บทที่ 7.2 เทพมังกรทอง
“เพิ่มไฟแรงกว่านี้ได้ไหมนะ จะได้สุกเร็วขึ้น”
[ไม่ได้แน่นอนครับ! คุณคิดจะต้มตัวเองให้สุกรึไง] แม้แต่ตอนแช่น้ำร้อนฟางเซียนก็ไม่วายคิดหาทางฆ่าตัวตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายล่ะเหนื่อยใจจริงๆ
เนื่องจากว่าหลังจากกลับมาถึงบ้านบนภูเขาเฮยอั้นฟางเซียนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในบ้านของนางมีบ่ออาบน้ำอยู่ด้วย นางก็เลยมาแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย แต่พอแช่ไปได้สักพักนางก็มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยการต้มตัวเองในน้ำร้อนเพราะว่านางควบคุมความร้อนของน้ำในบ่ออาบน้ำได้ด้วยการใช้พลังปราณสร้างเปลวไฟไว้ใต้น้ำได้ตามใจชอบ นางจึงมีความคิดว่าถ้าเพิ่มความร้อนอีกหน่อยตัวเองอาจจะสุกก็ได้
ใช้เวลาอยู่นานในการนั่งใคร่ครวญ ขณะเดียวกันนางก็มองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้น้ำในบ่ออาบน้ำ เปลวไฟนั่นไม่มีทางดับมอดหากว่านางไม่ต้องการ และหากว่านางต้องการให้มันลุกไหม้มากกว่านี้ก็ทำได้ แต่กฎห้ามฆ่าตัวตายคงไม่ต้องการให้นางทำอย่างนั้น มันน่าเสียดายจริงๆ
[หยุดหาวิธีฆ่าตัวตายได้แล้วครับ คุณควรเอาเวลามาทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ให้แต้มลบกับคุณ] ระบบเอ่ยเสียงดุ [คุณรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์ของคุณน่ะมีความพยายามและทะเยอทะยานมาก คุณควรเอาใจใส่เขาให้มาก]
“สุดท้ายแต้มบวกก็จะลบแต้มลบของฉันไปจนหมดอยู่ดี” น้ำเสียงของนางฟังดูแดกดันไม่น้อย
พอแช่น้ำร้อนจนตัวเปื่อยแล้วฟางเซียนก็ยอมลุกออกจากบ่ออาบน้ำเพราะถึงจะแช่ไปมากกว่านี้ร่างกายของนางก็คงไม่สุกและไม่มีทางสุกแน่นอน และดูเหมือนว่าฟางเซียนจะอยู่ในห้องน้ำมากเกินไปเพราะเมื่อนางออกมาจากห้องอาบน้ำนางก็เห็นว่าลู่เหลียนมายืนรออยู่หน้าห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ท่านอาจารย์...ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหมขอรับ?” ลู่เหลียนถามพลางกวาดตามอง
“ข้าอยากได้แผลกลางหัวใจสักแผล” ฟางเซียนบ่นพึมพำ ลู่เหลียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจปลงพลางยิ้มโล่งอกที่ฟางเซียนไม่ได้เป็นอะไรไป
“ข้าจะช่วยหวีผมให้นะขอรับ” ลู่เหลียนเสนอตัวเมื่อฟางเซียนเดินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและเตรียมหวีผมที่ยาวเฟื้อยของนาง
“ก็ดี” ฟางเซียนขี้เกียจหวีผมอันยาวเฟื้อยของตัวเองจึงส่งหวีให้กับลู่เหลียนแต่โดยดี และเมื่อได้รับคำอนุญาตทันใดนั้นหงอนนกยูงบนหัวของลู่เหลียนก็กระดิกเล็กน้อยรวมถึงหางนกยูงของเขาที่โบกสะบัดไปมาแผ่วเบาแลดูน่ารักมาก
เมื่อได้รับหน้าที่ลู่เหลียนก็พยายามทำเต็มที่ เขาเริ่มหวีผมให้กับฟางเซียนอย่างละเมียดละไมและพยายามระวังไม่ให้เส้นผมของฟางเซียนเสียหายจากการหวีผมแม้แต่เส้นเดียว และขั้นตอนต่อไปหลังจากหวีผมก็คือการเกล้าผม แม้ว่าลู่เหลียนจะไม่เคยเกล้าผมให้คนอื่นแต่เขาก็ลองพยายามทำสุดความสามารถ
ในขณะนั้นลู่เหลียนได้เห็นรอยแผลเป็นจางๆ บนลำคอของฟางเซียน มันจางมากหากไม่สังเกตอย่างละเอียดคงหาไม่พบ ลู่เหลียนมีความรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นรอยแผลเป็นของฟางเซียน มันมีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของเขาว่า...
ทำไมไม่ใช่เขาที่สร้างรอยแผลบนตัวของนาง?
ลู่เหลียนสับสนกับความคิดของตนเอง ทั้งที่เขาให้คำมั่นกับตัวเองไว้แล้วว่าจะทำให้ฟางเซียนหยุดมีความคิดฆ่าตัวตายให้ได้ แต่ทำไมเขาถึงมีความคิดอยากจะสร้างบาดแผลบนร่างกายของฟางเซียน?
“ถ้าเจ้าเกล้าผมไม่เป็นข้าจะทำเอง” ฟางเซียนเห็นว่าลู่เหลียนหยุดนิ่งไปจึงเอ่ยออกมาพลางยกมือขึ้นมารวบผมของตัวเอง แขนเสื้อของนางร่นลงและเผยให้เห็นข้อมือ ลู่เหลียนได้เห็นรอยแผลเป็นอีกครั้งบนข้อมือของฟางเซียน
เขาเม้มปากและขมวดคิ้ว ความรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีที่มาตีอยู่ในอก
“ข้าพยายามฆ่าตัวตาย...” ฟางเซียนเกริ่นนำขึ้นมาอย่างกะทันหัน ลู่เหลียนชะงักและบังเอิญได้สบตากับฟางเซียนในกระจก ดูเหมือนว่าฟางเซียนจะเห็นทุกการแสดงออกของเขาจากกระจกทั้งหมดแล้ว “เลือดมันออกเยอะมากข้าก็เลยสลบไปเสียก่อนแต่ข้าดันไม่ตายเสียได้ น่าเสียดาย”
ฟางเซียนรำพึงรำพันอย่างเสียใจ ในตอนนั้นนางน่าจะกดมีดให้ลึกกว่านี้หรือมีความกล้าที่จะทำมันอีกครั้ง นางกล้าปาดคอของตัวเองเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเพราะมันเจ็บมาก
“อย่าทำอีก” ลู่เหลียนหลุดพูดออกมาและรีบพูดต่อว่า “ครั้งหน้าข้าจะทำเอง”
“งั้นทำตอนนี้เลยสิ ข้ารออยู่” ฟางเซียนกระตุกยิ้ม
แต่...ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ไม่พร้อมก็คือไม่พร้อม ลู่เหลียนต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม และเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในเวลาอันสั้นฟางเซียนจึงสั่งให้ลู่เหลียนฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรเพิ่มพลังปราณอย่างหนักทุกวัน นางกำหนดไว้ว่าช่วงเวลากลางวันลู่เหลียนจะฝึกวิชาต่อสู้ส่วนช่วงเวลากลางคืนนางจะสั่งให้เขาทำสมาธิดูดซับพลังปราณในขณะที่นอนหลับเพื่อให้เขาเลื่อนระดับเร็วขึ้น
เป็นการฝึกที่หนักหนาสำหรับเด็กที่อายุเพิ่งจะแปดขวบได้ไม่นาน แต่ลู่เหลียนกลับไม่เคยบ่นเลยสักนิด เป็นเด็กที่มีความอดทนสูงมาก ฟางเซียนอดนับถือไม่ได้เลย น่าเอาเป็นแบบอย่างจริงๆ แต่อย่าหวังว่ามันจะทำให้ฟางเซียนรู้สึกกระตือรือร้นที่จะฝึกวิชาเหมือนลู่เหลียนเลย แม้ระบบจะพยายามหลอกล่อนางด้วยแต้มลบเพื่อให้นางลุกขึ้นมาฝึกวิชาก็ตามแต่ฟางเซียนก็ยังขี้เกียจและนอนเป็นปลาเค็มอยู่ดี
แต่ถึงจะทำตามฟางเซียนก็จะทำแค่หยิบกระบี่ขึ้นมาและควงเล่นเท่านั้น
‘ถ้าจะเอาข้ามาควงเล่นเช่นนี้ก็พาข้ากลับสุสานอาวุธเถอะ!’
คำตอบของฟางเซียนก็คือ “ไม่”
‘เจ้าไม่คิดจะพาข้ากลับไปที่สุสานอาวุธจริงหรือ?’ กระบี่เสอโหย่วตู๋ร่ำไห้
“ถ้าอยากกลับนักก็สังหารข้าให้ได้” ฟางเซียนบอกทางออกให้มัน
‘ก็บอกแล้วว่าข้าในตอนนี้ไม่ได้มีพลังขนาดนั้น! ข้าถึงได้มาขอร้องเจ้าอยู่นี่ไง!’ เสอโหย่วตู๋โหยหวน
“ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าเจ้าขอร้องตอนไหน?” ฟางเซียนทำหน้าสงสัย “แต่ถึงเจ้าจะขอร้องแทบตายยังไงสุดท้ายข้าก็ไม่คิดที่จะพาเจ้ากลับหรอก หากอยากกลับก็สะสมพลังและฆ่าข้าเสียสิ”
‘หากข้าทำสำเร็จเจ้าจะต้องเสียใจแน่!’
“เสอโหย่วตู๋ เจ้าช่างมีจิตใจดีงามนัก ห่วงว่าข้าจะเสียใจด้วย” ฟางเซียนแสร้งทำสีหน้าซาบซึ้งออกมา กระบี่ในมือของฟางเซียนถึงกับสั่น
‘มะ ไม่ใช่เสียหน่อย! ข้าแค่...แค่คิดว่าเจ้าไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของข้าจึงท้าทายและดูถูกข้าก็เท่านั้น!’ เสอโหย่วตู๋แก้ตัวเสียงตะกุกตะกัก
มันไม่ได้เข้าใจคำยั่วยุของฟางเซียนที่แฝงในประโยคเลย…
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าข้าจะเสียใจหรอกนะ เพราะข้าจะดีใจเสียมากกว่าหากเจ้าแข็งแกร่งและสามารถสังหารข้าได้” ฟางเซียนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้เพิ่มจำนวนคนที่สามารถสังหารตัวเองได้ “เจ้าต้องทำได้แน่”
ในขณะที่ฟางเซียนกำลังจินตนาการถึงความตาย กระบี่เสอโหย่วตู๋ก็ได้มีความคิดที่ต่างออกไปจากที่ฟางเซียนคิด
มันรู้สึกปลาบปลื้มเพราะฟางเซียนคาดหวังและเชื่อว่ามันจะแข็งแกร่งมากขึ้นได้ทั้งที่ตัวมันเองก็สิ้นหวังไปตั้งนานแล้ว มันเป็นแค่กระบี่ที่มีจิตวิญญาณแต่ไม่มีพลังมากมาย มันจึงถูกทิ้งไว้ที่สุสานอาวุธแห่งนั้น ในขณะที่รอคอยเจ้านายใหม่มันก็พบว่าอาวุธในสุสานแห่งนั้นแข็งแกร่งกว่ามันมากมาย ไม่มีทางที่มันจะถูกเลือก
แต่เมื่อฟางเซียนได้เลือกมันและเชื่อว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นกระบี่เสอโหย่วตู๋จึงรู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจจากฟางเซียนเข้าอย่างจัง มันเริ่มคิดที่จะพัฒนาพลังของตัวเองเพื่อจะไม่ได้อายกระบี่เล่มอื่นอีกต่อไป
‘ข้าไม่ได้จะทำเพื่อเจ้าหรอกนะ! ข้าก็แค่อยากพัฒนามากกว่านี้ก็เท่านั้น!’ กระบี่ต้องสาปตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส ฟางเซียนโคลงศีรษะสงสัยเล็กน้อย
