ในเช้าวันรุ่งขึ้น ณ ศาลาหินอ่อนริมสระบัว หย่งหมิงนั่งอยู่บนม้านั่งไม้แกะสลักเรียบง่าย ไม่ได้ประทับบนบัลลังก์หรือในตำหนักราชสำนักเช่นครั้งก่อน บรรยากาศในศาลาเงียบสงบ มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและเสียงจิ้งหรีดจากสวนโดยรอบ
ลี่เหยียนถูกนำตัวมายังที่แห่งนี้โดยราชองครักษ์ ใบหน้าของนางดูสงบนิ่ง แต่หากมองลึกลงไปในดวงตา ยังคงเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ หย่งหมิงไม่ได้มองนางโดยตรง เขาหันไปทางบึงบัวที่เต็มไปด้วยดอกบัวขาวอันบริสุทธิ์
“ลี่เหยียน” เสียงของหย่งหมิงดังขึ้น แผ่วเบาแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
“เจ้ายังยืนกรานว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำไปนั้นถูกต้องใช่หรือไม่?”
ลี่เหยียนเงยหน้ามองหย่งหมิง นางกัดริมฝีปากก่อนจะกล่าว
“เพคะ ทุกสิ่งที่ข้าทำ ข้าทำเพื่อปกป้องสิ่งที่ข้าเชื่อ ข้ารู้ดีว่าการกระทำเหล่านั้นอาจดูทรยศต่อท่าน... และหลิงฮวา... แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่น”
หย่งหมิงนิ่งฟังโดยไม่กล่าวตอบ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ แต่ในใจกลับว้าวุ่น เขาไม่ต้องการให้ลี่เหยียนพบจุดจบที่โหดร้าย แต่เขาก็ไม่อาจละเลยความผิดร้ายแรงที่นางได้กระทำ
หลิงฮวาซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง รวบรวมความกล้าก้าวเข้ามาข้างหน้า นางคุกเข่าลงต่อหน้าหย่งหมิง
“หย่งหมิง ข้าขอร้องอีกครั้ง ลี่เหยียนอาจทำผิด แต่ข้าเชื่อว่านางยังมีความดีในตัว โปรดอย่าตัดสินนางด้วยโทษที่รุนแรง”
สายตาของหย่งหมิงหันมามองหลิงฮวา ในแววตาของเขามีทั้งความลังเลและความหนักใจ
“หลิงฮวา เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังเผชิญแรงกดดันมากเพียงใด? หากข้าเลือกที่จะละเว้นนาง ข้าอาจถูกมองว่าไร้ความเด็ดขาด”
หลิงฮวาพยักหน้า
“ข้ารู้ และข้าขอรับผิดชอบในสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ข้าไม่อาจทนเห็นสหายของข้าต้องถึงแก่ชีวิต”
หย่งหมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาหันไปมองลี่เหยียนที่ยังคงคุกเข่าอยู่
“ข้าจะไม่ประหารเจ้า แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าลอยนวล เจ้าจะถูกเนรเทศออกจากอาณาจักร เจ้าไม่มีสิทธิ์กลับมาอีก นี่คือการตัดสินใจสุดท้ายของข้า”
หลังการตัดสินใจของหย่งหมิง ลี่เหยียนถูกส่งตัวไปยังคุกหลวงเพื่อรอการเนรเทศในวันรุ่งขึ้น หลิงฮวาเดินทางไปเยี่ยมนางเป็นครั้งสุดท้าย นางยืนอยู่หน้าประตูคุกโลหะหนาหนัก ใบหน้าของนางแฝงด้วยความเศร้าหมอง
“ลี่เหยียน” หลิงฮวาเรียกเบาๆ ขณะที่นางถูกนำตัวออกมาพบ
ลี่เหยียนมองหลิงฮวาด้วยสายตาที่ซับซ้อน มีทั้งความเสียใจและความโล่งใจในเวลาเดียวกัน
“หลิงฮวา ทำไมเจ้าถึงยังช่วยข้า ทั้งที่ข้าทำสิ่งเลวร้ายกับเจ้า?”
หลิงฮวามองสหายสนิทของนางด้วยแววตาอ่อนโยน
“เพราะข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ชั่วร้าย ข้าเชื่อว่าเจ้าถูกสถานการณ์บีบบังคับ และเจ้าก็เป็นสหายของข้า ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น”
น้ำตาคลอที่ดวงตาของลี่เหยียน นางพยายามซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง
“หลิงฮวา ขอบคุณที่เชื่อในตัวข้า ข้าสัญญาว่าหากข้ามีโอกาส ข้าจะกลับมาเพื่อไถ่โทษที่ข้าได้ทำไว้”
“อย่ารีบกลับมา” หลิงฮวาพูดเบาๆ
“แต่จงดูแลตัวเองให้ดี และหากวันหนึ่งเจ้ากลับมาด้วยหัวใจที่เปลี่ยนไป ข้ายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ”
ลี่เหยียนถูกพาตัวออกไป ทิ้งให้หลิงฮวายืนอยู่เพียงลำพัง นางหันกลับไปมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงของยามเย็น รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่าน ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ราวกับสะท้อนความไม่แน่นอนของโชคชะตา
ในใจของหลิงฮวา นางรู้ว่านี่อาจเป็นจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลี่เหยียน แต่นางยังคงมีความหวังว่าหนทางข้างหน้าจะนำพาทั้งคู่กลับมาพบกันในวันที่ดีกว่าเดิม
ท้องฟ้าตอนรุ่งเช้าแต้มด้วยสีฟ้าหม่น ดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่แสงแรกของวันเริ่มส่องลอดขอบฟ้ามาเบาๆ หย่งหมิงยืนอยู่ที่ลานฝึกทหาร พลางมองทหารหลวงที่กำลังซักซ้อมความพร้อม มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบที่เขาห้อยไว้ข้างเอว อีกข้างกุมผนังไม้ที่เย็นเฉียบ
เสียงฝีเท้าของหลิงฮวาดังขึ้นจากด้านหลัง นางไม่ได้ส่งเสียงเรียก แต่หย่งหมิงรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของนาง
“หลิงฮวา เจ้าตื่นแต่เช้าถึงเพียงนี้ มีสิ่งใดอยากกล่าวกับข้าหรือ?” หย่งหมิงเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับ
“ข้าต้องการเดินทางไปชายแดนกับท่าน” เสียงของหลิงฮวาชัดเจนและมั่นคง
หย่งหมิงหันมามองนาง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความแปลกใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายเพียงใด? ศัตรูที่เราต้องเผชิญไม่ใช่เพียงกองกำลังธรรมดา แต่คือผู้ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายอาณาจักรนี้”
“ข้ารู้” หลิงฮวาตอบ
“แต่ข้าก็รู้เช่นกันว่าอาณาจักรนี้ต้องการทุกความช่วยเหลือที่มี และข้าก็ไม่อาจยืนดูอยู่เฉยๆ ได้ ข้าอาจไม่ใช่นักรบ แต่ข้ามีความสามารถของตัวเองที่อาจมีประโยชน์ในสถานการณ์คับขัน”
หย่งหมิงมองนางนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“เจ้าช่างดื้อรั้นเสียจริงหลิงฮวา หากข้าปฏิเสธ เจ้าคงหาทางติดตามข้าไปอยู่ดี ใช่หรือไม่?”
หลิงฮวาเพียงยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่มีคำตอบใดจากนาง เพราะหย่งหมิงได้อ่านใจของนางได้อย่างถูกต้อง
“เช่นนั้น ข้าจะอนุญาตให้เจ้าไป แต่เจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของกองทหารหลวง และต้องปฏิบัติตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด” เขากล่าวเสียงหนักแน่น
หลิงฮวาพยักหน้า
“ข้าสัญญา”
การเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปชายแดนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทหารหลวงและกองกำลังสำรองได้รับคำสั่งเตรียมพร้อม หลิงฮวาได้รับมอบหมายให้เดินทางไปในฐานะผู้ช่วยฝ่ายเสบียงและกลยุทธ์ เพราะความสามารถของนางในการวางแผนและการอ่านสถานการณ์เป็นที่ยอมรับ
อู๋เฟิงหลินยืนมองขบวนการเตรียมพร้อมจากระเบียงหอคอย หย่งหมิงเดินเข้ามาหาเขาเงียบๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น
“เจ้ามองเห็นสิ่งใดบ้างในการเดินทางครั้งนี้?”
เฟิงหลินหันมามองหย่งหมิง ใบหน้าของเขาสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้ง
“ข้ามองเห็นเพียงเงามืดที่แผ่ขยายจากทิศตะวันตก เงานั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอาจครอบงำพวกเราได้ หากไม่มีแสงใดที่จะส่องนำทาง”
“หมายความว่าเรายังพอมีหวังใช่หรือไม่?” หย่งหมิงถาม
เฟิงหลินพยักหน้า
“หวังนั้นมีเสมอ แต่ผู้ที่จะแปรเปลี่ยนมันเป็นความจริงได้คือพวกเราเอง ท่านองค์ชาย หากเจ้าต้องการให้ความหวังนั้นคงอยู่ จงอย่าละทิ้งความเชื่อมั่นในตัวของผู้คน”
หย่งหมิงนิ่งคิดกับคำพูดนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าช่างรู้จักพูดเพื่อให้ข้าไม่หมดกำลังใจเสมอ”
เฟิงหลินยิ้มมุมปาก
“เพราะหน้าที่ของข้าคือการทำให้ท่านมองเห็นหนทาง แม้ในยามที่ท่านรู้สึกว่าทางข้างหน้ามืดมน”
ขณะที่การเตรียมพร้อมดำเนินไป ลี่เหยียนถูกนำตัวออกจากอาณาจักรตามคำสั่งเนรเทศ หลิงฮวามองตามขบวนที่นางเดินทางออกไป นางไม่รู้ว่าการจากลาครั้งนี้จะเป็นการลาครั้งสุดท้ายหรือไม่ แต่ในใจของนางยังคงอธิษฐานให้สหายเก่าของนางพบหนทางใหม่
เมื่อทุกอย่างพร้อม ขบวนทหารเริ่มออกเดินทาง หย่งหมิงขึ้นม้าศึก หลิงฮวาอยู่ในขบวนด้านหลังร่วมกับกองเสบียงและทีมสนับสนุน
“ไปกันเถอะ” เสียงของหย่งหมิงดังก้องนำทาง พร้อมกับเสียงแตรสัญญาณที่ประกาศให้ขบวนเริ่มเคลื่อนที่
สายลมที่พัดผ่านเป็นสายลมแห่งการเริ่มต้นใหม่ เส้นทางที่รออยู่ข้างหน้าเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ทุกคนในขบวนรู้ว่าพวกเขากำลังเดินทางเพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาเอง