บทที่ 12: การเดินทางสู่ความจริง

1799 คำ
สายลมเย็นพัดผ่านผืนป่าทึบ ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทา ขบวนเดินทางของหย่งหมิงและหลิงฮวายังคงมุ่งหน้าไปยังชายแดน เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดินชื้นดังก้องเป็นจังหวะ ขณะที่ความเงียบครอบงำทุกคน หลิงฮวาขี่ม้าตามหลังหย่งหมิง หัวใจของเธอรู้สึกอึดอัดและไม่สงบ เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในอากาศ รอบข้างดูเงียบเกินไป ราวกับธรรมชาติทั้งหมดกำลังกลั้นหายใจ ทันใดนั้น เสียงลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้น หลิงฮวาหันมองตามสัญชาตญาณ ธนูปลายคมพุ่งตรงมาที่เธอด้วยความเร็ว “หลิงฮวา ระวัง!” หย่งหมิงตะโกน แต่ก่อนที่เขาจะพุ่งมาปกป้องเธอ หลิงฮวาก็ยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของเธอพลุ่งพล่าน กระแสลมหมุนวนรอบตัวเธออย่างรุนแรง ลูกธนูถูกผลักกระเด็นออกไปในทิศทางอื่น สายตาของหลิงฮวาเต็มไปด้วยความตกใจเมื่อเธอรู้ว่าพลังนั้นถูกปลดปล่อย มือสังหารในชุดดำปรากฏตัวขึ้นจากเงา พวกเขาพุ่งเข้าโจมตีขบวนอย่างไม่ลังเล ทหารในขบวนรีบชักดาบออกมาป้องกันตัว หย่งหมิงชักดาบของเขาออกมาและพุ่งเข้าต่อสู้กับศัตรู ท่ามกลางเสียงดาบกระทบกัน หลิงฮวาพยายามสงบสติอารมณ์ เธอรู้ว่าหากเธอไม่สามารถควบคุมพลังได้ มันอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรง ศัตรูคนหนึ่งพุ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว หลิงฮวายกดาบขึ้นป้องกันตัว แต่แรงกระแทกทำให้เธอเกือบตกจากหลังม้า ทันใดนั้น กระแสพลังจากมือของเธอปะทุออกมาอีกครั้ง ดันศัตรูให้ล้มลงกับพื้น หย่งหมิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาสังเกตพลังแปลกประหลาดที่หลิงฮวาใช้ และในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เมื่อการต่อสู้ยุติลง ขบวนของพวกเขาก็กลับมาสงบอีกครั้ง หย่งหมิงเดินเข้ามาหาหลิงฮวา ซึ่งยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “เจ้าจะไม่บอกข้าจริงหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?” หย่งหมิงเอ่ยเสียงเข้ม สายตาจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา หลิงฮวาเงียบไป เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำถามนี้ได้อีกต่อไป ในยามค่ำคืน ขบวนของพวกเขาตั้งแคมป์ใกล้กับลำธารเล็กๆ แสงไฟจากกองไฟส่องสว่างไปทั่วบริเวณ แต่ความเงียบงันกลับครอบงำหลิงฮวา เธอนั่งอยู่ใกล้กองไฟ ขณะที่หย่งหมิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สายตาของเขายังคงจับจ้องที่เธอ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังซ่อนบางสิ่ง” หย่งหมิงเอ่ยเบาๆ แต่หนักแน่น “และข้าต้องการรู้ว่ามันคืออะไร” หลิงฮวาก้มหน้ามองเปลวไฟ ความลังเลปรากฏชัดในดวงตาของเธอ “ข้า...” เธอเริ่มพูด แต่ก็หยุดลงชั่วครู่ “ข้าไม่เคยต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้” หย่งหมิงขยับตัวเข้าใกล้ “ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ตัดสินเจ้า แต่ข้าจำเป็นต้องรู้เพื่อปกป้องเจ้า” คำพูดนั้นทำให้หลิงฮวารู้สึกวางใจ เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะเริ่มเล่า “ข้ามีพลังที่สืบทอดมาจากตระกูลหยาง ตระกูลของข้าถือกำเนิดมาจากสายเลือดโบราณ พลังนี้เป็นสิ่งที่คนในตระกูลของข้าทุกคนถือครอง แต่ข้าไม่รู้ว่าขอบเขตที่แท้จริงของมันคืออะไร” “พลังนั้นทำอะไรได้บ้าง?” หย่งหมิงถาม “ข้าควบคุมลมได้ และบางครั้ง...” หลิงฮวาหยุดพูด ราวกับคำพูดนั้นเจ็บปวดเกินไป “ข้าสามารถทำลายทุกสิ่งรอบตัวได้โดยไม่ตั้งใจ” หย่งหมิงเงียบไปสักครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะช่วยเจ้า เราจะหาวิธีควบคุมพลังนี้ร่วมกัน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ หลิงฮวารู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ แต่เธอก็ยังคงหวาดกลัวสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ คำพูดของหย่งหมิงทำให้เธอรู้ว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังในเส้นทางนี้ รุ่งอรุณปกคลุมท้องฟ้าด้วยแสงสีส้มจาง เสียงนกในป่าดังแว่วเป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่ ขบวนของหย่งหมิงออกเดินทางอีกครั้ง แต่บรรยากาศรอบข้างกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลิงฮวาเลือกที่จะเดินอยู่ด้านหลังห่างจากทุกคน ราวกับต้องการหลีกหนีสายตาที่จับจ้อง อู๋เฟิงหลินซึ่งนั่งม้าอยู่ด้านข้างหย่งหมิง เหลือบมองหลิงฮวาเป็นระยะ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน “พลังของนางอาจกลายเป็นทั้งเกราะและดาบ หากใช้ไม่ถูกต้อง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ามันอาจเป็นอันตรายมากกว่าประโยชน์” หย่งหมิงไม่ตอบทันที เขาจ้องมองเบื้องหน้า เสียงม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะคงที่ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าคิดอย่างไร ข้ารู้เพียงว่าหลิงฮวาไม่ใช่คนที่จะใช้พลังเพื่อทำร้ายผู้คน” “แต่เจ้ากำลังเชื่อใจนางมากเกินไปหรือไม่?” อู๋เฟิงหลินกล่าวเสียงเรียบ “คำทำนายเคยเตือนแล้วว่าพลังนี้อาจเปลี่ยนชะตาของทุกคนที่เกี่ยวข้อง” หย่งหมิงยังคงนิ่งเงียบ แต่สายตาของเขาเริ่มเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อขบวนเดินทางถึงบริเวณที่พักกลางวัน หลิงฮวาหยุดม้าของเธอห่างออกไปจากกลุ่มเพื่อหลบเลี่ยงบทสนทนาที่ไม่ต้องการ แต่ความสงบกลับถูกทำลายลงอีกครั้ง ชายในชุดคลุมสีดำปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้โดยไม่มีใครคาดคิด พวกเขาล้อมหลิงฮวาไว้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกเขาถูกปิดบังด้วยหน้ากากเหล็ก ดวงตาเย็นชาและไร้ความปรานี “เจ้าเป็นคนสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้รอดไป” ชายคนหนึ่งเอ่ย เสียงแหบแห้งดังก้อง หลิงฮวารู้สึกถึงอันตรายที่รายล้อม เธอจับดาบไว้แน่น แต่ก่อนที่เธอจะขยับตัว พลังในร่างของเธอก็เริ่มพลุ่งพล่าน เธอพยายามระงับมัน แต่ความหวาดกลัวทำให้ทุกอย่างยากยิ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด หย่งหมิงและอู๋เฟิงหลินมาถึงพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเห็นหลิงฮวาถูกล้อมและรีบเข้าช่วยทันที “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!” หย่งหมิงตะโกน ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงแดดอย่างน่าเกรงขาม การต่อสู้เกิดขึ้นทันที เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น หลิงฮวาถูกดึงเข้าสู่การต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอพยายามควบคุมพลังของตัวเอง แต่เมื่อศัตรูคนหนึ่งเข้ามาใกล้ เธอเผลอปล่อยกระแสลมแรงออกไป ศัตรูถูกซัดกระเด็นไปไกล หย่งหมิงมองเหตุการณ์ด้วยสายตาที่ผสมระหว่างความตกใจและความกังวล เขาเริ่มเข้าใจถึงความไม่แน่นอนในพลังของหลิงฮวา หลังจากการต่อสู้ยุติลง พวกศัตรูที่รอดชีวิตล่าถอยไป หลิงฮวานั่งลงบนพื้น หายใจหอบหนัก ร่างกายของเธอสั่นเทาด้วยความเหนื่อยล้า หย่งหมิงเดินเข้ามาหาเธอ เขาย่อตัวลงและจับไหล่ของเธอ “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” หลิงฮวาส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตาของเธอแสดงถึงความหวาดหวั่น อู๋เฟิงหลินเข้ามาสมทบ เขามองหลิงฮวาอย่างพิจารณา ก่อนจะพูดขึ้น “เราจำเป็นต้องหาวิธีให้หลิงฮวาควบคุมพลังของนาง ไม่เช่นนั้น