ตลาดใหญ่ในเมืองหลวงคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกันไปมา เสียงแม่ค้าเรียกแขกดังระงมทั่วถนน หลิงฮวาเดินข้างหย่งหมิงและอู๋เฟิงหลิน โดยทั้งสามเลือกชุดธรรมดาเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต
“หลิงฮวา เจ้าลองดูร้านนั้นสิ พวกผลไม้น่ากินมาก” หย่งหมิงชี้ไปยังแผงขายผลไม้สดที่เรียงราย
“ท่านลองชิมสิ” หลิงฮวาหันมายิ้มบางให้ “ท่านน่าจะหิวตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าจำได้ว่าท่านแทบไม่ได้กินอะไรเลย”
หย่งหมิงหัวเราะในลำคอ “ข้าไม่ค่อยหิวหรอก แค่อยากให้เจ้าลองดู”
ทันใดนั้น เสียงเรียกชื่อดังมาจากฝูงชน “หลิงฮวา!”
หลิงฮวาหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองตามเสียง ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนางกำนัลยืนอยู่กลางถนน
“ลี่เหยียน!” หลิงฮวาเอ่ยชื่อด้วยความตกใจ แต่เป็นความดีใจที่ฉายชัดในน้ำเสียง
ลี่เหยียนเร่งก้าวมาหา หลิงฮวารีบออกไปหานางและโผเข้ากอด สหายเก่าสองคนได้พบกันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน
“หลิงฮวา นี่เจ้าจริงๆ หรือ? ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!” ลี่เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ข้าก็เช่นกัน ไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบกันที่นี่ เจ้าสบายดีหรือไม่?” หลิงฮวาถามพลางมองสำรวจสหายเก่า
“ข้าสบายดี ตอนนี้ข้าทำงานเป็นนางกำนัลอยู่ในวังหลวง และเจ้าล่ะ? ข้าอยากรู้เรื่องราวของเจ้าเหลือเกิน” ลี่เหยียนตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
หย่งหมิงและอู๋เฟิงหลินที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลเพียงแลกเปลี่ยนสายตากัน อู๋เฟิงหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร
ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมถนน หลิงฮวาเล่าเรื่องราวที่เธอประสบพบเจอให้ลี่เหยียนฟัง ทั้งการเดินทางผ่านภูเขาและการเผชิญกับอันตราย
“ข้าไม่อยากเชื่อเลย เจ้าผ่านอะไรมามากมายจริงๆ” ลี่เหยียนพูดเสียงแผ่ว แต่ดวงตาของนางฉายแววครุ่นคิด
“ใช่แล้ว แต่ข้าก็โชคดีที่มีคนช่วย” หลิงฮวาหันไปมองหย่งหมิงและยิ้มอย่างจริงใจ
ลี่เหยียนยิ้มตอบก่อนจะหันไปถาม “แล้วตอนนี้เจ้ากับ...ท่านชายผู้นั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดหรือ?”
“ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน หย่งหมิงยังไม่ได้บอกข้า” หลิงฮวาตอบตามตรง
“เช่นนั้นหรือ...” ลี่เหยียนพูดเบาๆ ก่อนจะหันไปมองทางอื่น รอยยิ้มที่มุมปากดูเหมือนมีความหมายซ่อนเร้น
ทั้งสามพูดคุยกันไม่นานก่อนที่ลี่เหยียนจะกล่าวลาหลิงฮวา โดยอ้างว่าต้องกลับวังหลวงเพื่อทำงานต่อ
หลังจากลี่เหยียนเดินจากไป อู๋เฟิงหลินเดินเข้ามาหาหลิงฮวา “เจ้าคิดว่านางยังเหมือนเดิมหรือไม่?”
“แน่นอน นางคือลี่เหยียน สหายที่ข้ารักที่สุด” หลิงฮวาตอบโดยไม่ลังเล
อู๋เฟิงหลินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับเจตนาของลี่เหยียน...
หลังจากลี่เหยียนลาจากไป หลิงฮวายังคงพูดถึงสหายเก่าของนางด้วยความชื่นชม
“ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้พบลี่เหยียนอีกครั้ง นางเคยเป็นเหมือนพี่สาวของข้า” หลิงฮวาเล่าให้หย่งหมิงฟังขณะเดินกลับที่พัก
“เจ้าคงสนิทกันมาก” หย่งหมิงตอบเรียบๆ พลางมองสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของหลิงฮวา
“ใช่แล้ว นางเป็นคนที่อบอุ่นและใจดี ข้าเชื่อว่าถึงตอนนี้นางก็ยังคงเป็นเช่นนั้น” หลิงฮวายืนยัน
อู๋เฟิงหลินที่เดินตามหลังเงียบๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเวลาอาจเปลี่ยนคนได้?”
“หมายความว่าอย่างไร?” หลิงฮวาหันไปมองด้วยความสงสัย
“ข้าเพียงเตือนให้เจ้าอย่าเชื่อใจใครมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวังหลวง” อู๋เฟิงหลินตอบ เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของหลิงฮวาราวกับต้องการให้คำพูดของเขาตรึงอยู่ในใจของนาง
“นั่นลี่เหยียน สหายของข้า ข้าเชื่อมั่นในตัวนาง” หลิงฮวาตอบหนักแน่น
อู๋เฟิงหลินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง แต่ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจที่ปกปิดไว้ไม่ได้
ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่าง หลิงฮวายังคงตื่นอยู่ในห้องพักของตน นางกำลังวางแผนว่าจะพบลี่เหยียนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
“ข้าต้องเล่าให้ลี่เหยียนฟังให้มากกว่านี้ นางต้องอยากรู้แน่” นางพึมพำกับตนเอง
ในขณะเดียวกัน ที่อีกฟากของเมืองหลวง ลี่เหยียนนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนางในวังหลวง นางถือม้วนกระดาษเล็กๆ ที่บรรจุข้อมูลที่นางลอบจดระหว่างพูดคุยกับหลิงฮวา
“หย่งหมิง...” ลี่เหยียนกระซิบชื่ออย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับฉายแววเย็นชา
ประตูเปิดออกเบาๆ ก่อนที่ชายในชุดดำสนิทจะก้าวเข้ามา เขาคุกเข่าลงต่อหน้าลี่เหยียน “นายหญิง ข้าพร้อมรับคำสั่ง”
“เฝ้าดูพวกเขา อย่าให้คลาดสายตา” นางกล่าวสั้นๆ แต่หนักแน่น
“แล้วการลงมือ?” ชายผู้นั้นถามเสียงแผ่ว
ลี่เหยียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ยังไม่ใช่ตอนนี้ ข้าต้องการข้อมูลมากกว่านี้ แต่จงเตรียมพร้อมไว้”
ชายผู้นั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะลับหายไปในความมืด ทิ้งให้ลี่เหยียนจ้องมองแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
“หลิงฮวา... เจ้าช่างไร้เดียงสาเหมือนเคย” ลี่เหยียนพึมพำเบาๆ ดวงตาของนางส่องประกายเย็นเยือกที่หลิงฮวาไม่เคยเห็น