บทที่ 10.1 อยู่เฉยๆ ความตายก็วิ่งเข้าหา
เมื่อแปดปีก่อนบางสิ่งบางอย่างได้สร้างลัทธิฆ่าตัวตายขึ้นมา สิ่งนั้นได้ทิ้งตะกอนบางอย่างให้ฟางเซียนรู้สึกสงสัยว่ามันอาจจะเป็นระบบเช่นเดียวกับระบบฆ่าตัวตาย แต่ฟางเซียนไม่คิดจะสนใจและปล่อยผ่านจนกระทั่งเทพสายฟ้า ชูฮวา ได้กล่าวประโยคที่คล้ายกับปีศาจงูกินคนได้กล่าวไว้
นางสงสัยว่าพวกเขาอาจจะเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อถามระบบที่น่าจะรู้เรื่องมากที่สุดมันกลับหายไปหลายวันจนกระทั่งฟางเซียนลืมที่จะถามมันอีกและหมดความสนใจไป กว่าจะรื้นฟื้นความสงสัยนั้นได้ก็ผ่านมาแปดปีแล้ว
คนที่น่าจะเป็นเทพสายฟ้ามาทำให้นางรู้สึกสะกิดใจสงสัยเดินหายไปแล้ว นางจึงบีบคั้นให้ระบบเอ่ยเล่าจนมันยอมพูดออกในที่สุด
[สิ่งที่อยู่กับปีศาจงูกินคนเมื่อแปดปีก่อนคือระบบห้ามฆ่าตัวตายที่ได้ร่วงหล่นสู่ความมืดครับ] ระบบบอกสิ่งที่ฟางเซียนสงสัยมากที่สุดขึ้นมาก่อน [เมื่อแปดปีก่อนผมสงสัยสิ่งที่เทพสายฟ้าและปีศาจงูกินคนพูดจึงได้ไปสอบถามผู้สร้าง ผมจึงได้รู้ว่าสิ่งนั้นคือระบบเช่นเดียวกับผม แต่มันเป็นระบบห้ามฆ่าตัวตายที่ปฏิเสธที่จะทำงานห้ามคนอื่นไม่ให้ฆ่าตัวตายและเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นระบบนำทางสู่ความตายแทน มั่นใจได้เลยว่าเบื้องหลังของลัทธิฆ่าตัวตายก็คือระบบนำทางสู่ความตายอย่างแน่นอนครับ]
“ระบบนำทางสู่ความตายนั่นอยู่กับเทพสายฟ้างั้นเหรอ?” ฟางเซียนถาม
[ไม่ทราบแน่ชัดครับ ระบบอย่างพวกเราสามารถแทรกแซงเข้าไปในจิตของใครก็ได้และสามารถควบคุมร่างกายของคนที่เป็นโฮสต์ได้อีกด้วย เพราะงั้นมันจึงแยกได้ยากว่าคนที่กำลังคุยด้วยใช่ตัวจริงรึเปล่า]
“งั้นเหรอ...ฉันก็ไม่รู้นะว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่ามันเพ่งเล็งมาที่ฉันมากเป็นพิเศษ มันชัดเจนตั้งแต่ตอนที่ปีศาจกินคนปลอมตัวเป็นฉันแล้ว” นางสงสัยเช่นนั้นมานาน แต่ไม่ได้ถามระบบให้แน่ใจสักที
[อาจจะเป็นเพราะว่าคุณคือคนที่ถูกระบบห้ามฆ่าตัวตายเลือกล่ะมั้งครับ ก็อย่างที่รู้กันดีว่าคนที่ถูกระบบห้ามฆ่าตัวตายเลือกคือคนที่ต้องการที่จะตายกันทั้งนั้น ระบบนำทางสู่ความตายอาจจะอยากขัดขวางการทำงานของระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงคิดจะฆ่าคุณ] ระบบสันนิษฐาน
“ระบบนั่นคิดได้ถูกต้องแล้ว” ฟางเซียนพยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่
[โธ่! คุณฟางเซียนครับ คุณคงไม่ได้คิดที่จะยอมรับข้อเสนอของระบบนั่นหรอกใช่ไหม] ระบบพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน [ระบบนั่นสร้างความปั่นป่วนไปเยอะมากเลย]
“ปั่นป่วนไปเยอะงั้นเหรอ?ผู้สร้างที่นายพูดถึงทำไมไม่จัดการระบบนำทางสู่ความตายนั่นเสียล่ะ?หรือว่าผู้สร้างนั่นจงใจปล่อยให้มันทำงานต่อไป?”
[ไม่ใช่นะครับ! ผู้สร้างควบคุมระบบห้ามฆ่าตัวตายอย่างพวกผมก็จริง แต่เดิมทีแล้วระบบห้ามฆ่าตัวตายนั้นเป็นเพียงวิญญาณของมนุษย์ เพราะงั้นบุคคลที่ผมเรียกว่าผู้สร้างจึงควบคุมความคิดของพวกผมไม่ได้ทั้งหมด] ระบบอธิบายต่อว่า [ก่อนจะได้รับข้อเสนอพิเศษจากผู้สร้างเพื่อมาทำงานเป็นระบบห้ามฆ่าตัวตายผมก็แค่วิญญาณธรรมดา แต่เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่างจึงทำให้ผมได้รับข้อเสนอ]
“เหตุผลพิเศษคืออะไร?” เมื่อฟางเซียนถามคำถามนี้ระบบก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ฟางเซียนสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะคาดคั้นเอาคำตอบ เพราะตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าคนที่พูดจาแปลกๆ กับนางก็คือระบบนำทางสู่ความตายนั่นเอง
นางเฝ้ารอคอยให้ระบบนั่นสามารถฆ่านางได้สำเร็จตามแผนเลยล่ะ
ณ ห้องพักของโรงเตี๊ยมที่ไร้ซึ่งแสงไฟจากเปลวเทียนมีเสียงหัวเราะชั่วร้ายของฟางเซียนดังก้อง หากมีใครผ่านมาเห็นหรือได้ยินคงรู้สึกสยองขวัญไม่น้อย แต่ก่อนจะมีใครสักคนหัวใจวายตายเพราะความกลัว ลู่เหลียนก็เข้ามาในห้องและจุดเทียนจนทำให้ในห้องสว่างขึ้นมา
“ทำไมถึงไม่จุดเทียนในห้องล่ะขอรับท่านอาจารย์” ลู่เหลียนเอ่ยถามขณะสะบัดมือใช้คาถาจุดเทียนทั้งห้อง
“ข้ากำลังคิดจะทำให้ห้องสว่างโดยการจุดไฟเผาเตียงพอดี” ฟางเซียนกล่าวอย่างไม่คิด แต่พอมาคิดดูแล้วการฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
“หากทำเช่นนั้นเราคงต้องจ่ายค่าเสียหายเยอะแน่ขอรับ” ลู่เหลียนหัวเราะรับมุกตลก
“ข้ามีเงินเยอะ” ฟางเซียนไม่มีทางขัดสนเรื่องเงินตราบใดที่นางยังมีระบบ
“ศิษย์ผู้นี้สงสัยยิ่งนักว่าท่านอาจารย์เอาเงินมาจากไหน ตลอดแปดปีท่านอาจารย์ไม่เคยหารายได้เลย มีเพียงรายจ่ายเท่านั้น ท่านอาจารย์พอจะไขข้อสงสัยนี้ให้กับศิษย์ผู้นี้ได้หรือไม่ขอรับ?” ลู่เหลียนกล่าวถามอย่างสุภาพด้วยความสงสัย
“จากฟ้า” นางทำท่าอ้าแขนรับเงิน ทันใดนั้นเงินทองจำนวนมากก็ได้ปรากฏเหนือหัวของฟางเซียนและร่วงหล่นลงมาบนตัวของนางมากมาย “นายก็รับมุกนะระบบ” ฟางเซียนกล่าวอย่างไร้อารมณ์ ระบบหัวเราะประหลาดตอบรับ
“ท่านอาจารย์สร้างเงินปลอมหรือขอรับ?ไม่สิ เงินพวกนี้ของแท้” ลู่เหลียนหยิบเงินที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสำรวจ เขาสงสัยว่าฟางเซียนทำให้เงินปรากฏออกมาจากอากาศได้อย่างไรเพราะเขาไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงพลังปราณหรือการใช้คาถา “ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจนัก! สำหรับท่านอาจารย์เงินทองคงไม่ได้หายากอย่างที่ผู้อื่นกล่าวเลยสินะขอรับ”
ดวงตาของลู่เหลียนเป็นประกายชื่นชมฟางเซียน ฟางเซียนมีความรู้สึกว่าเขามีความชอบเงินทองไม่น้อย
“จริงด้วยสิ ข้าลืมมอบตำราบำเพ็ญเพียรฉบับพิเศษของข้าให้กับศิษย์น้องของเจ้า เจ้าช่วยนำไปให้เขาแทนข้าหน่อยแล้วกัน” ฟางเซียนหันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งและยื่นไปให้ลู่เหลียน
ตั้งแต่ฟางเซียนและลูกศิษย์ทั้งสองของนางเดินทางออกมาจากเมืองเฉินนี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ร่างกายของซงเลี่ยงจินน่าจะปรับตัวได้แล้วหลังจากได้รับถอนพิษและถึงเวลาที่เขาจะต้องบำเพ็ญเพียรเพิ่มระดับพลังปราณ เนื่องจากว่าอีกไม่นานนางจะต้องสอนเขาเกี่ยวกับการใช้พลังปราณระดับสูงเพื่อหลอมยาวิเศษระดับสูง
และเพราะต้องสอนซงเลี่ยงจินเกี่ยวกับการหลอมยาระดับสูงและยาชนิดใหม่ ฟางเซียนจึงไม่ได้เดินทางกลับไปยังภูเขาเฮยอั้นแต่มุ่งหน้าเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยสมุนไพรที่พร้อมจะนำมาหลอมเป็นยา
“ได้ขอรับ ข้าจะนำมันไปส่งให้ถึงมือของศิษย์น้องแน่นอนขอรับ” ลู่เหลียนรับปากฟางเซียนด้วยรอยยิ้มพลางรับหนังสือไปถือไว้
“เนื้อหาในตำราเล่มนั่นจำเป็นสำหรับซงเลี่ยงจินมาก อย่าทำให้เนื้อหาเสียหายก่อนที่มันจะถึงมือของเขาเสียล่ะ” ฟางเซียนเอ่ยเตือน
“ขอรับ” ลู่เหลียนรับปากอย่างหนักแน่น แต่เมื่อฟางเซียนหันไปมองทางอื่นหนังสือเล่มนั้นก็ได้ถูกลู่เหลียนสับเปลี่ยนเป็นเล่มอื่นอย่างรวดเร็ว กระบี่เสอโหย่วตู๋และระบบห้ามฆ่าตัวตายเห็นทุกอย่างทว่าพวกมันเลือกที่จะปิดปากเงียบ
กระบี่เสอโหย่วตู๋: เจ้านกยูงนั่นฆ่าข้าแน่ถ้าข้าบอก
ระบบห้ามฆ่าตัวตาย: หาเรื่องเพิ่มแต้มบวกให้คุณฟางเซียนได้แล้ว!
ฟางเซียนรู้สึกคันไม้คันมืออยากหักคอใครสักคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ...
เทือกเขาหัวซานเป็นสถานที่ที่อันตรายเพราะว่าเทือกเขาหัวซานเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรนานาชนิดและเป็นเทือกเขาที่มีความสูงชัน อีกทั้งความซับซ้อนของเส้นทางและหมอกหนาทึบที่ปกคลุมเทือกเขาแทบตลอดทั้งปีมันได้ทำให้ระดับความอันตรายของที่แห่งนี้เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่น้อย แต่บนเทือกเขาอันแสนอันตรายเช่นนี้กลับมีทรัพย์สมบัติของธรรมชาติซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก มันก็คือสมุนไพรระดับสูงนั่นเอง
สมุนไพรส่วนมากบนเทือกเขาหัวซานเป็นสมุนไพรชนิดที่ยังไม่ถูกค้นพบและยังไม่มีใครทราบถึงคุณสมบัติของมันนอกจากระบบห้ามฆ่าตัวตาย ระบบจึงมอบหมายภารกิจให้ฟางเซียนเดินทางขึ้นไปบนเทือกเขาหัวซานและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและการหลอมยาชนิดใหม่ให้กับซงเลี่ยงจิน
ในอนาคตซงเลี่ยงจินจะต้องกลายเป็นนักหลอมยาที่เก่งที่สุดในหมู่มาร ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรพวกนั้นจึงจำเป็นต่อซงเลี่ยงจินมากที่สุด
ระบบจึงย้ำนักย้ำหนาว่าภารกิจนี้สำคัญมากและต้องทำให้สำเร็จและแน่นอนว่ารางวัลย่อมเยอะตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้เองแม้จะต้องยากลำบากก็ตามแต่ฟางเซียนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาลูกศิษย์ทั้งสองคนเดินทางขึ้นไปบนเทือกเขาหัวซานเพื่อทำภารกิจเผยแพร่ความรู้ใหม่ให้สำเร็จ ซึ่งการเดินทางขึ้นเขามันไม่ง่ายเลย เนื่องจากว่าเทือกเขาหัวซานมีความสูงชันและมีหมอกหนาซึ่งมีคุณสมบัติทำให้เกิดความสับสนเรื่องทิศทาง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขี่กระบี่ฝ่าหมอกหนาขึ้นไปบนภูเขา ทางเดียวที่จะขึ้นไปได้ก็คือเดินและปีน ไปตามเส้นทางขรุขระและซับซ้อน
หากไม่ติดว่ามีรางวัลเป็นแต้มลบละก็ฟางเซียนคงไม่ทนเป็นแน่
[เดินระวังด้วยนะครับ หากลูกศิษย์ทั้งสองของคุณบาดเจ็บผมจะให้แต้มบวกกับคุณ] เนื่องจากว่าเส้นทางขึ้นภูเขาอยู่ติดกับหน้าผา ระบบจึงพูดย้ำเตือนเพื่อไม่ให้ฟางเซียนลืม
เพื่อความแน่ใจว่าลูกศิษย์ทั้งสองคนยังไม่ตกหน้าผาลงไปบาดเจ็บหรือตายฟางเซียนจึงหันไปตรวจสอบความเรียบร้อยของพวกเขาตลอดเวลา ซึ่งพวกเขาก็ยังปลอดภัยดีแต่บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาค่อนข้างอึดอัดมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ฟางเซียนเกรงว่าพวกเขาจะพุ่งเข้าห้ามหั่นกันในอนาคตข้างหน้านี้
“เดินระวังด้วยล่ะและอย่าทะเลาะกันล่ะ” ฟางเซียนเอ่ยเตือน
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ลู่เหลียนตอบพลางยิ้มบาง
“ขอรับ ท่านปรมาจารย์ฟางเซียน” คำที่ซงเลี่ยงจินใช้เรียกขานฟางเซียนฟังดูเคารพนับถืออย่างมาก สีหน้าของฟางเซียนแลดูว่างเปล่าเพราะนางยังไม่ชินกับรูปลักษณ์ชายชราของเขาเลย เพื่อกำจัดความรู้สึกกระอักกระอ่วนนางคงต้องรีบหาทางทำให้เขากลับมาหนุ่มโดยเร็วเสียแล้ว
“เดินทางต่อเถอะ” ฟางเซียนตั้งหน้าตั้งตาเดินทางต่อโดยไม่ได้หันกลับไปมองลูกศิษย์ทั้งสองคนสักพักหนึ่ง จนกระทั่งนางได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่าง
ฟางเซียนหันไปมองข้างหลังและพบว่าลูกศิษย์คนหนึ่งได้หายตัวไปแล้ว นางเห็นเพียงแค่ลู่เหลียนที่กำลังส่งยิ้มใสซื่อมาให้
“ซงเลี่ยงจินหายไปไหน?” ฟางเซียนถามหาลูกศิษย์อีกคนที่หายตัวไปไหนก็ไม่ทราบ ลู่เหลียนทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวและหันไปมองด้านหลังเล็กน้อย
“น่าแปลกจริงขอรับ ศิษย์คิดว่าเขากำลังตามมาเสียอีก” ลู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เขาคงแก่เกินไปจึงค่อนข้างเชื่องช้าล่ะมั้งขอรับ”
ฟางเซียนเชื่อสิ่งที่ลู่เหลียนบอกเพราะใบหน้าใสซื่อของเขา แต่ระบบก็ได้ประกาศขึ้นมาว่า
[คุณได้รับแต้มบวก 100 แต้มเนื่องจากว่าคุณไม่ดูแลซงเลี่ยงจินให้ดีจนเขาถูกลู่เหลียนผลักตกหน้าผาและบาดเจ็บ]
“...” ฟางเซียนไม่สามารถเชื่อถือหน้าตาใสบริสุทธิ์ของลู่เหลียนได้อีกต่อไป
ซงเลี่ยงจินบาดเจ็บเล็กน้อย ลู่เหลียนจึงรอดพ้นจากข้อหาฆาตกรรมศิษย์น้องและฟางเซียนก็รอดพ้นจากแต้มบวกหลักหมื่น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ฟางเซียนจึงไม่ลืมเอ่ยเตือนลู่เหลียนไว้ว่าอย่าทำอีก แน่นอนว่าลู่เหลียนยังตีหน้าซื่อ นางจึงปล่อยผ่านและเดินทางต่อจนกระทั่งมาถึงหินก้อนหนึ่ง
[เขียนอักษรบนหินตามนี้และใช้พลังปราณได้เลยครับ] ระบบบอกนางและแสดงอักษรคำว่า ปลดผนึก บนหน้าต่างระบบ ฟางเซียนคิดว่ามันดูไร้ประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น แต่นางก็ทำตามที่มันบอก
ทันใดนั้นหินก้อนนั้นก็แยกออกจากกันและเผยให้เห็นทางเข้าสู่ถ้ำลึกลับ เมื่อลู่เหลียนและซงเลี่ยงจินเห็นดังนั้นพวกเขาก็หันไปมองฟางเซียนด้วยสายตาเลื่อมใส ทั้งที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นแค่ก้อนหินแต่ฟางเซียนกลับรู้ว่ามันคือประตู นั่นหมายความว่าอาจารย์ของพวกเขามีความสามารถน่าเคารพนับถือมาก!
