อิงเคลื่อนตัวช้าลงและหยุดหมุนไปชั่วขณะ
นางชะงักฝีเท้า ผินหน้ามองใบหน้าอันหล่อเหลาของคุณชายโจวที่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ สาดกระทบ ก่อนที่จะระบายยิ้มที่มุมปาก จู่ ๆ ในใจนางก็รู้สึกดีใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ในราตรีอันเงียบสงัด
ช่วงเวลาที่ผู้คนตามบ้านเรือนต่างหลับใหล ทว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งในแคว้นต้าหมิงที่ไม่เป็นเช่นนั้น
ท่าเรือตะวันออกลุ่มแม่น้ำฮวงโห มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ก่อนที่จะมีชายหนุ่มร่างกำยำกลุ่มใหญ่ สวมชุดหนังสัตว์ทั้งตัว เดินลงมาจากเรือสำเภาลำนั้น พวกเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนชาวมองโกล แอบเหยียบย่ำแผ่นดินต้าหมิงในยามวิกาลเพื่อลักลอบค้าขายและขนย้ายสินค้าอย่างลับ ๆ เข้าไปเก็บใต้ท้องเรือ
อีกฟากหนึ่งของหอสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
เฟิ่งเจี๋ยและซือจงยืนจับตามองพฤติกรรมของชาวมองโกลกลุ่มนี้อยู่ไม่ห่าง โดยเฉพาะ ลาซู พ่อค้าใหญ่ชาวมองโกลที่คอยยืนคุมเหล่าคนงานและเชลยอยู่ด้านหน้าของเรือ
ซือจงใช้มือหมุนกล้องส่องทางไกลจับจ้องสำรวจทั่วเรือ เห็นกลุ่มชาวมองโกลเดินเป็นกระจุกใหญ่ ดูไม่เป็นระเบียบนัก มองไกล ๆ ดูเหมือนกับฝูงมดงานไม่มีผิด แต่ละคนแบกสินค้าหนักอึ้งไว้เหนือบ่า ทยอยเดินต่อแถวเรียงราย เคลื่อนย้ายสินค้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทว่าใบหน้าพวกเขากลับไร้ความรู้สึกราวกับถูกควบคุมด้วยจิตวิญญาณ คงไม่ต้องเดาว่าหากทำงานเชื่องช้าหรือผิดพลาดไป ชะตากรรมคนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร
"เรือสำเภาลำนี้มาจอดเทียบท่าเดือนละครั้ง สองครั้งเท่านั้น อีกทั้งวันเวลายังหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ซ้ำกันแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยและหลุดรอดจากการจับกุมได้ง่ายขอรับ" ซือจงกล่าวรายงานในขณะที่สายตายังคงจับจ้องผ่านกล้องส่องทางไกลอยู่
"งั้นหรือ...รอบคอบไม่น้อย" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเย็น คิ้วตาผ่อนคลาย ทอดมองเรือที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาจนแทบจะกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ในม่านตา พลางเอ่ย "ถึงแม้จะมีสวี่จิ้นไฉและใต้เท้าหลี่คอยหนุนหลัง แต่ก็ยังรู้สึกเสี่ยงอยู่ดีสินะ…"
"ขอรับท่านโหว ลาซูเก่งเรื่องค้าขาย แต่ก็ยังขี้ขลาดไม่น้อย ชายผู้นี้เคยสู้รบในสงครามก่อนจะมาจับพลัดจับผลูเป็นพ่อค้าขอรับ"
"งั้นหรือ" เฟิ่งเจี๋ยพยักหน้าเนิบช้า นัยน์ตาทอประกายวูบเจิดจรัส "อย่างนี้ข้าคงได้ยืดเส้นยืดสาย วางมือไปนาน ชักสนุกเสียแล้วสิ" เขายกยิ้มเย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ "แล้วสหายข้า...มาแล้วใช่หรือไม่"
"ขอรับ สหายของท่านโหวซ่อนตัวอยู่ที่ห้องเก็บของในเรือแล้วขอรับ" ซือจงกล่าว
"ดี! เช่นนั้น...เข้าไปกันเถิด"
"ขอรับท่านโหว"