ยามค่ำคืนเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ให้ไหวติงในเงาสลัว หลิงฮวานอนอยู่ในกระโจมเล็กที่ถูกจัดไว้ให้ในขบวนทัพ เธอหลับตา แต่จิตใจของเธอไม่ได้สงบลงเลย ภาพในความฝันที่ผุดขึ้นมาในยามค่ำนี้ไม่ใช่ภาพปกติ หากแต่เป็นภาพที่เธอหวาดกลัวที่สุด
เธอเห็นตัวเองยืนอยู่กลางสมรภูมิรบ เสียงกรีดร้องและเสียงดาบกระทบกันดังระงมรอบตัว ในมือของหลิงฮวาถือดาบเล่มหนึ่ง ดาบที่ส่องแสงแปลกประหลาดราวกับเปลวไฟ ทหารของศัตรูถาโถมเข้ามาหาเธอ แต่ในทุกครั้งที่เธอสะบัดดาบ ศัตรูเหล่านั้นจะล้มลงในพริบตา ราวกับพลังบางอย่างได้ดูดกลืนชีวิตของพวกเขาไป
เธอไม่สามารถควบคุมดาบได้ มันเหมือนมีชีวิตของมันเอง พลังที่ซ่อนอยู่ในดาบราวกับพลังที่รอวันปลดปล่อย ขณะที่เธอกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวัง จู่ๆ เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากควันและเปลวไฟ
“หลิงฮวา... เจ้าคิดว่าพลังนี้คือพรหรือคำสาปกันแน่?” เสียงนั้นดังก้อง แฝงด้วยความเย้ยหยัน
หลิงฮวาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลผ่านหน้าผาก หัวใจเต้นแรงจนเธอรู้สึกเหมือนมันจะหลุดออกมาจากอก
“มันก็แค่ฝัน... แค่ฝัน” เธอกระซิบกับตัวเอง แต่ส่วนลึกในจิตใจรู้ดีว่าภาพในความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เจ้าฝันร้ายหรือ?” เสียงของหย่งหมิงดังขึ้นจากนอกกระโจม ก่อนที่เขาจะเปิดผ้าม่านเล็กๆ เข้ามา ใบหน้าของเขาแสดงความเป็นห่วงชัดเจน
“ข้า... ข้าสบายดี” หลิงฮวาตอบกลับ น้ำเสียงของเธอพยายามซ่อนความหวาดกลัว
“เจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนที่สบายดีเลย” หย่งหมิงเดินเข้ามาใกล้และนั่งลงข้างเธอ
“หากมีสิ่งใดที่รบกวนจิตใจเจ้า เจ้าสามารถบอกข้าได้เสมอ”
หลิงฮวาเพียงแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เธอก้มหน้ามองมือตัวเองที่สั่นเล็กน้อย หย่งหมิงจับมือเธอเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
“เรามีเส้นทางที่ยาวไกลรออยู่ และเจ้ายังต้องการพลังของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น อย่าปล่อยให้ความกลัวทำให้เจ้าหมดกำลังใจ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คำพูดนั้นทำให้หลิงฮวารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากความกลัวที่เธอซ่อนลึกไว้ในใจได้
ในอีกมุมหนึ่งของอาณาจักร ลี่เหยียนยืนอยู่ในหุบเขาอันมืดมิด รอบตัวเธอมีคนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พวกเขาคือผู้คนที่เธอรวบรวมได้หลังถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินหลวง
“พวกเจ้าทุกคนคงเข้าใจดีว่าเราต้องการสิ่งใด” ลี่เหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “เราไม่ได้ถูกรังแกเพียงแค่จากผู้ปกครองที่เห็นแก่ตัว แต่ยังถูกข่มเหงจากสหายที่เราไว้ใจที่สุด”
สายตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น
“หลิงฮวา... หย่งหมิง... พวกเจ้าทำลายชีวิตของข้า แต่พวกเจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมแพ้?”
เธอยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ชายคนหนึ่งนำกล่องไม้มาให้ ภายในนั้นมีเอกสารโบราณที่ดูเก่าแก่
“นี่คือความลับของหลิงฮวา” ลี่เหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“มันจะเป็นอาวุธของเรา และจะเป็นจุดจบของพวกเขา”
คนในกลุ่มเริ่มกระซิบกระซาบถึงความหมายของสิ่งที่ลี่เหยียนพูด แต่เธอเพียงหัวเราะเบาๆ
“ข้าจะไม่ให้เจ้ารอนานนัก พวกเจ้าทุกคน จงเตรียมตัวให้พร้อม เราจะทำให้แผ่นดินนี้จดจำชื่อของเราไปตลอดกาล”
เธอหันกลับไปมองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านก้อนเมฆ ความเคียดแค้นในใจของเธอเปี่ยมล้น และเธอรู้ว่าเวลาที่เธอจะกลับมาทวงคืนทุกสิ่งใกล้เข้ามาแล้ว
เสียงเกือกม้าดังก้องท่ามกลางสายลมหนาว ขบวนของหย่งหมิงเดินทางผ่านป่าทึบมุ่งหน้าสู่ชายแดน พื้นดินเต็มไปด้วยรอยล้อเกวียนและรอยเท้าม้าที่บดลงบนดินชื้น หลิงฮวาขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ หย่งหมิง เธอจ้องมองเส้นทางข้างหน้าอย่างครุ่นคิด
“เจ้าดูเงียบไป” หย่งหมิงเอ่ยถาม ขณะที่สายตาของเขายังจับจ้องไปที่ถนนด้านหน้า
“ข้ากำลังคิดถึงสิ่งที่อู๋เฟิงหลินพูด” หลิงฮวาตอบเบาๆ “คำทำนายนั้น... มันเกี่ยวข้องกับข้าใช่หรือไม่?”