ฟางเซียนแอบหลบสายตาของพวกเขาด้วยความรู้สึกละอายใจเพราะตอนแรกนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือประตู ถ้าหากระบบไม่บอกว่าหินก้อนนั้นคือประตูทางเข้าถ้ำ นางก็คงคิดว่ามันเป็นแค่ก้อนหินธรรมดาอายุหลายพันปีเท่านั้น
“เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ” ฟางเซียนตัดบทและเดินนำเข้าไปก่อนเช่นเคย
เมื่อเข้าไปในถ้ำคนที่มีอาการตื่นเต้นมากที่สุดก็คือซงเลี่ยงจิน นานมาแล้วเขาเคยมาเยือนเทือกเขาหัวซานแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่เคยค้นพบสถานที่ลับแห่งนี้เลย ถ้าหากไม่มีฟางเซียนเขาก็คงไม่มีวันค้นพบที่นี่ตลอดไป ซงเลี่ยงจินจึงไม่นึกรู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่ได้ติดตามฟางเซียนและเดินทางสายมาร
และในชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันรู้สึกผิดที่หันหลังให้กับเส้นทางสายเซียน
ลึกลงไปในถ้ำใต้เทือกเขาหัวซานมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังถ้ำมากมาย ซึ่งในถ้ำเหล่านั้นก็มีสมุนไพรวิเศษมากมาย พวกมันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์แต่ถ้ำแห่งนี้ก็สามารถส่องสว่างได้ตลอดเวลาเพราะว่าในถ้ำมีพืชเรืองแสงจำนวนมาก
[สมุนไพรทั้งหมด 300 ชนิดยังไม่มีการบันทึกในตำราของโลกนี้ เพราะงั้นคุณจะต้องสอนลูกศิษย์ทั้งสองของคุณให้รู้จักกับพวกมันทั้งหมด งั้นเรามาเริ่มกันจากสมุนไพรตัวนั้น...] ระบบเริ่มร่ายชื่อสมุนไพรและคุณสมบัติต่างๆ ของมัน
ฟางเซียนรู้สึกว่าสมองของนางกำลังทำงานผิดพลาด ข้อมูลมันเยอะเกินไป!