มันจะเป็นภัยต่อทั้งตัวนางเองและทุกคนรอบตัว” หย่งหมิงพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้ารู้จักวิธีหรือไม่?” อู๋เฟิงหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “มีวิธี แต่เส้นทางนั้นไม่ง่าย เราต้องไปพบผู้ที่รู้จักศาสตร์เก่าแก่ที่ถูกลืมเลือน แต่การเดินทางนั้นอาจอันตรายยิ่งกว่าที่เราคาดคิด” หลิงฮวามองพวกเขาทั้งสองคน ความกลัวและความมุ่งมั่นผสมปนเปกันในใจของเธอ “ถ้ามันจะช่วยให้ข้าควบคุมพลังนี้ได้ ข้ายินดีที่จะเผชิญทุกสิ่ง” หย่งหมิงยิ้มเล็กน้อย ความกล้าหาญของหลิงฮวาทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวนาง “เช่นนั้นเราจะเริ่มต้นการเดินทางในพรุ่งนี้” หย่งหมิงกล่าวเสียงหนักแน่น “ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งเราได้” หลังจากเดินทางมายังชายแดน หลิงฮวารู้ว่าพลังที่นางมีไม่อาจควบคุมได้ทั้งหมด หากใช้ไปอย่างไม่ระวัง นางอาจสร้างอันตรายให้ตนเองและผู้คนรอบข้าง ขณะที่หย่งหมิงและกองทัพกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการรบใหญ่ หลิงฮวาแอบเดินทางออกไปจากค่ายในคืนหนึ่ง อู๋เฟิงหลินซึ่งเฝ้าสังเกตการกระทำของนางมาโดยตลอด เลือกติดตามเงียบๆ เขารู้ว่าเส้นทางนี้นำไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ผู้คนร่ำลือว่า มีนักพรตลึกลับผู้เชี่ยวชาญด้านพลังเหนือธรรมชาติอาศัยอยู่ “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าไปคนเดียวได้อย่างนั้นหรือ?” อู๋เฟิงหลินถามขึ้น ขณะที่เขาปรากฏตัวจากความมืด หลิงฮวาเบือนสายตาเล็กน้อยก่อนยอมรับว่า นางเองก็หวังให้เขาตามมา “ข้าไม่มีเวลามากแล้ว หากพลังนี้ควบคุมไม่ได้ ข้าอาจกลายเป็นภาระให้หย่งหมิงและกองทัพ” ทั้งสองเดินทางต่อไปจนถึงหมู่บ้านที่เงียบสงบ เสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้าชวนให้รู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ ทันทีที่เข้าไปในหมู่บ้าน หลิงฮวาพบกับชายชราผู้หนึ่งซึ่งนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “เจ้ามาหาเราเพื่อควบคุมพลังแห่งสายเลือด ไม่ใช่หรือ?” ชายชรากล่าวโดยไม่ลืมตา หลิงฮวาประหลาดใจ แต่รู้ว่านี่คือคนที่นางตามหา ชายชราแนะนำตัวว่าเขาคือ “จางเทียนโหว” นักพรตผู้เคยเป็นที่ปรึกษาในวังหลวง เขาเล่าว่าพลังของหลิงฮวาสืบทอดมาจากตระกูลโบราณที่เคยปกครองแคว้น แต่ถูกโค่นล้มเมื่อหลายร้อยปีก่อน “พลังของเจ้ามิใช่แค่เพื่อการต่อสู้ มันคือสายใยที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของโลก เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างสมดุล” หลิงฮวาฝึกควบคุมพลังของนางผ่านการทำสมาธิและการฝึกฝนทักษะต่างๆ นางพบว่าพลังนี้สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้อื่นได้ แต่ต้องแลกด้วยพลังชีวิตของตนเอง อู๋เฟิงหลินเฝ้าดูอยู่ห่างๆ เขาเริ่มเข้าใจความยากลำบากที่หลิงฮวาแบกรับ “เจ้าคือผู้ที่คำทำนายพูดถึง” จางเทียนโหวกล่าวในวันหนึ่ง “แต่จำไว้ การใช้พลังนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย” หลังจากฝึกฝนจนได้ความมั่นใจ หลิงฮวาตัดสินใจกลับมาที่ค่าย โดยอู๋เฟิงหลินเตือนว่าอย่าให้ใครล่วงรู้ถึงการเดินทางครั้งนี้ เพราะมันอาจสร้างความหวาดระแวงในหมู่ทหาร เมื่อกลับมาถึงค่าย หย่งหมิงรออยู่พร้อมกับข่าวว่าศัตรูเริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่อาจรออีกต่อไป การรบต้องเริ่มขึ้นในวันพรุ่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หลิงฮวามองหย่งหมิง นางรู้ว่าแม้เขาจะเข้มแข็ง แต่ก็ต้องการความช่วยเหลือ นางกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าพร้อมจะช่วยเจ้า ไม่ว่าอย่างไร”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม