บทที่ 10.2 อยู่เฉยๆ ความตายก็วิ่งเข้าหา
ฟางเซียนต้องการความตาย แต่นางจะไม่ลากคนอื่นมาตายด้วยเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกศิษย์ของนาง ถึงแม้ว่านางจะรับดูแลพวกเขาเพราะว่าระบบยัดเยียดให้กับนางก็ตาม แต่ตราบใดที่นางยังไม่ตาย นางจะยอมปล่อยให้พวกเขาตายเด็ดขาด
“พวกเจ้าต้องรีบออกไปจากที่นี่และอย่าได้กลับมาอีก” ฟางเซียนออกคำสั่ง
“ไม่!” ลู่เหลียนปฏิเสธทันทีเพราะเขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ฟางเซียนมีพฤติกรรมคุยคนเดียวแล้ว ยิ่งเขาได้เห็นสีหน้ายินดีปนตื่นเต้นของฟางเซียนเขาก็รู้ได้ทันทีว่าฟางเซียนกำลังคิดเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างแน่นอน
เขาไม่ยอมให้ฟางเซียนได้ทำตามใจแน่!
ไวเท่าความคิด ลู่เหลียนเดินเข้าไปประชิดตัวฟางเซียนและคว้าต้นแขนของนางไว้อย่างไม่เกรงใจเพื่อไม่ให้นางมีโอกาสวิ่งหนีหายไป
ฟางเซียนอ้าปากเตรียมบ่นลู่เหลียน ทว่าทันใดนั้นเองบางอย่างก็ได้พุ่งผ่านหมอกหนาเข้ามาหาพวกนางด้วยความเร็ว ฟางเซียนรีบผลักลู่เหลียนออกไปและชักกระบี่เสอโหย่วตู๋ออกมาปัดป้องกระบี่ปริศนาอย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์!” ลู่เหลียนร้องเรียกฟางเซียนด้วยความกังวล เขาตั้งใจจะวิ่งกลับไปหาฟางเซียนแต่ซงเลี่ยงจินคว้าไหล่เขาไว้
“เจ้าจะเข้าไปเป็นตัวเกะกะหรือ? ท่านปรมาจารย์ฟางเซียนเก่งกาจอยู่แล้ว เจ้าจะกังวลสิ่งใดกัน?” ซงเลี่ยงจินไม่เข้าใจความกระวนกระวายของลู่เหลียน เขาจึงรั้งลู่เหลียนไว้ เขาจึงถูกลู่เหลียนมองด้วยสายตาแข็งกร้าวและเจือจิตสังหาร
ซงเลี่ยงจินชะงักและเผลอปล่อยมือออกจากไหล่ของลู่เหลียนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลู่เหลียนจึงได้โอกาสวิ่งหายเข้าไปในหมอกอย่างรวดเร็ว แต่เพราะหมอกลงจัดเกินไปลู่เหลียนจึงมองหาฟางเซียนไม่เจอ เขาวิตกกังวลมากและเมื่อเขาเห็นประกายแสงจากกระบี่เขาก็รีบตามประกายแสงนั่นไปทันทีเพราะเขาหวังว่ามันจะช่วยนำทางให้เขาไปพบฟางเซียน
ในขณะเดียวกันฟางเซียนก็กำลังต่อสู้กลับกระบี่ปริศนา แม้ว่ากระบี่จะไม่มีผู้ถือ แต่กระบี่ก็ยังเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตและมีเล่ห์กล มันมักจะพุ่งหายเข้าไปในหมอกและพุ่งโจมตีเมื่อนางเผลอ
ฟางเซียนพยายามที่จะไม่ระมัดระวังตัวจึงได้แผลมาบ้าง แต่น่าเสียดายที่แผลพวกนี้ไม่สามารถทำให้นางถึงแก่ความตายได้
“มันทำให้ฉันบาดเจ็บได้ หมายความว่าเจ้าของกระบี่จะต้องเก่งมากแน่”
[ถึงแม้ว่าโชคป้องกันการบาดเจ็บจะทำงานได้ไม่ดี แต่คุณอย่าลืมนะว่าคุณมีแต้มโชครอดตายหลายล้านแต้ม เพราะงั้นคุณจะต้องไม่ตาย!]
“ฉันจะรอดู” ฟางเซียนกระตุกยิ้มขณะม้วนตัวหลบการโจมตีของกระบี่และในจังหวะเดียวกันนั้นเองฟางเซียนก็คว้าด้ามจับของกระบี่ปริศนาเอาไว้ จากนั้นนางก็โยนมันลงพื้นและเหยียบมันไว้เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไหวได้อีก ฟางเซียนเชื่อว่าหากกระบี่ไม่กลับไปหาเจ้าของกระบี่ เจ้าของกระบี่จะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน
กระบี่ปริศนาดิ้นรนอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่มันจะหายแวบไปเพราะถูกอัญเชิญกลับไปหาเจ้าของ ฟางเซียนเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าของกระบี่ก็จะมาหานางแล้ว
“ท่านอาจารย์!” สิ้นเสียงตะโกนฟางเซียนก็แทบล้มหน้าคว่ำเพราะลู่เหลียนวิ่งเข้ามากอดนางจากทางด้านหลังอย่างไม่บอกไม่กล่าว
“เจ้ากอดข้าทำไม?” ฟางเซียนงัดแขนของลู่เหลียนออกจากเอวของนาง
“ท่านต้องการจะไปไหน!” ลู่เหลียนถามเสียงกร้าวและมองฟางเซียนด้วยสายตาโกรธเคืองและเป็นกังวล ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีศัตรูคนใดสามารถสร้างบาดแผลบนร่างกายของฟางเซียนได้เลย แต่ครั้งนี้ฟางเซียนบาดเจ็บ นั่นก็หมายความว่าคราวนี้ศัตรูจะต้องแข็งแกร่งมาก
ลู่เหลียนมั่นใจว่าฟางเซียนจะต้องไม่ยอมพลาดโอกาสรนหาที่ตายเด็ดขาด สถานการณ์ตอนนี้จึงถือว่าไม่ปลอดภัยอย่างมาก
“ข้าบอกให้เจ้าออกไปจากที่นี่” ฟางเซียนกล่าวเสียงดุ
ลู่เหลียนส่ายหัวและพูดออกมาอย่างเอาแต่ใจ “ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่!”
“บอกให้ไปก็ไปสิ! เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์เช่นข้าบ้าง!”
“เพียงแค่เรื่องนี้ข้าจะไม่เชื่อฟังท่านเด็ดขาด! ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่!”
แม้ว่าฟางเซียนจะดุด่าและเอ่ยปากไล่เขาหลายครั้ง แต่ลู่เหลียนก็ไม่ยอมเชื่อฟังและเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ฟางเซียนและลู่เหลียนมีปากเสียงกันจนกระทั่งอุณหภูมิบนเทือกเขาหัวซานลดลงอย่างกะทันหัน ฟางเซียนรู้สึกถึงพลังปราณแปลกปลอมบนท้องฟ้า
เกล็ดหิมะนอกฤดูโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอย่างสวยงาม แต่ทว่าความสวยงามไม่ทำให้ความอันตรายของมันน้อยลง ทันทีที่เกล็ดหิมะสัมผัสกับอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นก็จะถูกแช่แข็งและแตกสลายกลายเป็นละอองน้ำแข็งทันที
[ปราณเทพ!] ระบบบอก ฟางเซียนจึงรู้ว่ามันคือการโจมตีของชาวเผ่าเทพ
“ท่านปรมาจารย์ฟางเซียน! ข้ารับรู้ได้ถึงปราณเทพขอรับ!” ซงเลี่ยงจินเคยพบเจอชาวเผ่าเทพยามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียน เขาจึงทราบได้ทันที “เกล็ดหิมะเป็นการโจมตีของเทพไม่ผิดแน่ขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” ฟางเซียนผลักลู่เหลียนไปให้ซงเลี่ยงจินและกล่าวต่อว่า “บนภูเขาเฮยอั้นใกล้เมืองเหยียนมีบ้านของข้าตั้งอยู่ ในบ้านของข้ามีตำรามากมาย ข้าอนุญาตให้เจ้าศึกษาพวกมันและเผยแพร่ให้กับผู้บำเพ็ญเพียรสายมารทุกคน”