“กลับไป!” จู่ๆ เสียงตะโกนของลู่เหลียนก็ดังลั่นมาจากหน้าบ้าน ฟางเซียนสงสัยว่าเขาคุยอยู่กับใครจึงเดินไปดูและนางก็พบกับดวงอาทิตย์สีทองดวงที่สอง
“ข้าเพียงนำสิ่งของอย่างหนึ่งมาให้อาจารย์ของเจ้าเท่านั้น” เทพมังกรทองเอ่ยกับลู่เหลียนด้วยสีหน้าลำบากใจ
จ้าวหลงเทียนไม่คิดว่าลู่เหลียนจะมีท่าทีจงเกลียดจงชังเขามากถึงเพียงนี้ มันจริงที่ว่าเขาทำร้ายฟางเซียนลงไป แต่นั่นก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดและเขาก็รู้สึกสำนึกผิดแล้วจริงๆ เขาจึงต้องการนำของมาไถ่โทษในสิ่งที่ตนเองทำลงไป แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมาด้วยเจตนาดีก็ตามลู่เหลียนก็ยังคงกางแขนสะบัดหางและแยกเขี้ยวขู่เพื่อกีดกันและขับไล่เขาไม่ให้เขาไปพบฟางเซียน
ฟางเซียนเดินเข้าไปหาพวกเขาจ้าวหลงเทียนรู้ตัวก่อนจึงส่งยิ้มทักทาย
“ขออภัยที่มารบกวนกะทันหัน แม่นางยังจำข้าได้หรือไม่? จริงสิ ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้ามีนามว่าจ้าวหลงเทียน ข้ามาที่นี่เพื่อนำของสิ่งหนึ่งมาให้เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำร้ายเจ้าลงไปในวันนั้น”จ้าวหลงเทียนสะบัดแขนเสื้อและก้มหัวคำนับเล็กน้อยเป็นการแสดงออกว่าเขาต้องการขอโทษจากใจจริง
“งั้นหรือ...” ฟางเซียนยิ้มพลางผลักลู่เหลียนที่ทำตัวราวกับนกยูงหวงถิ่นไปข้างหลัง
จ้าวหลงเทียนเห็นว่าฟางเซียนยิ้มตอบจึงยิ้มสว่างไสวมากกว่าเดิมเพราะคิดว่าฟางเซียนรับคำขอโทษของเขา แต่จู่ๆ ฟางเซียนก็ชักกระบี่ออกมาและตวัดโจมตีไปที่จ้าวหลงเทียนอย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความลังเล
โชคดีที่จ้าวหลงเทียนเป็นเทพและมีพลังปราณเทพระดับสามเขาจึงสามารถหลบกระบี่ได้ทันเวลา
“น่าเสียดาย...แต่อย่าคิดว่าจะหลบพ้นทั้งหมด” ฟางเซียนกล่าวเสียงเย็นยะเยือกขณะที่ไล่ฟันแทงจ้าวหลงเทียนโดยที่ไม่สนใจท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่าย
“ปะ โปรดรอเดี๋ยว!” สีหน้าของจ้าวหลงเทียนเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็พยายามหลบการโจมตีของฟางเซียนโดยไม่คิดจะโต้กลับ “เจ้าโกรธที่ข้าทำร้ายงั้นหรือ? ข้าไม่ได้ตั้งใจโจมตีเจ้า ได้โปรดให้อภัยข้าเถอะ!”
เขาสงสัยอย่างมากว่าทำไมฟางเซียนถึงได้ดูโกรธแค้นเขานักทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้เลย หรือว่ายาบำรุงที่เขาให้ครั้งก่อนจะมีบางอย่างผิดปกติ?
จ้าวหลงเทียนคิดอย่างเป็นห่วงฟางเซียนทั้งที่ฟางเซียนกำลังไล่ฆ่าเขา
ตอนนี้ฟางเซียนแสร้งทำเป็นโมโหและแสร้งทำเป็นพยายามฆ่าเขา นางเชื่อว่าสุดท้ายเขาก็ต้องชักกระบี่ออกมาจัดการนาง! และเพื่อที่จะให้จ้าวหลงเทียนสู้กลับนางจึงทุ่มสุดตัว นางสร้างสายฟ้าออกมาโจมตีตามด้วยหอกน้ำแข็งและตามด้วยพายุเยือกแข็งขนาดย่อมขึ้นมา บริเวณรอบด้านถูกน้ำแข็งแช่แข็งจนขาวโพลนอย่างรวดเร็ว
มันเป็นการโจมตีที่อันตรายไม่น้อยแต่จ้าวหลงเทียนกลับแสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจอย่างชื่นชมเสียอย่างนั้น นั่นเพราะว่าปราณธาตุสายฟ้าและน้ำแข็งเกิดจากการผสมปราณธาตุสองชนิดเข้าด้วยกัน ผู้ที่สามารถใช้พวกมันได้หากไม่ได้เป็นผู้มีปราณธาตุพิเศษอาจจะเป็นผู้ที่มีปราณธาตุมากกว่าสามถึงสี่ธาตุขึ้นไป ซึ่งก็หาคนเช่นนี้ไม่ง่ายนัก ช่างน่าสนใจมาก
แต่จ้าวหลงเทียนก็ไม่มีเวลาให้ชื่นชมมากนัก ฟางเซียนโจมตีเขาไม่ยั้งมือเลยสักนิด
“อย่ามัวแต่ปกป้องตัวเองสิ โจมตีกลับมาบ้างก็ได้นะ” ฟางเซียนกระโดดเข้าไปจู่โจมจ้าวหลงเทียน ซึ่งเขาก็หลบได้สบายและไม่แม้แต่จะได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดทั้งที่นางทุ่มสุดตัวแล้ว ด้วยฝีมือระดับนี้ของนางและจ้าวหลงเทียน ฟางเซียนเชื่อเลยว่าหากเขาโจมตีกลับชีวิตของนางจะต้องดับวูบทันทีแน่นอน แต่ปัญหาคือเขาไม่ทำ!
“แม่นาง พวกเราไม่มีเหตุจำเป็นต้องต่อสู้กันเลยนะ และข้าได้กล่าวไปแล้วว่าหากสวรรค์มิได้บัญชา ข้าก็ไม่มีทางสังหารเจ้าอย่างไร้เหตุผลแน่นอน” เขากล่าวอย่างหนักแน่น ฟางเซียนทำหน้าบูดบึ้ง
[จ้าวหลงเทียนในตอนนี้มีอายุเพียงแค่สองร้อยปีเท่านั้นครับ เขาเป็นเด็กดีและเคารพกฎมาก ไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด] ระบบห้ามฆ่าตัวตายกล่าวด้วยความมั่นใจในตัวจ้าวหลงเทียน เพราะอย่างนี้เองระบบถึงได้ดูสบายใจนัก
ว่าแต่...อายุเพียงแค่สองร้อยปี? เด็กดี?
มันแค่สองร้อยปีตรงไหนกัน! อายุขนาดนี้ไม่เรียกว่าเด็กแล้ว! มันควรเรียกว่าตาแก่แล้วต่างหาก! ถึงหน้าตาจะยังดูเหมือนเด็กหนุ่มอยู่ก็เถอะ และอีกอย่าง ถึงจะเคร่งกฎขนาดไหนแต่ถ้าหากมีคนคิดที่จะฆ่าตัวเองเขาก็ควรจะโต้กลับบ้างสิ!
เพราะเผลอคิดเรื่องอื่นฟางเซียนจึงไม่ทันตั้งตัวจ้าวหลงเทียนพุ่งมาเข้าหา
จ้าวหลงเทียนคว้าข้อมือข้างที่ถือกระบี่ของนางไว้และจากนั้นเขาก็ใช้คาถาบางอย่างทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้อีก ฟางเซียนจึงได้แต่จ้องหน้าจ้าวหลงเทียนด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“แม่นางโปรดสงบอารมณ์และโปรดรับของไถ่โทษของข้าได้หรือไม่?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สิ่งนี้ทำมาจากเกล็ดมังกรของข้า มันสามารถปกป้องเจ้าจากเทพและปีศาจได้อย่างแน่นอน” เขาพูดพลางยื่นมีดสั้นสีทองเล่มหนึ่งให้กับนาง
แน่นอนว่าฟางเซียนปฏิเสธ นางไม่ยอมรับของที่สามารถปกป้องตัวเองได้แน่
“ข้าอยากเอากระบี่แทงเจ้ามากกว่า” ฟางเซียนพูดเสียงเหี้ยมเกรียม
“คงไม่ได้...ข้าจะบาดเจ็บตอนนี้ไม่ได้เพราะข้าต้องทำภารกิจกำจัดลัทธิฆ่าตัวตายให้สำเร็จ” จ้าวหลงเทียนแสดงสีหน้าลำบากใจและกล่าวต่อว่า “การมีอยู่ของลัทธิฆ่าตัวตายเกี่ยวพันกับวัฏจักรวิญญาณ หากข้าไม่รีบจัดการสมดุลแห่งวิญญาณคงถูกทำลาย” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อบอกถึงความร้ายแรงของลัทธิฆ่าตัวตาย
“ลัทธินั่นน่ะนะ?” ฟางเซียนเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ ในสายตาของนางลัทธินั่นก็คือลัทธิสะกดจิตให้คนฆ่าตัวตายเท่านั้น
“ใช่แล้ว ตั้งแต่มีลัทธิฆ่าตัวตายวิญญาณของคนที่ฆ่าตัวตายก็หายไป” เขากล่าวย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่หากว่าเจ้าจะหายโกรธด้วยการใช้กระบี่แทงข้า...ข้าจะยอมให้เจ้าทำก็ได้แต่ทว่าต้องหลังจากที่ข้าทำภารกิจสำเร็จได้รึไม่?”
สีหน้าของฟางเซียนแลดูว่างเปล่า “หากมีคนโกรธแค้นเจ้า เจ้าก็จะให้พวกเขาใช้กระบี่แทงท้องตัวเองทุกครั้งเลยรึไง!”
“ใช่แล้ว!” จ้าวหลงเทียนตอบทันทีด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
ฟางเซียน “...”
นางอยากถามเขาว่า เขารอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
[บอกแล้ว หลงเทียนเป็นเด็กดี] ระบบพูดเหมือนจะภูมิใจ?
“เฮ้อ...งั้นเจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าหายโกรธแล้ว” ฟางเซียนเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน
“แล้วเรื่องไถ่โทษเล่า? เจ้าไม่คิดจะรับมีดที่ทำจากเกล็ดของข้าหรือ?” เขาถาม
“ไม่เอา! ของที่สามารถปกป้องเจ้าของได้แบบนั้นข้าไม่ต้องการ!” ฟางเซียนตวาดกลับไปอย่างโมโหจ้าวหลงเทียนหดไหล่ลงและมองนางด้วยสายตาเหมือนลูกหมาที่กำลังสำนึกผิด ฟางเซียนกลอกตามองบน
อยากจะไถ่โทษให้นางอะไรมากมายขนาดนั้น! สำนึกผิดอย่างกับว่าตัวเองเพิ่งทำเรื่องชั่วร้ายสักร้อยเรื่อง!
“หือ...เรื่องชั่วร้าย...” ฟางเซียนหยุดชะงักพลางทำหน้าครุ่นคิด
ฟางเซียนนึกแผนการอย่างหนึ่งที่เคยคิดเอาไว้ แผนการทำเรื่องชั่วช้าสามานย์นั่นเอง! ถ้านางทำเรื่องเลวทรามต่อหน้าจ้าวหลงเทียน เขาก็จะคิดว่านางเป็นคนชั่วร้ายและตัดสินใจกำจัดนางอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็เสนอตัวที่จะช่วยเหลือเขาตามหาลัทธิฆ่าตัวตายโดยนางให้ข้ออ้างไปว่านางอยากจะแก้แค้นเรื่องที่ลัทธิฆ่าตัวตายเคยทำกับนางไว้ ซึ่งจ้าวหลงเทียนก็เชื่อและยอมให้นางติดตามไปด้วยแต่โดยดี
ต่อจากนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือติดตามเขาและหาโอกาสทำความชั่วต่อหน้าเขาเสีย!
เมื่อได้ดำเนินแผนการฆ่าตัวตายของตัวเองได้สำเร็จแล้วฟางเซียนก็แทบจะอยู่ในอารมณ์เบิกบานใจตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับลู่เหลียน บรรยากาศรอบตัวของเขาดำมืดราวกับวิญญาณอาฆาตแค้นอย่างไรอย่างนั้น