บทที่ 7.1 เทพมังกรทอง
[ยินดีด้วย ภารกิจตามหาอาวุธของลู่เหลียนและของคุณเองสำเร็จแล้ว รวมรางวัลแต้มลบได้ 1,600 แต้ม แต่เนื่องจากคุณไม่มีความรอบคอบจึงทำให้ลู่เหลียนบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงขอมอบบทลงโทษให้กับคุณนั่นก็คือโชคป้องกันการบาดเจ็บ เมื่อโชคป้องกันการบาดเจ็บเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แบบไหนคุณก็จะถูกโชคช่วยเหลือไว้ไม่ให้ได้บาดเจ็บเสมอ]
เมื่อฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมาระบบฆ่าตัวตายก็รีบประกาศทันทีราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก ฟางเซียนแทบสบถคำหยาบออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด
ฟางเซียนไม่อยากตื่นเพราะเสียงน่ารำคาญและน่าโมโหของระบบห้ามฆ่าตัวตายนี่แหละ พอได้ยินแล้วมันทำให้นางอยากจะหลับไม่ตื่นไปเลย แต่เพราะนางรู้สึกไม่สบายตัวจากบาดแผลเมื่อวานจึงข่มตาหลับต่อไปไม่ลง แม้ว่าขณะนี้บาดแผลบนไหล่ซ้ายของนางจะถูกรักษาด้วยคาถาเวทรักษาของจ้าวหลงเทียนแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียจากการได้รับพิษจากหมอกพิษนั่น ความจริงแล้วนางไม่ได้รับยาถอนพิษแต่อย่างใด แต่ที่รอดมาได้ก็เป็นเพราะว่าระบบยัดเยียดวิธีขับพิษออกจากร่างกายด้วยการโคจรพลังปราณนั่นเอง กฎห้ามฆ่าตัวตายก็ดีเยี่ยมเสียจริง ขับพิษออกจากร่างกายของนางจนแทบไม่เหลือ มันน่าโมโหจริงเชียว!
นอนบ่นจนพอใจฟางเซียนจึงยอมลุกออกจากเตียง แน่นอนว่าไม่ใช่เตียงในบ้านบนภูเขาเฮยอั้นของนาง นางไปไหนไม่ได้ไกลเพราะอาการบาดเจ็บ ตั้งแต่เมื่อคืนนางจึงได้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองซูแทน
“ท่านอาจารย์ฟื้นแล้ว!” ลู่เหลียนวนเวียนอยู่ข้างกายฟางเซียนมาตลอด เมื่อเห็นว่านางลุกออกจากเตียงก็รีบเดินเข้ามาหาทันที ฟางเซียนหันไปมองลู่เหลียนและนึกอยากจะตำหนิเขาที่แก้ไขความเข้าใจผิดของจ้าวหลงเทียน แต่เหมือนเห็นหางนกยูงของลู่เหลียนโบกไสวด้วยความดีใจดูน่ารักนางก็ลืมที่จะตำหนิเขาชั่วคราว
“เจ้าถูกพิษเข้าไป อาการเป็นเช่นไรแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงนั่นฟางเซียนก็อดเอ่ยถามไม่ได้ เขาไม่เหมือนคนที่เพิ่งถูกพิษเหมือนนางเลย
“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ” ลู่เหลียนตอบ “เทพผู้นั้นช่วยรักษาให้ข้าด้วยขอรับ”
“เทพ...” เมื่อพูดถึงพระเอกของโลกฟางเซียนก็ทำหน้าน่าเกลียดทันที ทำให้นางเจ็บตัวแต่ดันไม่ยอมฆ่านางให้ตายไปซะ สุดท้ายดันมาช่วยให้นางรอดชีวิตอีกด้วย มันน่าโมโหที่สุด!
[คุณโชคดีนะเนี่ยที่ได้พบพระเอกก่อนกำหนด] ระบบกล่าว
“ถ้าฉันจำไม่ผิดเขาจะเกิดในอีกหมื่นปีข้างหน้าไม่ใช่เหรอ?”
[คุณลืมไปแล้วเหรอครับว่าตัวจริงของพระเอกก่อนที่จะจุติลงมาเป็นมนุษย์และดำเนินเนื้อเรื่องในนิยายแต่เดิมแล้วเขาเป็นเทพมังกร]
“หมายความว่าตอนนี้พระเอกกำลังมีชีวิตในฐานะเทพมังกร?” ฟางเซียนก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ พระเอกมีบทบาทสังหารนางในอนาคตจะต้องเก่งกว่านางมากแน่นอน ดูจากบาดแผลที่นางได้รับเมื่อวานมันเป็นหลักฐานได้เลย! เขาจะต้องสามารถฆ่านางได้อย่างแน่นอน! ความหวังของฟางเซียนสว่างไสวอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์...คุยอยู่กับใครหรือขอรับ?” ลู่เหลียนทนเก็บความรู้สึกสงสัยไว้ไม่ไหวจึงถามออกมา
ฟางเซียนนิ่งเงียบเพราะไม่สามารถตอบคำถามได้ ตัวตนของระบบห้ามฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ลึกลับ ระบบมาจากไหน? ต้นกำเนิดและเป้าหมายของมันมาจากใคร? อำนาจลึกลับที่มันมีไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าถึงได้เลย แม้จะไม่มีใครห้ามนางไม่ให้เปิดเผยเรื่องของระบบแต่นางก็รับรู้ได้ว่านางไม่ควรพูดออกไป แต่มันก็บ่อยครั้งที่ลู่เหลียนได้ยินนางสนทนากับระบบ จากสายตาคนอื่นมันก็เหมือนกับว่านางเป็นบ้าพูดอยู่คนเดียวนั่นแหละ ตลอดมานางก็ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์นี้นัก แต่พอโดนลู่เหลียนถามบ่อยมากเข้านางก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมานิดหน่อย
“ระบบ นายพูดในหัวของฉันได้แต่ทำไมฉันถึงพูดในหัวกับนายไม่ได้? ฉันชักเริ่มไม่อยากคุยกับอากาศเหมือนคนบ้าแล้วนะ” ฟางเซียนกระซิบถามระบบ
[เพราะว่าคุณปฏิเสธระบบ ผมจึงเชื่อมต่อกับคุณได้ไม่สมบูรณ์ ถ้าคุณอยากสนทนากับผมในใจก็ให้ผมเข้าไปในหัวของคุณสิ]
“เข้ามาในหัว หมายความว่านายจะอ่านความคิดทุกอย่างของฉันได้?”
[ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ] ระบบแสร้งถ่อมตัวเล็กน้อย ฟางเซียนเบะปาก นางไม่ยอมให้ระบบเข้ามาในหัวแน่ ไม่อย่างนั้นระบบจะรู้ทุกแผนการฆ่าตัวตายของนางทุกอย่าง แค่นี้ก็น่ารำคาญมากแล้วถ้ามากกว่านี้ฟางเซียนกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนบ้าเข้าสักวัน
พอฟางเซียนเริ่มทำหน้าทะเลาะกับอากาศลู่เหลียนก็ถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าสิ่งที่ฟางเซียนคุยด้วยจะเป็นอะไรมันคงไม่ใช่สิ่งที่เขาควรยุ่งเกี่ยวหรือรับรู้
“แม่นาง เจ้าตื่นแล้วใช่หรือไม่? ข้าขออนุญาตเข้าไปได้หรือไม่?”
ประตูห้องพักถูกเคาะสามครั้งถัดมาชายผู้หนึ่งก็เอ่ยขออนุญาตด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฟังแล้วรู้สึกรื่นหูไม่น้อย ฟางเซียนเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาขณะนึกคิดว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร นางรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินเมื่อวาน
หลังจากได้รับคำอนุญาตครู่ต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่ง แวบแรกที่เห็นชายผู้นี้สะดุดตาไม่น้อย ไม่ว่าจะใบหน้าหล่อเหลาเหนือมนุษย์ เรือนผมและนัยน์ตาสีทองอันโดดเด่นและแปลกตา และเครื่องแต่งกายสีทองอร่ามสะท้อนแสงไม่น้อย ทุกอย่างล้วนดูโดดเด่น และถึงแม้ว่าบนร่างกายของเขาจะมีเพียงสีทองแต่เขากลับดูไม่เหมือนคนอวดความร่ำรวยจนน่าหมั่นไส้เหมือนผู้อื่นเลย ทุกอย่างบนร่างกายของเขาขับให้เขาดูสูงส่ง สง่างาม และน่าเคารพในฐานะเทพ
เขาคือ เทพมังกรทอง หรือ จ้าวหลงเทียน นั่นเอง
สีทองพวกนี้คือรัศมีพระเอกสินะ! มันช่างสะท้อนแสงจนรู้สึกแสบตาเชียวล่ะ
“เพื่อชดใช้ความผิดที่ข้าทำร้ายเจ้าเพราะความเข้าใจผิด ข้าจึงนำยาวิเศษมาให้ ซึ่งมันสามารถกำจัดพิษในร่างกายของเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังสามารถทำให้ร่างกายของเจ้าฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกด้วย”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจและรู้สึกสำนึกผิดที่ทำร้ายนางลงไปจากใจจริง ซึ่งในมือของเขาได้ถือยาถ้วยหนึ่งมาด้วย ทว่าฟางเซียนหาได้สนใจฟังไม่ นางสนใจรัศมีพระเอกมากกว่า ผู้ที่มีรัศมีพระเอกเจิดจ้าขนาดนี้ต้องสามารถสังหารนางได้อย่างแน่นอน
ฟางเซียนจ้องมองจ้าวหลงเทียนด้วยดวงตาที่เป็นประกายและพูดว่า “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร เจ้าไม่คิดว่าข้าควรถูกกำจัดงั้นเหรอ?” ฟางเซียนบอกเป็นนัยว่าเขาควรกำจัดนาง
“แม่นาง ไยเจ้าถึงได้กล่าวเช่นนั้น? แม้เจ้าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารแต่เจ้าหาได้ทำผิดร้ายแรงไม่ ในเมื่อสวรรค์มิได้บัญชาให้กำจัดเจ้า ข้าก็ไม่มีทางสังหารเจ้าอย่างไร้เหตุผลแน่นอน” จ้าวหลงเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ต่อมาก็ทำหน้ารู้สึกเห็นใจออกมา “ข้าไม่ทราบว่าเจ้าพบเจออะไรถึงได้คิดว่าข้าผู้ซึ่งเป็นเทพจะต้องสังหารผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร แต่ข้าขอย้ำว่าไม่ทำอย่างแน่นอน พวกเราเหล่าเทพไม่สังหารผู้ใดมั่วซั่วแน่นอน”
ยิ่งย้ำว่าไม่ฆ่า ใบหน้าของฟางเซียนยิ่งดำมืด ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางคงต้องวางแผนทำเรื่องชั่ว แต่ถ้าจะให้ไปไล่ฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพันคงเป็นไปไม่ได้ เห็นนางเป็นอย่างนี้แต่นางก็เห็นค่าชีวิตของคนอื่นอยู่นะ แล้วทำเรื่องชั่วที่ว่านางจะต้องทำอะไร? ฟางเซียนขมวดคิ้วคิดหนัก ขณะเดียวกันนั้นเองลู่เหลียนก็จ้องมองเทพมังกรทองด้วยสายตาเป็นศัตรู
ลู่เหลียนเห็นจ้าวหลงเทียนเป็นศัตรูตั้งแต่เขาทำร้ายฟางเซียนแล้ว พอมาตอนนี้ฟางเซียนแสดงออกอย่าชัดเจนว่าต้องการให้จ้าวหลงเทียนสังหารตัวเอง ลู่เหลียนจึงยิ่งเพิ่มระดับความเป็นศัตรูกับเทพมังกรมากขึ้น
ผู้ที่จะกำหนดความตายของฟางเซียนได้จะต้องมีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เองลู่เหลียนจึงมองจ้าวหลงเทียนด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองศัตรูคู่แค้นจากชาติปางก่อน
“เอาล่ะแม่นาง เจ้าควรดื่มยาถ้วยนี้ลงไป มันสามารถทำให้ร่างกายของเจ้าหายจากอาการอ่อนเพลียอย่างแน่นอน” จ้าวหลงเทียนว่าพลางส่งถ้วยยาให้ฟางเซียนแต่ลู่เหลียนก็รีบแย่งถ้วยชาออกจากมือของจ้าวหลงเทียนก่อน
“ข้าจะให้ยากับท่านอาจารย์เอง เจ้าออกไปได้แล้ว คงรู้ใช่หรือไม่ว่าตนเองเป็นบุรุษและท่านอาจารย์เป็นสตรี หากอยู่ในห้องเดียวกันมันคงดูไม่เหมาะสม” ลู่เหลียนขับไล่จ้าวหลงเทียนทั้งทางคำพูดและสายตาและท่าทาง จ้าวหลงเทียนเห็นท่าทางไร้ความเป็นมิตรของลู่เหลียนจึงยอมถอยออกไปอย่างง่ายดาย
“อย่าลืมดื่มยานะขอรับ” จ้าวหลงเทียนไม่ลืมย้ำก่อนจะออกจากห้องไป
ลู่เหลียนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ชอบใจ เขาอยากจะโยนถ้วยยาทิ้งแต่ยานี้สามารถบำรุงร่างกายของฟางเซียนได้ เขาจึงอดทนและยื่นมันให้กับฟางเซียน
“ท่านอาจารย์...ดื่มยาสักหน่อยนะขอรับ” ลู่เหลียนพูด ฟางเซียนมองถ้วยยากลิ่นเหม็นและเมินหน้าหนีทันที
“ข้าไม่ต้องการ”
“หากทำเช่นนี้ท่านจะไม่หายเอานะขอรับ” ลู่เหลียนถอนหายใจกับท่าทางเหมือนเด็กไม่ยอมกินยาของฟางเซียน
“ข้าอยากตายอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องห่วงว่าจะหายหรือไม่” ฟางเซียนพูดหน้าตายคล้ายกับว่าสิ่งที่พูดมันปกติสามัญมาก ลู่เหลียนชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
“เพียงเท่านี้ไม่ทำให้ท่านตายหรอกขอรับ” ลู่เหลียนพูดเสียงแข็งและยื่นถ้วยยามาตรงหน้าฟางเซียน “ดื่มเถอะขอรับ ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงไปวิ่งหาความตายอีก”
[ลู่เหลียนพยายามพูดให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเพื่อหลอกล่อให้คุณดื่มยาเลยนะครับ ดื่มสักหน่อยเถอะครับ ผมจะให้รางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้มแล้วกัน]
“เห็นฉันเป็นเด็กรึไง” ฟางเซียนบ่นพึมพำเมื่อถูกทั้งลู่เหลียนและระบบทำเหมือนกับว่านางเป็นเด็กที่ไม่ยอมกินยา แต่ก็ยอมรับถ้วยยามาดื่ม นางก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วเพื่อเป้าหมายนางมีความอดทนและความพยายามพอที่จะทำทุกสิ่ง...