หย่งหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้าอีกต่อไป คำทำนายกล่าวถึงผู้หญิงผู้หนึ่งที่ถือครองพลังอันยิ่งใหญ่ และพลังนั้นจะตัดสินชะตากรรมของอาณาจักร”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้า... เป็นคนๆ นั้นหรือ?” หลิงฮวาถามกลับ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าคิดว่าเจ้าเป็นมากกว่าที่เจ้ารู้ตัว” หย่งหมิงตอบตรงไปตรงมา
“แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือมีพลังอะไร ข้าจะปกป้องเจ้า”
หลิงฮวาหลุบตาลง รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แฝงมากับคำพูดของหย่งหมิง แต่ในใจของเธอก็ยังคงสับสน
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย เสียงโห่ร้องดังมาจากแนวป่าด้านหน้า ทหารในขบวนหยุดชะงัก ดาบและหอกถูกชักออกมาอย่างรวดเร็ว
“ระวัง! ” ทหารคนหนึ่งตะโกน
หลิงฮวาจับบังเ**ยนม้าของเธอแน่น สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มเงาดำที่โผล่ออกมาจากป่า พวกเขาเป็นกลุ่มโจรที่ดูเหมือนจะรอซุ่มโจมตี
“ระวังตัว!” หย่งหมิงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะดึงดาบออกมาจากฝัก
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทันทีที่ผู้บุกรุกเข้าประชิด ทหารในขบวนของหย่งหมิงต่อสู้อย่างดุเดือด ขณะที่หลิงฮวาถือดาบในมือ แต่เธอยังคงลังเล เธอรู้ว่าหากเธอใช้พลังที่ซ่อนอยู่ มันอาจสร้างผลกระทบที่เธอไม่อาจควบคุมได้
ในจังหวะหนึ่ง พวกโจรพุ่งตรงมาหาเธอ หลิงฮวาหลับตาแน่นและยกดาบขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก่อนที่เธอจะลงมือ หย่งหมิงเข้ามาขวางและปัดศัตรูออกไป
“เจ้าต้องตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือหลบหนี!” หย่งหมิงตะโกน
คำพูดของเขากระตุ้นหลิงฮวา เธอสูดหายใจลึกและเริ่มต่อสู้อย่างมุ่งมั่น แม้จะยังไม่ได้ใช้พลังที่เธอซ่อนเร้น
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ขบวนของพวกเขาก็หยุดพักใกล้แม่น้ำเล็กๆ ทหารบางคนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่คนอื่นๆ ต่างช่วยกันเตรียมอาหารและดูแลอาวุธ
หลิงฮวายืนอยู่คนเดียวริมแม่น้ำ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ภาพสะท้อนในน้ำ เธอเห็นเงาของตัวเองที่สั่นเทา
“ข้าไม่สามารถหนีความจริงได้อีกต่อไป” เธอกระซิบ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เสียงของอู๋เฟิงหลินดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมถือม้วนตำราในมือ
“ข้ารู้ว่าข้ามีพลังบางอย่าง” หลิงฮวาหันกลับมามองเขา
“แต่ข้ากลัวมัน กลัวว่าหากข้าใช้พลังนี้ มันจะทำร้ายคนรอบตัวข้า”
อู๋เฟิงหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
“พลังของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกลัว แต่เจ้าควรกลัวตัวเองหากเจ้าปฏิเสธที่จะควบคุมมัน”
คำพูดนั้นทำให้หลิงฮวาเริ่มเข้าใจว่า การซ่อนเร้นพลังอาจไม่ใช่คำตอบ เธอจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน
ในขณะเดียวกัน หย่งหมิงก็กำลังวางแผนกับนายทหารระดับสูงในกระโจมใหญ่ พวกเขาได้รับข่าวสารจากสายลับว่า ศัตรูที่ชายแดนกำลังเตรียมโจมตีครั้งใหญ่
“เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์” หย่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ก่อนอื่น ข้าต้องแน่ใจว่าหลิงฮวาจะปลอดภัย”
ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกหนักใจ แต่เขาก็รู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะไม่ยอมให้หลิงฮวาต้องเผชิญอันตรายเพียงลำพัง