“รับทราบขอรับ!” ซงเลี่ยงจินไม่ถามมาก เขาตอบรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจัง
“ท่านอาจารย์หมายความว่าเช่นไรกัน!” ลู่เหลียนมีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน แต่ฟางเซียนไม่รอให้ลู่เหลียนแย้งจนจบ นางเคลื่อนไหวชั่วพริบตาไปอยู่ตรงหน้าพวกเขาและแปะยันต์ไว้บนกลางหน้าพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็หายตัวไปจากตรงหน้าของนาง
หากนางคาดเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะไปปรากฏตัวที่เมืองเหยียนตามที่คาถาเคลื่อนย้ายของนางกำหนดไว้
“เอาล่ะ เริ่มภารกิจฆ่าตัวตายกันเถอะ” ฟางเซียนยิ้มหวาน
[มีภารกิจแบบนั้นที่ไหนกันครับ!] ระบบว้าก
ฟางเซียนไม่สนใจเสียงของระบบ นางห่อหุ้มกระบี่ด้วยเปลวไฟและตวัดกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า คลื่นคมกระบี่ได้ตัดหมอกหนาให้แยกออกจากกันและเปลวไฟก็ได้เผาเกล็ดหิมะจนหมดสิ้น เมื่อท้องฟ้าปลอดโปร่งร่างของชาวเผ่าเทพทั้งเจ็ดตนก็ถูกเปิดเผย
ฟางเซียนแสยะยิ้มทักทาย “เกล็ดหิมะของเจ้าน่ารักดี”
เทพหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินคิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาน่าจะเป็นเจ้าของกระบี่และวิชาเกล็ดหิมะ
“ยอมเผยตัวออกมาแล้วสินะ มารร้าย” เทพหญิงหน้าตางดงามคนหนึ่งกล่าว
เสียงของระบบถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง [ทำไมเป็นนางคนนี้กันนะ]
“ทำไม?” ฟางเซียนตั้งใจฟังระบบอย่างสนใจ
[เทพหญิงคนนั้นเป็นเทพมังกรขาว นางมีชื่อว่า ซือชูลี่ นางได้กำเนิดหลังจากจ้าวหลงเทียนกำเนิดได้เพียงไม่กี่สิบปี พวกเขาจึงค่อนข้างสนิทกันและในฉบับนิยายซือชูลี่คือนางเอกตัวจริง]
ฟางเซียนไม่นึกแปลกใจมากนัก สีขาวและสีเงินบนตัวของซือชูลี่สะท้อนแสงไม่ต่างจากชุดสีทองของจ้าวหลงเทียนเลย บทบาทเทพมังกรและตัวละครเอกสวมชุดทำร้ายสายตาคนมองมากจริงๆ
กลัวว่าจะไม่เด่นรึไง?
“จ้าวหลงเทียนพ่ายแพ้ให้กับมารอย่างเจ้างั้นหรือ?” เทพหนุ่มผมสีน้ำเงินถาม สายตาของเขาแลดูไม่พอใจมาก
ในฐานะคู่อริ เขาไม่พอใจนักที่จ้าวหลงเทียนพ่ายแพ้ให้กับมารไร้ชื่อเสียง
[หยางหลิ่งจิว เทพหนุ่มผู้แอบหลงรักซือชูลี่ข้างเดียวมาเป็นเวลานานหรือก็คือพระรองนั่นแหละ เขากำเนิดมาจากปราณน้ำแข็งบริสุทธิ์ เขาจึงค่อนข้าง...เย็น] เมื่อระบบกล่าวจบลมเย็นก็พัดผ่านมาและแช่แข็งทุ่งหญ้า
“ค่อนข้างเย็นจริงๆ” ฟางเซียนปัดน้ำแข็งออกจากเสื้อผ้าพลางเอ่ยถาม “แล้วเทพที่เหลือเก่งรึเปล่า?”
[ผมไม่มีข้อมูลของเทพอีกสี่ตนมากนัก พวกเขาน่าจะเป็นตัวประกอบ ส่วนเทพตนที่เจ็ดนั้น...] ระบบไม่กล่าวต่อ แต่ฟางเซียนก็พอจะรู้แล้วว่าเทพตนสุดท้ายคือใครเพราะนางเคยมีโอกาสได้พบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง เทพสายฟ้า ชูฮวา
“นายว่าเทพสายฟ้าจะใช่ระบบนำทางสู่ความตายรึเปล่า? อาจจะเป็นแผนของมัน?” ฟางเซียนถามความเห็นของระบบ ฟางเซียนไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เหล่าเทพคิดว่านางคือคนร้ายที่ทำร้ายจ้าวหลงเทียน
[จ้าวหลงเทียนเป็นตัวละครเอก เขาจึงได้รับการคุ้มครองจากโลก เขาไม่มีทางเกือบตายเช่นนี้ นอกเสียจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาแทรกแซง มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ระบบนำทางสู่ความตายจะอยู่เบื้องหลัง]
“ทำร้ายจ้าวหลงเทียนและโยนความผิดมาให้ฉันสินะ” ฟางเซียนพึมพำ
[คุณไม่ได้ทำเสียหน่อย! เพราะงั้นคุณจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเองให้ได้นะ!]
ฟางเซียนตอบทันทีว่า “ไม่มีทาง”
นางจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองทำไมในเมื่อมันคือสิ่งที่นางต้องการ นางใฝ่ฝันอยากให้มีคนมาตามฆ่านานแล้ว นี่แหละโอกาสดี!
“ข้าทำร้ายจ้าวหลงเทียนจนเกือบตายเองแหละ อยากกำจัดข้าก็เข้ามาได้เลย” ฟางเซียนท้าทายด้วยท่าทางหยิ่งยโส สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าเทพอย่างมาก
[อย่าไปท้าทายอย่างนั้นสิครับ!] ระบบกรีดร้องเสียงหลงด้วยความสิ้นหวัง
กระบี่เสอโหย่วตู๋ก็กรีดร้องเสียงหลงไม่ต่างกัน ‘ทำไมเจ้าพูดออกไปอย่างนั้น! ถึงแม้ว่าข้าจะเก่งกาจแต่ข้าก็ต่อกรกับเทพถึงเจ็ดตนไม่ได้หรอกนะ! หากได้สู้ทั้งข้าและเจ้าคงไม่เหลือแม้แต่ซาก!’
“ไม่รู้จักประมาณตน ริอ่านจะสู้กับเทพ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง!” ซือชูลี่กล่าวเสียงดุดันและโจมตีฟางเซียนด้วยคลื่นแสงสีขาว
กล่องข้อความเด้งขึ้นมารัวๆ ว่า [กฎห้ามฆ่าตัวตายเริ่มทำงานเดี๋ยวนี้เลย!]
เมื่อกฎห้ามฆ่าตัวตายทำงานเต็มขั้นร่างกายของฟางเซียนก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนางอีกต่อไป เกราะพลังปราณถูกสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีของเทพมังกรขาว การโจมตีแรกตั้งรับได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าการป้องกันการโจมตีต่อไปมันไม่ง่ายเลย เพราะว่าชาวเผ่าเทพมีพลังเหนือชั้นกว่าฟางเซียนในตอนนี้อยู่หลายขั้น
แม้ว่าเกราะของฟางเซียนจะแข็งแกร่งกว่าเกราะพลังปราณทั่วไป แต่ด้วยระดับพลังที่ต่างกันฟางเซียนจึงต้านไว้ได้ไม่นานนัก เมื่อเกราะแตกฟางเซียนจึงถูกดีดกระเด็นไปข้างหลังหลายช่วงตัวและบาดเจ็บเล็กน้อย หากรับการโจมตีนั่นเข้าไปเต็มที่นางอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฟางเซียนฉีกยิ้มกว้าง นางรู้สึกตื่นเต้นมากและรอที่จะถูกฆ่า เทพตัวประกอบไร้ข้อมูลทั้งสี่ตนไม่ปล่อยให้ฟางเซียนรอเก้อ พวกเขากางข่ายอาคมเพื่อปิดล้อมทางหนีของฟางเซียน จากนั้นพวกเขาก็ใช้คาถาหยุดความเคลื่อนไหวซึ่งทำให้ฟางเซียนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ ต่อมาซือชูลี่ก็ซัดพลังโจมตีฟางเซียน
กฎห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้ฟางเซียนเค้นพลังออกมาปกป้องตัวเองอย่างสุดความสามารถ ฟางเซียนจึงรอดมาได้อีกครั้งและเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากข่ายอาคมและคาถาหยุดความเคลื่อนไหวฟางเซียนจึงได้ปล่อยปราณธาตุความมืดออกมา
ปราณมารสีดำปกคลุมไปทั่วพื้นที่และเนื่องจากว่ามันถูกแปรคุณสมบัติให้มีคุณสมบัติของแรงโน้มถ่วง เทพตัวประกอบทั้งสี่จึงถูกดึงร่วงตกพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในเร็วๆ นี้
โชคดีที่พลังของแรงโน้มถ่วงไม่ได้มีผลกับซือชูลี่ หยางหลิ่งจิว และชูฮวามากนัก ฟางเซียนจึงพอมีความหวังเหลืออยู่
“ไร้ความสามารถ” ฟางเซียนยั่วยุอารมณ์ของพวกเขาด้วยคำสบประมาท
“อวดดี!” หากว่าซือชูลี่ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ เชื่อได้เลยว่านางจะต้องทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและพุ่งเข้าไปโจมตีฟางเซียนเหมือนคนบ้าแน่นอน
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีซือชูลี่จึงส่งพลังสายหนึ่งออกไปโจมตีแทน พลังนั้นมีรูปลักษณ์ดั่งมังกรขาวย่อส่วน เมื่อมันพุ่งเข้าไปโจมตีมันจะคำรามเสียงดัง เพราะเสียงคำรามจะมีผลทำให้ศัตรูหยุดชะงักและตอบสนองช้า
แต่ฟางเซียนชะงักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อถูกกฎห้ามฆ่าตัวตายกระตุ้นนางก็ตอบโต้โดยการสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องตัวเองเช่นเดิม นั่นเพราะว่ากฎห้ามฆ่าตัวตายไม่สามารถบังคับให้นางหนีได้ มันสามารถบังคับให้นางปกป้องตัวเองและโจมตีศัตรูเป็นบางครั้ง แต่มันจะบังคับให้นางโจมตีก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตอยู่ใกล้เคียงเท่านั้น
สาเหตุที่กฎห้ามฆ่าตัวตายไม่ได้บังคับฟางเซียนให้โจมตีกลับไปก็เป็นเพราะว่าศัตรูอยู่ไกลมากเกินไปนั่นเอง ตราบใดที่ฟางเซียนยังคงพยายามรักษาระยะห่างนี้ไว้นางก็จะถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งฟางเซียนก็พอใจกับสถานะนี้มาก
“อีกเดี๋ยวเจ้าก็ตายแล้ว” นั่นคือประโยคแรกที่ชูฮวาพูดกับฟางเซียน
“ทำได้ก็ลองทำดูสิ” ฟางเซียนแสยะยิ้มราวกับว่ากำลังท้าทายให้คนมาฆ่า
ชูฮวายิ้มตอบ ทันใดนั้นรอบตัวของฟางเซียนก็เกิดพายุสายฟ้า กว่าจะหลบหนีได้ฟางเซียนก็ต้องเสียพลังไปมากเพื่อสลายพายุสายฟ้าพวกนั้น และเมื่อฟางเซียนหลบหนีจากการโจมตีของชูฮวาได้ พระรองผู้หนาวเย็นอย่างหยางหลิ่งจิวก็รับช่วงต่อ
ชั่วพริบตาเดียวเขาได้ทำให้บนเทือกเขาหัวซานเข้าสู่ฤดูหนาว ต้นไม้ใบหญ้าและพื้นดินถูกแช่แข็งทั้งหมด ถ้าหากฟางเซียนขึ้นขี่กระบี่ไม่ทันนางอาจจะถูกแช่แข็งไปด้วย แต่ถึงจะขี่กระบี่แล้วเสาน้ำแข็งก็ก่อตัวขึ้นมาจากพื้นและไล่ต้อนฟางเซียนหวังจะแช่แข็งนางให้ตาย
ฟางเซียนเร่งความเร็วกระบี่เพื่อหลบการโจมตี ชูฮวาเห็นช่องโหว่จึงตวัดแส้สายฟ้าไปรัดคอของฟางเซียนและกระชากจนฟางเซียนพลัดตกกระบี่
‘ตายแน่!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋กรีดร้องเสียงหลง
ตายก็ดีน่ะสิ
ฟางเซียนคิดพลางม้วนตัวกลางอากาศหลบเสาน้ำแข็งของหยางหลิ่งจิวและพลังมังกรของซือชูลี่ก่อนจะลงไปยืนบนพื้นได้อย่างสวยงาม ซือชูลี่ไม่รอให้ฟางเซียนได้ยืนตรง นางควบคุมกระบี่ของตัวเองไปโจมตีฟางเซียน แต่ไม่ทันที่ฟางเซียนจะได้ตอบโต้กระบี่เสอโหย่วตู๋ก็พุ่งเข้ามาขวางการโจมตีด้วยตัวของมันเอง
‘ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปมีเรื่องกับพวกเทพตอนไหน แต่เจ้าวางใจได้เพราะข้าจะช่วยเจ้าเอง!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋พูดอย่างกล้าหาญ
มุมปากของฟางเซียนกระตุกและเท้าของนางก็กระตุกด้วย รู้สึกตัวอีกทีกระบี่เสอโหย่วตู๋ก็ถูกนางเตะกระเด็นหายไปไหนก็ไม่ทราบ
“โทษที ไม่ได้ตั้งใจน่ะ” ฟางเซียนยักไหล่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งของกระบี่เสอโหย่วตู๋
“ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลา” ซือชูลี่เห็นว่าฟางเซียนเตะอาวุธทิ้งกล่าวขึ้นมา
“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ” ฟางเซียนกล่าวหน้าตาย
ซือชูลี่บิดยิ้มเยาะหยันและโจมตีฟางเซียนด้วยลำแสงสีขาวจำนวนมากและในขณะเดียวกันหยางหลิ่งจิวก็ควบคุมให้กระบี่ไล่ตามสังหารฟางเซียนอย่างไม่ลดละ ส่วนชูฮวาก็ใช้สายฟ้าเป็นกำแพงขวางกั้นทางหนีของฟางเซียน
ถึงแม้ว่าฟางเซียนจะมีกฎห้ามฆ่าตัวตายแต่ถ้าหากถูกรุมล้อมถึงเพียงนี้การจะเอาชีวิตให้รอดคงยากเสียหน่อย ท้ายที่สุดฟางเซียนก็พลาดท่าและถูกต้อนจนมุม
“จ้าวหลงเทียนพ่ายแพ้มารระดับต่ำเช่นเจ้าจริงหรือ?” หยางหลิ่งจิวขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลงใจ
“พวกเจ้าก็แค่เทพอ่อนแอ หากพวกเจ้าไม่ได้ร่วมมือกันต่อสู้กับข้า พวกเจ้าก็คงเอาชนะข้าไม่ได้หรอก” ฟางเซียนยังคงแสดงเป็นมารร้ายอวดดี หยางหลิ่งจิวคงรู้สึกหมั่นไส้เขาก็เลยใช้กระบี่แทงหัวไหล่ของฟางเซียนพร้อมกับใช้ปราณน้ำแข็ง นั่นจึงทำให้ร่างกายซีกหนึ่งของฟางเซียนถูกแช่แข็งและไม่สามารถขยับตัวได้
[Error] ระบบห้ามฆ่าตัวตายหยุดทำงานเนื่องจากลุ้นจนช็อกไปแล้ว
แม้จะเจ็บปวดและหนาวเย็นแต่ฟางเซียนก็ยังหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ฝีมือการใช้กระบี่ของเจ้าแย่มาก หัวใจของข้าไม่ได้อยู่บริเวณไหล่เสียหน่อย”
หยางหลิ่งจิว “...”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางมารร้ายต้องการยั่วยุให้พวกเขาโกรธทั้งที่นางไม่คิดจะต่อสู้กับพวกเขา หยางหลิ่งจิวรู้สึกหมดอารมณ์ที่จะโจมตี นั่นจึงทำให้ฟางเซียนมีโอกาสละลายน้ำแข็งออกจากร่างกาย แต่ก่อนที่นางจะได้หลุดเป็นอิสระจากการถูกแช่แข็งเทพทั้งสี่ตนที่ถูกจัดการไปก่อนหน้านี้ก็กลับมาและใช้เชือกทองคำพันธนาการแขนและขาทั้งสองข้างของฟางเซียนไว้อย่างแน่นหนา
เชือกสีทองเป็นเชือกที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อมัดมารโดยเฉพาะ มันจึงมีคุณสมบัติบั่นทอนพลังปราณสายมารและปีศาจ แม้แต่ฟางเซียนก็ไม่สามารถตัดมันขาด
ฟางเซียนพ่ายแพ้และโดนจับกุมแล้ว แต่นั่นก็ไม่เพียงพอสำหรับซือชูลี่เพราะสิ่งที่นางต้องการก็คือชีวิตของฟางเซียน ทันใดนั้นเองโชครอดตายของฟางเซียนก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
‘ข้ามาช่วยแล้ว!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋กล่าวและบินเข้ามาขัดขวางซือชูลี่ไม่ให้ฆ่าฟางเซียน
ฟางเซียนตอบแทนกระบี่เสอโหย่วตู๋ด้วยคำว่า “กระบี่เฮงซวย!”
