บทที่ 8.1 เส้นทางแห่งความตายย่อมมีอุปสรรค
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดรุนแรงและหนาวเย็น ทว่าเมืองเหยาก็ยังจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาล หน้าร้านและหน้าบ้านตามถนนเส้นหลักทั้งสายถูกประดับตบแต่งด้วยโคมไฟสีสันสดใส และตามถนนทุกสายก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายของและมีนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่หนาตาตลอดเส้นทาง มันแลดูเสียงดังและวุ่นวายไม่น้อย
เนื่องมาจากว่าเจ้าเมืองของเมืองเหยาชื่นชอบงานเทศกาลและงานสังสรรค์ทุกประเภท เจ้าเมืองเหยาจึงมักจะจัดงานรื่นเริงแทบทุกวันจนในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายและมีสีสันสดใสเช่นนี้แทบตลอดเวลา และเพราะเหตุนี้เองคนต่างเมืองจึงชอบเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่และทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย มันจึงแลดูวุ่นวายหนักกว่าเดิม ข้อดีเพียงอย่างเดียวของความวุ่นวายนี้ก็คือชาวบ้านในเมืองมีรายได้ทุกวันจนแทบร่ำรวย
พากันร่ำรวยจนแทบกลายเป็นเศรษฐีก็ดีไม่น้อย แต่ก็จะต้องทำงานในเมืองอันแสนวุ่นวายจนแทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเจ้าเมืองรู้สึกปลื้มใจไม่น้อยที่ชาวเมืองของตนขยันขันแข็งถึงเพียงนี้
“ดี! ดี! เมืองของข้าคึกคักยิ่งนัก แขกผู้เยี่ยมชมเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นนี้ไม่มีทางที่เมืองเหยาของข้าจะน่าเบื่อได้!” บนระเบียงชั้นสองของร้านน้ำชา ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกล่าวพลางหัวเราะอารมณ์ดี เขามีนามว่า หลานหลิง เจ้าเมืองแห่งเมืองเหยาอันเต็มได้ด้วยสีสันแห่งนี้นั่นเอง
“ท่านเจ้าเมืองมีความสามารถมากเจ้าค่ะ เมืองเหยาเจริญรุ่งเรืองเพราะท่านทั้งนั้น” หญิงงามซึ่งเป็นอนุของเจ้าเมืองหลานหลิงกล่าวอย่างประจบประแจง
“แน่นอน!” หลานหลิงยืดอกรับคำชมด้วยท่าทีโอ้อวด “พอพูดแล้วข้าชักอยากดูความเจริญรุ่งเรืองในเมืองของข้าเสียแล้ว” พูดพลางกระดกน้ำชาในจอกจนหมด
หลานหลิงพูดเปรยเพียงเท่านั้น ผู้ติดตามของหลานหลิงก็ได้รีบกล่าวทันทีว่า “ข้าน้อยเตรียมรถม้าไว้ให้แล้วขอรับ” เขารู้ดีว่าท่านเจ้าเมืองหลานหลิงมักจะเที่ยวเล่น...เขาหมายถึงท่านเจ้าเมืองมักจะสำรวจความเรียบร้อยของเมืองทุกทุกวัน เขาจึงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
วันนี้ก็แทบจะเหมือนทุกวัน เมื่อชาวบ้านในเมืองเห็นรถม้าคันหรูที่คุ้นตาพวกเขาก็หยุดทำงานชั่วคราวและโบกไม้โบกมือพลางตะโกนคำสรรเสริญเจ้าเมืองของพวกเขาด้วยความเคารพรัก
เห็นเช่นนั้นแล้วหลานหลิงก็ยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างสุขใจ เมื่อได้รับคำสรรเสริญเยินยอเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองสูงส่งกว่าใครทั้งหมด มันรู้สึกดีมาก เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ชอบนั่งรถม้าชมเมืองทุกวัน และเพื่อเป็นการโอ้อวดตัวเอง หลานหลิงได้เปิดหน้าต่างรถม้าให้กว้างที่สุดและวางท่าทางของตัวเองให้ดูสง่างามและดูดีเหนือคนอื่นทั้งหมด
“ท่านเจ้าเมืองหลานหลิง! วันนี้ท่านก็หล่อเหลาเช่นเคย!”
“ช่างเป็นเจ้าเมืองที่ดูมีความสามารถแท้!”
“ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมท่านเจ้าเมืองของพวกเราได้อีกแล้ว!”
ไร้วี่แววคำกล่าวว่าร้ายแม้แต่คำเดียว มีเพียงคำกล่าวชื่นชมเท่านั้น หลานหลิงคงเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเป็นอย่างมาก คนดีเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดปองร้ายเขาเป็นแน่ เอ๊ะ? หรืออาจจะมีกันนะ?
รถม้าของหลานหลิงได้วิ่งผ่านบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบนหลังคามีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ เครื่องแต่งกายสีดำทมิฬท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้าสะดุดตาหลานหลิงไม่น้อย เขาได้หันไปมองด้วยความสงสัยจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความสนใจ แม้จะห่างไกลออกไปแต่เขาก็รู้ว่าสตรีผู้นั้นงดงามมาก
เส้นผมสีดำขลับโบกสะบัดไปตามสายลม ดวงตาสีดำไร้อารมณ์แต่ทว่ากลับมีประกายคล้ายดวงดาวอยู่ภายใน และริมฝีปากสีแดงอันโดดเด่นนั้น เพียงแค่ขยับยิ้มมุมปากมันก็ดูราวกับปีศาจจิ้งจอกที่กำลังล่อลวงชายหนุ่มไม่มีผิด
งดงาม...งดงามนัก! หากได้นางมาเป็นอนุอีกคนคงดีไม่น้อย
หลานหลิงหลงเสน่ห์สตรีปริศนาจนไม่อาจดึงสติกลับมาหาตัวเองได้ เขาเหม่อมองสตรีผู้นั้นอย่างไม่อาจละสายตา และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรักของเขาหรือไม่เขาถึงได้รู้สึกว่าสตรีปริศนาที่อยู่ไกลออกไปบินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
ราวตกอยู่ในห้วงความฝัน หลานหลิงกางแขนเตรียมรับตัวเทพธิดาที่กำลังบินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มกว้าง “เทพธิดาของข้า!”
สิ้นประโยคนั้น หลานหลิงก็ถูกฝ่าเท้าของเทพธิดาประทับกลางใบหน้าเต็มๆ หลังจากนั้นร่างของเขาก็ลอยออกจากรถม้าทางหน้าต่างอีกฝั่งและตกลงกระแทกพื้นจนกระอักเลือดคำใหญ่
“ยิ้มอะไรน่ะ น่าขยะแขยง” ฟางเซียนทำหน้ารังเกียจและเดินไปเหยียบผู้ชายคนนั้นซ้ำอีกรอบแม้ว่าเขาจะสลบไปแล้วก็ตาม จากนั้นฟางเซียนก็หันไปมองรอบตัวด้วยแววตาคาดหวัง
ดูเหมือนว่าชาวบ้านเมืองเหยาจะยังตกตะลึงไม่หายตั้งแต่ที่เจ้าเมืองของพวกเขาถูกถีบกระเด็น ไม่มีใครเคลื่อนไหวหรือพูดอะไรทั้งสิ้น ความเงียบจึงได้เข้าปกคลุมพื้นที่ชั่วครู่
“ท่านเจ้าเมือง...ตายแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
ยังไม่ตายเสียหน่อย ฟางเซียนคิดในใจ แต่ไม่ยอมบอกออกไปแต่อย่างใด
“ตายแล้ว...” ชาวบ้านคนอื่นพึมพำ ต่อมาเสียงพูดคุยก็ดังอื้ออึงไปทั่วพื้นที่
“ท่านเจ้าเมืองตายแล้วหรือ? ในที่สุดก็ตายแล้ว!” เสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้นมา มุมปากของฟางเซียนกระตุก
“ใช่ ในที่สุดก็ตายแล้ว! ข้าทำงานจนเหนื่อยทั้งตัวแล้ว!”
“เพราะกฎบ้าๆ ของเขานั่นแหละทำให้ข้าป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ!”
“ตายๆ ไปซะได้ก็ดี! ข้าจะได้นอนหลับเต็มอิ่มเสียที!”
“ข้าเห็นด้วย! เพราะกฎของเขานั่นแหละที่ทำให้ข้าแทบไม่ได้นอนเลย!”
ฟางเซียน “...”
ทำไมทุกคนถึงตะโกนสาปแช่งเจ้าเมืองหลานหลิงขนาดนั้นทั้งที่เมื่อครู่ยังตะโกนสรรเสริญราวกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ? เพราะนางคิดว่าเจ้าเมืองหลานหลิงเป็นที่รักของชาวบ้านจึงวางแผนทำร้ายเขาเพื่อทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นนาง นางจะได้ดูเป็นคนเลวมากขึ้นจ้าวหลงเทียนต้องกำจัดคนเลวอย่างนางแน่นอน
แต่ดูสิ! ทำไมผลลัพธ์มันถึงออกมาเป็นอย่างนี้!? ชาวบ้านควรรุมประณามนางไม่ใช่เหรอ!?
“ต้องขอบคุณท่านเซียนนักที่ปลดปล่อยพวกเรา!”
“ใช่แล้ว! เพราะท่านเซียนแท้ๆ ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว”
ฟางเซียน “...”
ไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ!
“โอ๊ย...ทำไมข้ารู้สึกเจ็บใบหน้า?” ทันใดนั้นเองคนที่หลายคนคิดว่าตายไปแล้วก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับส่งเสียงโอดครวญด้วยสีหน้าสับสนมึนงง
“ยังไม่ตาย!” ชาวบ้านคนหนึ่งอุทานเสียงหลง ทันใดนั้นชาวบ้านก็พากันเงียบอีกรอบ สีหน้าโกรธเกลียดของพวกชาวบ้านหายไปแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสงบ
“จะว่าไปก็ดีนะที่ท่านเจ้าเมืองไม่ตาย ถ้าไม่ได้เขาข้าคงไม่ร่ำรวย”
“ตอนนี้ข้าร่ำรวยเพราะการปกครองของเขา”
“ใช่แล้ว!”
“ใช่แล้ว!”
เหล่าชาวบ้านพยักหน้าให้กันและแสดงความเป็นห่วงหลานหลิงทันที พวกเขารีบช่วยกันพาหลานหลิงไปหาหมออย่างรวดเร็ว
ฟางเซียน “...”
พวกเขาเปลี่ยนสีเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเสียอีก
[แย่หน่อยนะครับที่แผนล่ม] ระบบแสดงความเสียใจ
“ไปตายซะ!”
[ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่มีทางตายได้]
จ้าวหลงเทียนเดินเข้ามาหาฟางเซียนและกล่าวว่า “ชาวบ้านต่างก็เก็บความไม่พอใจต่อเจ้าเมืองไว้มากในใจ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านก่อจลาจลจึงหาทางทำให้ชาวบ้านระบายความโกรธออกมา จากนั้นก็ทำให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของเจ้าเมืองของพวกเขาว่าหากไม่มีเจ้าเมืองผู้นั้นเมืองแห่งนี้คงไม่เจริญรุ่งเรือง”
จ้าวหลงเทียนเอ่ยสรุปเหตุผลการณ์กระทำทั้งหมดของฟางเซียนที่เขาคิดว่าถูกต้อง ต่อมาเขาก็รู้สึกเลื่อมใสในตัวฟางเซียนอย่างสุดซึ้ง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวบ้านคงไม่มีทางทำร้ายเจ้าเมืองของพวกเขา อีกทั้งยังดูแลอย่างดีอีกด้วย เจ้าช่างฉลาดนัก” จ้าวหลงเทียนยิ้มอ่อนพร้อมกล่าวชื่นชม
ฟางเซียน “...”
นางสงสัยว่าใครกันที่คิดอย่างนั้น? นางไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย! ทำไมเขาถึงตีความไปทางนั้นได้กัน!
ฟางเซียนแทบรู้สึกสิ้นหวัง ลู่เหลียนเหมือนจะรู้แผนการที่แท้จริงของฟางเซียนเพียงคนเดียวจึงส่งสายตาแสดงความเสียใจไปให้ แน่นอนว่าในใจของลู่เหลียนรู้สึกพอใจที่แผนของฟางเซียนล่มไม่เป็นท่า
ความจริงแล้วแผนการของฟางเซียนล่มมาหลายรอบแล้วระหว่างเดินทางมาเมืองเหยา เมื่อแผนล่มอีกรอบมันจึงไม่น่าแปลกเลยที่ฟางเซียนจะหมดอาลัยตายอยากและไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอีกเลย นางไม่แม้แต่จะไปช่วยจ้าวหลงเทียนตามหาลัทธิฆ่าตัวตายทั้งที่พูดไว้อย่างดีว่าจะช่วยเขาตามหาลัทธิฆ่าตัวตายอย่างสุดความสามารถ
ซึ่งอันที่จริงแล้วนางใช้มันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น นางไม่ได้คิดจะช่วยตั้งแต่แรก ฟางเซียนก็เลยนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนหลังคาบ้านคนอื่นต่อไปโดยมีลู่เหลียนคอยนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ
“หากไม่ต้องการผิดหวังซ้ำซาก ท่านอาจารย์ก็แค่รอให้ข้าเติบโต” ลู่เหลียนพูด “ชีวิตของเรายาวนาน รอแค่ไม่กี่สิบปีไม่ถือว่ายาวนานหรอกขอรับ”
คำปลอบใจของลู่เหลียนไม่ทำให้ฟางเซียนใจชื้นขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว นางนั่งหน้าบูดหน้าเบี้ยวไม่ยอมขยับไปไหนอยู่นาน จนกระทั่งจ้าวหลงเทียนกลับมา
“ดูเหมือนว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนที่นี่มีคนฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น ไม่ผิดแน่ ลัทธิฆ่าตัวตายอยู่ในเมืองนี้” จ้าวหลงเทียนบอกกับฟางเซียนเสียงขรึม
“เดี๋ยวจะช่วยตามหา เจ้าไปทางนั้นข้าไปทางนี้” ฟางเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จ้าวหลงเทียนพยักหน้ารับและไปทางที่นางชี้บอก แต่ฟางเซียนยังคงอยู่ที่เดิม
“ท่านอาจารย์จะไม่ไปตามหาลัทธิฆ่าตัวตายหรือขอรับ?” ลู่เหลียนเอ่ยถาม
“ทำไมข้าต้องไป มันไม่ได้ช่วยทำให้ข้าตายเร็วขึ้นเสียหน่อย” ฟางเซียนได้กล่าวไว้ ลู่เหลียนไม่พูดอะไรอีกและเก็บคำโกหกหน้าตายของฟางเซียนไว้ในใจ เผื่อว่าในอนาคตเขาอยากจะเลียนแบบขึ้นมา
หลายชั่วยามผ่านไป ฟางเซียนเริ่มเบื่อหน่ายกับการนั่งเล่นบนหลังคาบ้านคนอื่น นางเปลี่ยนวิธีฆ่าเวลาเป็นเดินเล่นชมเมืองแทน และนางก็กลายเป็นจุดสนใจบางครั้งเพราะว่านางเพิ่งจะไปสร้างวีรกรรมถีบหน้าเจ้าเมืองเมื่อไม่นานมานี้
ฟางเซียนค่อนข้างหงุดหงิดใจ ทำไมนางยังกลายเป็นจุดสนใจทั้งที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีดำมืดขนาดนี้ ทำไมพวกเขาไม่หันไปสนใจจ้าวหลงเทียนบ้าง สีทองแสบตาขนาดนั้นดูโดดเด่นกว่านางตั้งหลายสิบเท่า ทั้งเส้นผม ดวงตา และเขามังกรของเขา ดูยังไงมันก็แปลกแยก นางเคยบอกให้เขาซ่อนพวกมันแล้วเพราะนางรู้สึกรำคาญสายตาเมื่อต้องมองเขา จ้าวหลงเทียนนำผ้าคลุมออกมาสวมเพื่อซ่อนพวกมันตามที่นางบอกก็จริง แต่ว่าผ้าคลุมนั่นดันมีสีทองสะท้อนแสงเหมือนกัน!
แค่นึกภาพฟางเซียนก็รู้สึกแสบตาขึ้นมาอีกรอบ คนอื่นไม่รู้สึกแสบตาเหมือนนางรึไงกันนะ? แต่จะว่าไป นางจำได้ว่าจ้าวหลงเทียนเคยบอกนางว่าเขาใช้คาถาเบนความสนใจเพื่อไม่ให้มนุษย์ธรรมดาสังเกตเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่น่าแปลกที่คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นเขาสินะ
ฟางเซียนคิดว่ามันเป็นคาถาที่น่าสนใจไม่น้อย นางควรลองเรียนคาถานั่นดีไหมนะ? ไม่สิ มันไม่น่าจะดีเพราะมันอาจจะมาเป็นตัวขัดขวางไม่ให้นางถูกฆ่า เรื่องเรียนคาถานั่นจึงถูกล้มเลิกไป งั้นนางควรหลีกเลี่ยงพวกเขาด้วยการเดินในที่ลับตาแทน และทันทีที่ฟางเซียนเดินเข้าตรอกเสียงของระบบก็ดังขึ้นมาบอกว่า
[ห่างจากตรงนี้ไป 30 เมตรมีคนกำลังฆ่าตัวตายครับ!]
ก็มีแต่ต้องลองไปดูล่ะนะ ฟางเซียนไปตามทางที่ระบบบอกจนกระทั่งพบเข้ากับร่างไร้วิญญาณของคนคนหนึ่งและชายปริศนาคนหนึ่ง นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะมีหมวกสานและผ้าผืนหนึ่งปกปิดอยู่
เมื่อชายคนนั้นเห็นฟางเซียนเขาก็รีบกระโจนหนีทันที และฟางเซียนก็ได้เห็นว่าจุดที่ชายคนนั้นยืนอยู่เมื่อครู่มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย นางอยู่ในสภาพหวาดกลัวและสับสน ฟางเซียนเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นและส่งยิ้มเป็นมิตร
“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และชายคนนั้นพูดอะไรกับเจ้า”
เด็กสาวคนนั้นมีท่าทางกังวลแต่ก็พยักหน้ารับและให้ข้อมูลกับฟางเซียน
เด็กผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่า เหยาเหยา นางเล่าว่าคนที่นอนเป็นศพอยู่ตรงนั้นถูกชายปริศนาคนนั้นพูดเป่าหูบางอย่างจนฆ่าตัวตาย จากนั้นชายคนนั้นก็ได้เข้ามาพูดกับนางเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
เขาเล่าว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันยากลำบาก เมื่อเกิดขึ้นมาทุกคนจะต้องพบกับเรื่องยากลำบากและเจ็บปวดจนกระทั่งตายอย่างไม่มีทางเลือก ฆ่าตัวตายยังดีซะกว่า เขาเอาแต่พูดเรื่องด้านลบ มองโลกในแง่ร้ายกว่าฟางเซียนหลายเท่า
ก็จริงที่ว่าฟางเซียนไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่นางก็ไม่ได้มองโลกในแง่ลบขนาดนั้น นางอยากตายเพราะไม่มีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่และไม่มีอะไรบนโลกที่ทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น อย่างน้อยนางก็มองเห็นว่ามีคนดีอยากให้นางยกเลิกแผนฆ่าตัวตาย แต่นางก็เลือกไม่สนใจเอง...
“แล้วเจ้าเลือกจะเชื่อหรือไม่ว่าโลกนี้มีแค่เรื่องเลวร้าย?” ฟางเซียนเอ่ยถามเหยาเหยา
“ข้า...มีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เรานอนข้างถนนมาตลอดแทบไม่เคยกินอิ่มและนอนหลับ จนกระทั่งพี่สาวของข้าได้ทำงาน พวกเราพี่น้องก็ได้กินอิ่มและนอนหลับ ข้าคิดว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ดีไม่น้อย” เหยาเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นเรื่องที่ดี” ฟางเซียนพึมพำเสียงแผ่วเบา “แต่มันคงไม่ใช่สำหรับข้าในตอนนี้...”
ถ้าหากว่าคนที่นางอยากให้อยู่ข้างๆ ยังมีชีวิตอยู่ การมีชีวิตอยู่ต่อไปคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่านี้มาก...
เหยาเหยากลับบ้านไปหาพี่สาวของนางแล้ว ฟางเซียนแอบติดตามเหยาเหยาอย่างลับๆ เพราะนางเดาว่าชายปริศนาคนนั้นอาจจะย้อนกลับมาหาเหยาเหยาเพื่อล่อลวงให้นางฆ่าตัวตายอีกครั้ง
ในวันนี้ฟางเซียนตามเฝ้ามองเหยาเหยาตลอดทั้งวัน นางได้รู้ว่าพี่สาวของเหยาเหยาทำงานเป็นนางโลม ซึ่งมันเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยน่าพอใจนักสำหรับเด็กสาว สถานะของพวกนางน่าจะเสี่ยงที่จะกลายเป็นเป้าหมายของลัทธิฆ่าตัวตาย ฟางเซียนไม่ค่อยอยากให้เกิดเรื่องน่าเศร้านักเพราะสองพี่น้องนั่นทำให้นางนึกถึงตัวเองและน้องสาวของนาง
“เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” หลังจากค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายทั้งวันจ้าวหลงเทียนก็กลับมารวมตัวกับฟางเซียนอีกครั้ง
“เฝ้าคนที่น่าจะเป็นเหยื่อรายต่อไป” ฟางเซียนตอบ
“จริงรึ!?” จ้าวหลงเทียนอุทานด้วยสีหน้ายินดี เขาพยายามค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายมาทั้งวัน แต่กลับรู้แค่ว่าผู้ตายได้พบชายปริศนาคนหนึ่งก่อนที่จะฆ่าตัวตายเท่านั้นจ้าวหลงเทียนยอมรับว่าเขาสิ้นหวังอย่างมากในการตามหาลัทธิที่มีตัวตนแต่กลับจับต้องไม่ได้เสียอย่างนั้น เขาคว้าน้ำเหลวมาเยอะแล้ว ครั้งนี้เขาจะคว้าเป้าหมายไว้ให้ได้
พวกฟางเซียนเฝ้าดูเหยาเหยาและพี่สาวของนางกันทั้งคืน ลู่เหลียนไม่อยากถูกทิ้งให้นอนคนเดียวก็เลยมานั่งเฝ้าด้วย แต่เพราะว่าเขายังเด็กจึงฝืนทนความง่วงไม่ค่อยจะได้ เขาเลยนั่งหลับและสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลายรอบ น่ากังวลว่าลู่เหลียนจะหงายหลังหรือไม่ก็หน้าคว่ำพื้นจนได้เจ็บตัวสักครั้ง
แต่ฟางเซียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด เรื่องแก้เบื่อของนางก็คือการนั่งมองนกยูงง่วงนี่ล่ะ พอเขาสัปหงกและเกือบจะล้มหางนกยูงของเขาจะตีพับๆ เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้มหงาย มันดูขบขันและน่ารักน่าเอ็นดูมาก
ทำเอาซะนางนึกภาพนกยูงตัวร้ายไม่ออกเลย
จนกระทั่งรุ่งสางฟางเซียนและจ้าวหลงเทียนก็ยังไม่ได้นอน แต่ถึงจะนอนก็คงนอนไม่หลับเพราะเมืองเหยาเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับใหล เสียงดังได้ทั้งวันทั้งคืน
“เช้าแล้วหรือ? แล้วพวกนางยังไม่ตื่นหรือขอรับ?” ลู่เหลียนที่เพิ่งตื่นเอ่ยถาม
“พวกนางไม่ยอมออกจากห้อง” จ้าวหลงเทียนกล่าวพลางทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะทำหน้านึกสงสัย “เมื่อไม่นานมานี้ข้าสัมผัสได้ว่าจิตใจของพวกนางไม่สงบ ข้าคิดว่าพวกนางอาจจะฝันร้ายและน่าจะตื่นนอนเพราะฝันร้ายนั่นแล้ว แต่น่าแปลกที่พวกนางไม่ยอมออกจากห้องนอนและจนถึงตอนนี้จิตใจของพวกนางยังไม่กลับมาคงที่”
ฟางเซียนเริ่มนึกเอะใจขึ้นมาบ้างแล้วว่ามันอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น นางไม่ลังเลที่จะมุ่งหน้าไปยังที่พักของเหยาเหยาและพี่สาวของเหยาเหยา แต่นางมาช้าเกินไป สัญญาณชีวิตของสองพี่น้องดับลงเมื่อนางและจ้าวหลงเทียนไปถึง
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของฟางเซียนและจ้าวหลงเทียนก็คือร่างโชกเลือดของเหยาเหยาและพี่สาวของเหยาเหยา ร่างของทั้งสองพี่น้องนอนกุมมืออยู่บนพื้นข้างกันและกันอย่างแนบแน่นราวกับว่าจะไม่มีทางแยกจากกัน
“ข้าพลาดสิ่งใดไปกัน!” จ้าวหลงเทียนทั้งตกใจ ไม่เข้าใจ และเสียใจ เขาเริ่มโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ทั้งที่เขาเฝ้าดูมาตลอดแต่กลับปล่อยให้คนบริสุทธิ์ตายอีกครั้ง
ฟางเซียนไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นางเพียงยืนมองศพของสองพี่น้องครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เพราะหากนางมองไปมากกว่านี้ความอิจฉาคงเพิ่มมากขึ้น
อิจฉาที่พวกนางได้ตายไปพร้อมกับคนที่ตัวเองรัก...
ซึ่งพอเดินออกมาได้ไม่กี่สิบก้าวฟางเซียนจึงบังเอิญเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนกับชายปริศนาครั้งก่อนไม่มีผิด ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อชายคนนั้นก็รีบวิ่งหนีอย่างไม่เหลียวหลัง
ฟางเซียนวิ่งตามไป “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
จ้าวหลงเทียนมีปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของฟางเซียน เขาชักกระบี่และกระโดดไปขวางหน้าของชายปริศนาคนนั้น
“เจ้าคือใคร” จ้าวหลงเทียนเอ่ยถามเสียงดุดัน ดวงตาสีทองของเขาจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“แน่นอนว่าข้าคือผู้เผยแพร่ลัทธิฆ่าตัวตายอย่างไรล่ะ!” ชายคนนั้นพูดอย่างภูมิใจ จ้าวหลงเทียนตวัดกระบี่ฟันอีกฝ่ายด้วยอารมณ์โมโห แต่ก็ฟันได้แค่หมวกสานของอีกฝ่ายเท่านั้น “อย่าใจร้อนนักเลย”
ชายคนนั้นกล่าวพลางหัวเราะพร้อมกับชักกระบี่ออกมาสู้
“ทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ด้วย!” จ้าวหลงเทียนถามเสียงกร้าว
“ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย พวกนั้นโง่ฆ่าตัวตายเองต่างหาก” ชายคนนั้นกล่าวพลางยักไหล่ไม่สนใจชีวิตของคนอื่นจ้าวหลงเทียนรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น
“เป้าหมายของเจ้าคือสิ่งใดกันแน่ แล้วทำไมสมดุลวิญญาณถึงได้ผิดเพี้ยนไป เจ้าเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”
“หลายคำถาม ข้าขี้เกียจตอบ”
เมื่อไม่ได้คำถามที่ต้องการจ้าวหลงเทียนก็พยายามไล่ต้อนอีกฝ่ายอย่างไม่ออมมือ ด้วยระดับที่แตกต่างกันฝ่ายชายปริศนาคนนั้นก็ถูกต้อนจนจนมุมอย่างง่ายดาย
“ข้าจะถามอีกครั้ง เป้าหมายของเจ้าคือสิ่งใด” จ้าวหลงเทียนชี้กระบี่ไปที่ชายปริศนาและเอ่ยถามเสียงกดดัน
ชายปริศนาโคลงศีรษะและส่งยิ้มก่อกวนไปให้ “คงจะ...สนุกล่ะมั้ง”
“เจ้า!” คำตอบนั่นทำให้จ้าวหลงเทียนขาดความยับยั้งชั่งใจ เขาแทงกระบี่ไปที่กลางอกของชายปริศนาคนนั้นจนตายสนิททันที “เห็นชีวิตคนเป็นของเล่นรึไงกัน!”
จ้าวหลงเทียนกล่าวอย่างโกรธเคือง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วเขาก็พยายามสงบอารมณ์และเก็บกระบี่เข้าฟัก
“ตายแล้วงั้นเหรอ?” ฟางเซียนขมวดคิ้วพลางมองศพของชายคนนั้น เขาตายสนิทจริงๆ
“ใช่แล้ว แม้ว่าข้าจะสังหารเขาเพราะขาดสติ แต่ชายผู้นี้ก็สมควรตายเพราะเขาทำให้ผู้คนบริสุทธิ์มากมายฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนี้เขาตายแล้ว หลังจากนี้พวกเราก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครตกเป็นเหยื่อของเขาอีกต่อไป” จ้าวหลงเทียนสรุปว่าเรื่องทุกอย่างจบแล้ว แต่ฟางเซียนรู้สึกว่าเรื่องราวมันจบเร็วจนน่าสงสัยเกินไป
มันจะง่ายขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
แต่เจ็ดวันหลังจากนั้นการฆ่าตัวตายอย่างปริศนาก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลย...
………..
ความฝันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และฝันร้ายก็คือสิ่งที่ฟางเซียนเกลียดมากที่สุด เมื่อฝันร้ายฟางเซียนก็ต้องการหลีกเลี่ยงมันซึ่งก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้นางหลีกหนีจากฝันร้ายได้นั่นก็คือ ไม่ต้องนอนมันซะเลย
เพราะช่วงนี้ฝันร้ายฟางเซียนจึงไม่ยอมนอนมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว มันจึงไม่แปลกที่ในช่วงนี้นางจะรู้สึกเหนื่อยล้า ถึงแม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรจะแข็งแกร่งก็ตามแต่ก็ยังคงต้องการนอนพักผ่อนเหมือนคนทั่วไปอยู่ดี
[ช่วงนี้คุณดูอ่อนล้ามากเลยนะครับ นอนสักหน่อยเถอะนะครับ] ระบบบอกด้วยความเป็นห่วง
“ฉันจะนอนไม่หลับจนตายไหม?” ฟางเซียนพึมพำ
[ไม่มีทางครับ] ระบบตอบแทบจะทันทีและถอนหายใจเอือมระอา เปลี่ยนจากแผนนอนทั้งวันทั้งคืนมาเป็นไม่ยอมหลับยอมนอนซะได้ ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่พอดีกันเลย ระบบขอถอนหายใจอีกรอบ
“ถ้าจำอะไรไม่ได้คงจะดี” ฟางเซียนเหม่อลอยและแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เมื่อหลับตาฟางเซียนจะเห็นภาพของสองพี่น้อง ณ เมืองเหยานั่น
ทำไมนางถึงไม่สามารถสลัดภาพของสองพี่น้องนั่นออกไปจากหัวได้กันนะ?เพราะอิจฉางั้นเหรอ?หรือเสียใจ?หรือรู้สึกผิด?แต่ไม่ว่าจะความรู้สึกไหนนางก็อยากจะรู้ว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะสามารถลบภาพพวกนั้นออกไปจากหัวนางได้...