“รสชาติมันแย่มาก” เมื่อดื่มเข้าไปคำแรกฟางเซียนก็ส่งถ้วยยาบำรุงกลับไปให้ลู่เหลียนทันที
[ยาจีนโบราณก็ขมแบบนี้ล่ะครับ]
“ยาก็ต้องมีรสชาติเช่นนี้ล่ะขอรับ”
ฟางเซียนกลอกตาเมื่อได้ยินลู่เหลียนและระบบพูดคล้ายคลึงกัน
“อดทนดื่มอีกสักคำนะขอรับ ข้าลองดื่มไปแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ” ลู่เหลียนกล่าวและจ้องนางเขม็งเพื่อกดดันให้ดื่มยา
คิ้วของฟางเซียนกระตุก นี่นางกำลังโดนเด็กบังคับให้กินยา? ศักดิ์ศรีความเป็นผู้ใหญ่หายไปหมดกันพอดี! แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นนางก็ไม่ได้คิดที่จะแสดงความเป็นผู้ใหญ่อย่างการดื่มยาขมต่อไป
ฟางเซียนคว้าถ้วยยาจากมือของลู่เหลียนและกรอกยาเข้าปากจนหมดถ้วย แต่นางไม่กลืนมันลงไป นางอมยาบำรุงไว้ในปากและรีบกระชากคอเสื้อของลู่เหลียนให้เข้ามาใกล้ จากนั้นนางก็ประกบปากลงบนปากของลู่เหลียนและส่งยาในปากของตัวเองเข้าไปในปากของเขา
“อึก!” ลู่เหลียนส่งเสียงอู้อี้ในลำคออย่างตื่นตกใจขณะเดียวกันก็เผลอกลืนยาที่ฟางเซียนส่งผ่านเข้ามาในปากจนหมด
ในตอนแรกลู่เหลียนพยายามผลักฟางเซียนเพื่อต่อต้านการกระทำของนาง แต่เมื่อสู้แรงของฟางเซียนไม่ได้เขาจึงหยุดต่อต้านและหลับตารับสัมผัสบนริมฝีปากพร้อมกับความรู้สึกปั่นป่วนในใจ เป็นอีกครั้งที่เขาได้รับสัมผัสนี้ สัมผัสอันอ่อนนุ่มและอุ่นชื้นบนริมฝีปาก...
ครั้งก่อนสติของเขาเลือนรางเกินไปจึงรับรู้ถึงสัมผัสบนริมฝีปากไม่ได้มากนัก แต่ตอนนี้สติของเขาอยู่ครบแล้วและรู้สึกได้ถึงสัมผัสได้อย่างชัดเจน เขาจึงได้ข้อสรุปว่าเขาชอบสัมผัสนี้ แม้มันจะทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ใบหน้าร้อนราวกับถูกไฟเผา และหายใจติดขัดก็ตาม
“รสขมยังไม่หายไปเลย” พอผละริมฝีปากออกฟางเซียนก็ยังคงบ่นถึงความขมของยาที่หลงเหลืออยู่ในปาก “หรือจะใช้ลิ้นดี?”
[ใช้ลิ้นอะไรของคุณกันครับ! ผมจะเรียกตำรวจมาจับคุณ!] ระบบเริ่มโวยวายถึงการกระทำของฟางเซียนเพราะนั่นมันเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศเด็กแล้ว! ว่าแต่ทำไมเด็กน้อยผู้ถูกลวนลามถึงดูพอใจกันล่ะ? ระบบสงสัยว่าตนเองอาจจะมองผิดไป
“พอใจไหมที่ได้ดื่มยาขมอีกรอบ? ถ้าเจ้าบอกว่ามันเป็นยาดีก็ดื่มไปคนเดียวแล้วกันเพราะข้าไม่ต้องการดื่มมัน” ฟางเซียนกล่าวพลางยิ้มเยาะลู่เหลียน เขามีอาการสำลักยาขมเล็กน้อยในตอนแรก พอหยุดสำลักเขาก็ปิดปากตัวเองด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ นางคิดว่าเขาคงรู้สึกขมปากไม่น้อยถึงได้ทำหน้าทำตาดุขนาดนั้น
[โธ่ ตัวร้ายผู้น่ารักไม่น่าเลย] ไม่น่าไปติดใจจูบของคนอยากตายนั่นเลย! ระบบรู้สึกเห็นใจลู่เหลียนไม่น้อย ถูกล่วงเกินไม่พอยังไปรู้สึกติดใจกับจูบของคนอยากตายที่ไม่คิดอะไรกับจูบนั่นเลยสักนิด
ไม่น่าเลย? ฟางเซียนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมระบบถึงส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเศร้าใจแบบนั้น นางรู้แค่ว่านางรู้สึกรำคาญเสียงร้องคร่ำครวญของมันมาก! อยากจะปิดหูหนีเสียงคร่ำครวญนั่นก็ทำไม่ได้ มันน่าเศร้ายิ่งนัก
คร่ำครวญไม่ทันไรจู่ๆ ระบบก็เปิดเสียงสัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ดังลั่นอยู่ในหัวของฟางเซียนอย่างไม่เกรงใจ [แจ้งเตือน! พิษกำลังลอยมาถึงคุณและลู่เหลียนแล้ว! หากลู่เหลียนโดนพิษเข้าระบบจะให้แต้มบวกกับคุณ!]
“พิษจากไหน?” ฟางเซียนนวดขมับและเอ่ยถามอย่างหัวเสีย
[จากกระบี่ต้องสาปที่คุณนำกลับมาจากสุสานอาวุธนั่นแหละครับ]
ฟางเซียนทำหน้านึกขึ้นมาได้ก่อนจะหันไปมองมุมห้องที่นางได้วางกระบี่ต้องสาปทิ้งไว้ “ลืมเรื่องอาวุธที่นำกลับมาจากสุสานอาวุธเสียสนิท”
‘เจ้านำข้าออกมาจากสุสานแล้ววางข้าทิ้งไว้มุมห้องแบบนี้ได้อย่างไรกัน! ข้าเป็นถึงสุดยอดกระบี่เลยนะ! เจ้าคนไม่เห็นคุณค่าของข้า!’ เมื่อฟางเซียนเข้าไปอยู่ในระยะสื่อสารของกระบี่ต้องสาปนางก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างหัวเสียของมัน
เพราะเป็นเสียงน่าหนวกหูฟางเซียนจึงแสร้งทำเป็นเมินเฉยและหันไปหยิบพัดด้ามจิ้วที่วางอยู่ข้างๆ กระบี่ต้องสาปแทน ซึ่งมันก็คืออาวุธที่ลู่เหลียนเลือกมา
ด้ามจับของพัดด้ามจิ้วอันนี้ทำมาจากเปลือกหอยสีขาวที่เปล่งประกายสีรุ้งและผ้าของมันทำมาจากผ้าไหมที่ถูกถักด้วยลวดลายลูกไม้สีขาวสวยงาม และขอบด้ามจับของมันก็มีลวดลายนกยูงสีทองสวยงาม แต่บางทีมันก็ดูสวยงามเกินไปจนมันไม่น่าจะเป็นอาวุธสังหารได้ น่าจะมีไว้ใช้ตบหัวคนมากกว่า
แต่จะว่าไปก่อนหน้านี้มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นกระบี่ได้นี่นา ฟางเซียนลองพยายามทำให้มันเปลี่ยนร่างแต่ก็ทำไม่ได้ นางจึงได้ข้อสรุปว่ามันจะเชื่อฟังเฉพาะผู้ที่มันยอมรับเท่านั้น นางจึงส่งมันให้กับลู่เหลียน
“เจ้าใช้เป็นใช่ไหม?” ฟางเซียนถาม
“ขอรับ” ลู่เหลียนพยักหน้ารับและรับพัดด้ามจิ้วไป เขาเพียงแค่สะบัดมันครั้งเดียวพัดด้ามจิ้วธรรมดาก็ได้กลายเป็นกระบี่สีแดงคล้ำทันที
“ไม่เลวเลย” ฟางเซียนเอ่ยชื่นชมก่อนจะหันไปมองกระบี่ต้องสาป “ส่วนเจ้ามันก็แค่กระบี่น่ารำคาญ”
‘แล้วเจ้าพาข้าออกมาจากสุสานทำไม!’ กระบี่ต้องสาปตะโกนเหมือนคนโมโหร้ายตลอดเวลา ฟางเซียนจึงหยิบมันขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย
“เจ้ามีพิษที่สามารถทำร้ายเจ้าของได้ งั้นเจ้าก็ลองใช้พิษไร้น้ำยาของเจ้าปลิดชีวิตข้าเสียสิ” ฟางเซียนพูดจายั่วยุกระบี่ต้องสาปและแสยะยิ้มเย้ยหยัน
‘เจ้าจะบ้ารึ! คิดว่าข้าแค่ขู่รึไง! เดียวก็ตายเอาหรอก!’ มันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฟางเซียนถึงอยากให้มันทำอย่างนั้น
“กระบี่เล่มนั้นสื่อสารกับท่านได้หรือขอรับ?” ลู่เหลียนถามเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงของกระบี่สีดำในมือของฟางเซียน
“ใช่ มันเป็นกระบี่ที่ส่งเสียงได้น่ารำคาญมาก” ฟางเซียนบอกกับลู่เหลียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าควรเอามันไปบดเป็นเศษเหล็กดีไหม?”
‘ถ้าเจ้ากล้าทำข้าก็จะฆ่าเจ้า!’ พอกระบี่ต้องสาปเอ่ยจบ รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าของฟางเซียนทันที กระบี่ต้องสาปรู้สึกสับสนและมึนงงอย่างมาก เมื่อครู่มันเพิ่งพูดขู่ฆ่าไปไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถึงทำหน้ายินดีเช่นนั้นกัน?
“ถ้าเศษเหล็กอย่างเจ้าทำได้ก็ดีน่ะสิ” ฟางเซียนหัวเราะอารมณ์ดี
‘อย่ามาเรียกข้าว่าเศษเหล็กนะ! ข้ามีชื่อว่า เสอโหย่วตู๋’
“กระบี่มีชื่อด้วยเหรอ? เสอโหย่วตู๋ หมายถึงงูพิษสินะ ตรงตัวดีนะ แล้วกระบี่ของเจ้ามีชื่อรึเปล่า?” ฟางเซียนหันไปถามลู่เหลียนในประโยคหลัง
“ชื่อเซียว ขอรับ มันสลักไว้เช่นนั้น” ลู่เหลียนตอบ
“มันมีความหมายว่า เมฆสีแดง สินะ ก็ดี! เก็บรักษามันไว้ให้ดีล่ะเพราะต่อจากนี้เจ้าจะต้องใช้งานมัน” พอกล่าวกับลู่เหลียนจบฟางเซียนก็หันไปท้าทายกระบี่ในมือเพื่อยั่วโมโหของมันต่อ “เอาล่ะ เสอโหย่วตู๋ เศษเหล็กอย่างเจ้าสามารถปลิดชีวิตของข้าได้รึเปล่า?”