‘อ้าว...’ หากว่ากระบี่มีหน้าตา มันคงทำหน้างุนงงอย่างหนัก มันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกด่า
“ไม่ต้องปกป้องข้า!” ฟางเซียนกล่าวเสียงเกรี้ยวกราด
‘เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า!’
ใครห่วงแกวะ!
‘แม้ว่าข้าจะเกลียดเจ้า แต่ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!’ แม้ว่าคำพูดของมันจะฟังดูย้อนแย้ง แต่มันก็ยังพยายามปกป้องฟางเซียนตามความตั้งใจของมันอย่างมุ่งมั่น
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง!”
กระบี่เสอโหย่วตู๋ไม่สนใจฟังฟางเซียนเลย มันโจมตีเหล่าเทพด้วยควันพิษ เทพสองตนที่ได้รับพิษเข้าไปล้มตัวลงไปนอนกับพื้นทันทีและเชือกที่พันธนาการฟางเซียนก็ได้หลุดไปสองเส้น
กระบี่งูเน่านั่นทำได้ไม่น่าถูกใจเลย!
ฟางเซียนค่อนข้างหัวเสียเมื่อสามารถขยับแขนขาได้อีกครั้ง นางอยากจะเตะมันทิ้งอีกสักรอบ แต่ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องทำเพราะว่าเทพสายฟ้าชูฮวาได้เตะมันทิ้งแทนนางแล้ว
‘นี่ข้าถูกเตะอีกแล้วรึ!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋ถูกเตะรอบที่สองร้องโหยหวนก่อนจะปลิวหายลับตาไป
“เกะกะ” ชูฮวากล่าว
ฟางเซียนแอบยกนิ้วให้กับเทพสายฟ้าที่น่าจะเป็นระบบนำทางสู่ความตาย และเมื่อไม่มีตัวเกะกะแล้ว การจับฟางเซียนมัดก็เลยง่ายขึ้น
“สวัสดีเอลซ่า รีบมาฆ่าข้าเสียสิ” ฟางเซียนยิ้มทักทายพระรองผู้หนาวเย็น
หยางหลิ่งจิว “...?”
“โอหังนัก ใกล้จะตายแล้วยังกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้อีก” ซือชูลี่กัดฟันพูดอย่างอดทนต่อความโกรธ เป็นมารร้ายที่ไม่รู้จักสำนึกผิดเลย
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกอย่างแน่นอน” ชูฮวายิ้มจาง ทว่าแววตาไม่สามารถอ่านอารมณ์ได้
“ปรโลก?” ซือชูลี่ทำหน้าสนใจ “ความคิดไม่เลว การกำจัดมารร้ายเราไม่ควรตัดแค่หัวของมัน เราจะต้องกำจัดวิญญาณของมันด้วย ไปประตูปรโลกกันเถอะ ข้าอยากจะผลักมารตนนี้ลงไปที่ปรโลกด้วยตัวเอง” ซือชูลี่มองฟางเซียนอย่างมาดร้าย
เมื่อร่างเนื้อถูกทำลาย มารระดับสูงบางตนสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งด้วยการสิงร่างของคนอื่น ซือชูลี่จึงกังวลว่าฟางเซียนจะย้อนกลับมา นางจึงตัดสินใจพาฟางเซียนไปที่ปรโลก เพราะปรโลกคือสถานที่ที่สามารถกลืนกินและทำลายได้ทุกอย่าง แม้แต่วิญญาณก็ไม่เว้น…