ลบงั้นเหรอ?และทันใดนั้นเองจู่ๆ ฟางเซียนก็ทำหน้าเหมือนพบทางออก “ระบบ นายลบความทรงจำของฉันได้ไหม?เหมือนตอนล้างความทรงจำก่อนที่จะส่งวิญญาณไปเกิดใหม่อะไรเทือกนั้นน่ะ”
[มันเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีในการกำจัดความทรงจำเลวร้ายนะครับ แต่การลบความทรงจำโดยใช้วิธีการบางอย่างกับการชำระล้างก่อนจะไปเกิดใหม่มันไม่เหมือนกัน การชำระล้างก่อนจะไปเกิดใหม่เป็นการล้างทุกสิ่ง อย่างเช่น ความทรงจำและรูปลักษณ์ของวิญญาณ ตัวตนเดิมจะหายไปสิ้น ส่วนการลบความทรงจำที่คุณกล่าวถึงมันก็เหมือนเป็นการใช้สีขาวทาทับสีดำ ซึ่งการทาสีทับมันไม่ทำให้สีเดิมหายไปไหนแต่อย่างใด มันแค่จะทำให้คุณมองไม่เห็นเท่านั้น แน่นอนว่าสุดท้ายคุณก็จะสามารถกลับมามองเห็นสีที่แท้จริงของมันได้เหมือนเดิม ความหมายก็คือ สุดท้ายแล้วความทรงจำพวกนั้นก็จะกลับมาหาคุณสักวันเพราะไม่สามารถหายไปได้ตลอดกาล] ระบบอธิบายยืดยาวเพื่อให้เห็นภาพมากที่สุด
“อาจจะดี...” ฟางเซียนคิดว่าอย่างน้อยมันก็จะทำให้นางลืมมันไปได้สักพัก
[แต่ถ้าคุณได้ความทรงจำกลับมาแบบครึ่งๆ กลางๆ ทีละเล็กทีละน้อยมันอาจจะทำให้คุณเจ็บปวดมากกว่าเดิมนะครับ อีกอย่างถ้าคุณลบความทรงจำ คุณก็จะกลับไปมีนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้ประสา มันลำบากระบบนะครับที่ต้องคอยสอนอะไรให้ใหม่]
“ชอบนั่งเถียงกับฉันมากกว่าจะไปนั่งสอนเด็กสินะ” ฟางเซียนพ่นหายใจ
ในขณะนั้นเองข้างนอกบ้านก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นมา ฟางเซียนไม่แปลกใจกับเสียงพวกนั้นนักเพราะว่ามันเป็นอย่างนี้มาได้หลายวันแล้ว ตั้งแต่เรื่องที่เมืองเหยาจบลงจ้าวหลงเทียนก็ติดตามฟางเซียนกลับบ้านมาด้วย เขาบอกว่าเขายังต้องการไถ่โทษที่เผลอทำร้ายฟางเซียนเมื่อครั้งก่อน
ซึ่งลู่เหลียนไม่พอใจมากที่จ้าวหลงเทียนยังคงตามติดฟางเซียน เขาพยายามขับไล่จ้าวหลงเทียนออกไปให้พ้นสายตา แต่จ้าวหลงเทียนอยากรักษาคำพูดที่ว่าเขาจะให้ฟางเซียนทำร้ายเขาเพื่อเป็นการไถ่โทษ แต่ฟางเซียนไม่อยากทำร้ายพระเอกที่สมองพัฒนาไม่ครบส่วน เพราะมันน่าสงสารเกินไป
ลู่เหลียนก็เลยเสนอตัวทำแทนและถือกระบี่ชื่อเซียววิ่งไล่แทงจ้าวหลงเทียนอย่างไม่เกรงใจ ในตอนนั้นเองที่จ้าวหลงเทียนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงจนเกิดรู้สึกรักชีวิตตัวเองขึ้นมา
อาวุธของลู่เหลียนมีความพิเศษนอกเหนือจากเปลี่ยนร่างอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมันได้ครอบครองปราณพิษร้ายแรง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับแผลจากกระบี่ชื่อเซียว ปราณพิษนั่นก็จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายและทำลายอวัยวะภายในของคนคนนั้น จนกระทั่งทุกอย่างในร่างของคนคนนั้นกลายเป็นสีดำ ถึงแม้ว่าจ้าวหลงเทียนจะเป็นเทพมังกรก็ตามแต่การจะเอาชีวิตรอดจากปราณพิษก็คงไม่ง่ายดาย
จ้าวหลงเทียนไม่ท้อถอยเรื่องไถ่โทษแต่ก็ไม่อยากตายเพราะปราณพิษ ส่วนลู่เหลียนก็ไม่ท้อถอยที่จะใช้กระบี่ชื่อเซียนแทงเทพมังกร มันจึงกลายเป็นว่าทั้งสองวิ่งไล่จับกันทุกครั้งที่พบหน้ากัน
“หนวกหู!อย่ามาสู้กันที่นี่!” เนื่องจากว่าไม่ได้นอนมาหลายวันความดันของฟางเซียนจึงต่ำเป็นพิเศษ ไม่ว่าอะไรมันก็ดูน่ารำคาญไปหมด
พอสิ้นเสียงตะโกนของฟางเซียนเสียงโครมครามเมื่อครู่ก็เงียบไปทันที ต่อมานกยูงขาวและมังกรทองก็เข้ามาหาฟางเซียน ทั้งสองทำหน้าสำนึกผิดและเอ่ยขอโทษพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ทั้งที่เมื่อครู่ยังตีกันแทบตาย
ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนมีเด็กในความดูแลเพิ่มขึ้นมาอีกคนกัน?
“แค่อย่าเสียงดัง ข้ารำคาญ” ฟางเซียนบ่นพลางนวดขมับ