‘ข้ายอมรับก็ได้ว่าพิษของข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ในตอนนี้ แต่คอยดูเถอะข้าจะทำให้เจ้าดูถูกข้าไม่ได้อีกต่อไป! ข้าจะพัฒนาพิษของตัวเองและสังหารเจ้าเสีย!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋เอ่ยอย่างเจ็บใจ
ฟางเซียนคาดหวังไว้ว่าพิษของมันจะร้ายแรงอย่างที่มันคุยโวไว้ แต่เมื่อได้ยินว่าพิษของมันไม่สามารถสังหารนางได้ นางก็ทำหน้าผิดหวังพลางคิดว่าไม่น่าเอามันกลับมาด้วยเลย พอคิดอย่างนั้นนางก็โยนกระบี่ทิ้งลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดี
‘เจ้าเห็นข้าเป็นขยะรึไงถึงได้โยนข้าทิ้งแบบนี้น่ะ!’ กระบี่โวยวายอย่างหนัก ฟางเซียนจึงเตะมันจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังและไม่สนใจมันอีก
ลับหลังฟางเซียน ลู่เหลียนเข้าไปใกล้กระบี่เสอโหย่วตู๋และทันใดนั้นเองเขาก็แทงกระบี่ชื่อเซียวบนลงพื้นซึ่งห่างจากกระบี่เสอโหย่วตู๋เพียงแค่นิดเดียว พื้นบริเวณนั้นกลายเป็นผุยผงเพราะพิษของกระบี่ชื่อเซียวทันที กระบี่เสอโหย่วตู๋ถึงกับสะดุ้งเพราะมันรับรู้ได้ว่าพิษของกระบี่ชื่อเซียวร้ายแรงกว่าของมันมาก
สมกับเป็นกระบี่จากสุสานอาวุธซึ่งเต็มไปด้วยหมอกพิษ มีแต่อาวุธที่มีพิษร้ายแรงทั้งนั้น!
หลังจากแสดงความร้ายกาจของพิษจากกระบี่ชื่อเซียวแล้วลู่เหลียนก็ย่อตัวลงไปใกล้กระบี่เสอโหย่วตู๋และกระซิบเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้ากล้าทำให้ท่านอาจารย์เป็นแผลแม้แต่รอยเดียวละก็ข้าจะบดเจ้าเป็นเศษเหล็กเสีย!”
เสอโหย่วตู๋พูดไม่ออก ไยใบหน้าอันน่ารักถึงได้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเช่นนี้!
ทั้งฟางเซียนและลู่เหลียนไม่แม้แต่จะสนใจกระบี่เสอโหย่วตู๋อีก
แต่สุดท้ายแล้วฟางเซียนก็ต้องใช้มันเพื่อขี่กลับบ้านเฮยอั้น เพราะหากเดินทางเหมือนตอนมาคงจะต้องเสียเวลาเดินทางอีกนาน ถึงมันจะฆ่านางไม่ได้แต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์สำหรับเป็นยานพาหนะของนางล่ะนะ เก็บมันไว้ใช้งานก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้ามันยังพ่นคำด่าไม่เว้นว่างเช่นนี้ความคิดอยากจะโยนมันทิ้งก็ยังไม่หาย
‘หน้าไม่อาย! เตะข้าทิ้งแล้วยังจะกล้าใช้งานข้าอีก!’ มันบ่น
โชคดีที่ฟางเซียนมีภูมิคุ้มกันทางเสียงเพราะต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญของระบบทุกวัน นางจึงทนกับเสียงโวยวายของมันได้ ซึ่งอันที่จริงตอนนี้นางกำลังมีสมาธิอยู่กับการควบคุมกระบี่ให้เหาะอยู่บนฟ้าโดยไม่ร่วงต่างหาก
การขี่กระบี่ครั้งแรกมันไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะการขี่กระบี่ครั้งแรกที่ต้องมีคนโดยสารไปด้วย นางไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตกกระบี่ลงไปตายหรอกนะ นางแอบหวังให้ตัวเองพลาดตกลงไปตายด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าตอนนี้ลู่เหลียนอยู่ในอ้อมแขนของนาง ถ้าหากตกลงไปแล้วไม่ตายนางมั่นใจเลยว่าแต้มบวกมันจะต้องตามมาหลอกหลอนจนนางล้มป่วยแน่นอน เพราะงั้นนางต้องระมัดระวังหน่อย