เพื่อศึกษาสมุนไพรในถ้ำแห่งนี้ทั้งหมดฟางเซียน ลู่เหลียน และซงเลี่ยงจินจำเป็นต้องติดอยู่ในถ้ำอีกหลายวัน โชคดีที่ก่อนออกจากสำนักซงเลี่ยงจินได้ขนของอำนวยความสะดวกหลายอย่างเข้ากระเป๋ามิติมาด้วย การใช้ชีวิตในถ้ำที่มีแต่สมุนไพรจึงไม่ได้ยากลำบากมากนัก
แต่ของพวกนั้นก็ไม่ค่อยได้ใช้มากนักเพราะลู่เหลียนและซงเลี่ยงจินมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียว พวกเขานั่งสมาธิและดูดซับพลังปราณแทบตลอดทั้งวัน ฟางเซียนไม่แปลกใจถ้าซงเลี่ยงจินจะทำเช่นนี้เพราะเขาเพิ่งเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรสายมาร เขาจำเป็นต้องดูดซับพลังปราณสีดำเพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติพลังปราณของเขา ส่วนลู่เหลียนนางค่อนข้างแปลกใจที่เขาดูมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรมากกว่าเดิมถึงสองเท่า เดิมทีแล้วเขามักจะใช้เวลาครึ่งวันในการฝึกตน ส่วนอีกครึ่งวันเขาจะมาป้วนเปี้ยนรอบตัวนาง เขาทำเช่นนี้มาตลอดแปดปีไม่เคยขาด
แต่ครั้งนี้เขากลับหายหน้าไปและฝึกตนเพียงอย่างเดียว ฟางเซียนก็เลยสรุปไปว่าลู่เหลียนรู้สึกเหงาที่ต้องเรียนความเดียวมาตลอดหลายปี เมื่อมีเพื่อนร่วมเรียนด้วยเขาก็เลยรู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าลูกศิษย์ทั้งสองจะกำลังมุ่งมั่นเพิ่มระดับพลังปราณแต่ฟางเซียนก็ไม่มีเวลาพัก เพราะความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรมีมากมายเกินไปนางก็เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มสอนพวกเขาจากตรงไหน ทางเลือกในการสอนที่สบายที่สุดก็คือการให้พวกเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง นางแค่ต้องเขียนตำราเกี่ยวกับสมุนไพรและการหลอมยาให้พวกเขาได้อ่านและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
และเพื่อกำจัดรูปลักษณ์ชายชราของซงเลี่ยงจินทิ้งไป ฟางเซียนจึงต้องเสียเวลาในการหลอมยาชำระล้างร่างกายด้วยเพราะยาชำระล้างร่างกายนั้นมีคุณสมบัติชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย
แต่เมื่อฟางเซียนได้ให้ซงเลี่ยงจินนำไปใช้ ยาชำระล้างร่างกายมันน่าจะถูกเรียกว่ายาลอกคราบมากกว่าเพราะว่าเมื่อซงเลี่ยงจินกินและอาบยาชำระล้างร่างกาย ผิวหนังชายชราก็หายไปหลงเหลือเพียงชายอายุไม่เกินสามสิบปีเท่านั้น
ซงเลี่ยงจินดีใจมากที่เขากลับมามีรูปลักษณ์หล่อเหลาอีกครั้ง อีกทั้งมันยังทำให้การบำเพ็ญเพียรของเขาเพิ่มขึ้นเร็วมาก
ลู่เหลียนแอบไปทำพิธีกรรมสาปแช่ง...
เมื่อฟางเซียนเห็นฤทธิ์ของยาวิเศษ นางจึงหลอมยาให้ลู่เหลียนบ้าง เขาจะได้รีบเก่งและรีบมาฆ่านาง ลู่เหลียนได้ใช้ยาชำระล้างร่างกายและยาเพิ่มพลังปราณ ใช้เวลาไม่นานลู่เหลียนก็สามารถเลื่อนระดับพลังปราณถึงระดับเจ็ด และยาชำระล้างร่างกายมันก็ได้ทำให้ลู่เหลียนเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิม หรือก็คือสวยนั่นแหละ
ฟางเซียนกลุ้มใจกับความสวยของลู่เหลียน ถ้าสวยมากเกินไปฟางเซียนก็กังวลว่ามันจะนำพาอันตรายเข้าหาลู่เหลียน นางอดเป็นห่วงอนาคตของลู่เหลียนไม่ได้เลย โชคดีที่ลู่เหลียนมีสายเลือดปีศาจนกยูงอยู่ในตัว ร่างกายของเขาจึงไม่หยุดการเจริญเติบโตแม้ว่าจะมีพลังปราณถึงขั้นเจ็ดแล้ว ถ้าเขามีหน้าตาเหมือนผู้หญิงตลอดไปนางเกรงว่าบ้านเมืองอาจถล่มเพราะเกิดศึกชิงนาย
ก็หวังว่าเมื่อเขาเติบโตเต็มวัยหน้าตาของเขาจะเหมือนผู้ชายขึ้นมาบ้าง
สามเดือนผ่านไปกับการอยู่แต่ในถ้ำใต้เทือกเขาหัวซาน ทุกทุกวันลู่เหลียนและซงเลี่ยงจินทำเพียงแค่ฝึกตน ไม่ยอมออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว เนื่องมาจากว่าเส้นทางในถ้ำมันค่อนข้างซับซ้อน เข้าออกแต่ละทีคงมีหลงกันบ้าง ซึ่งมันอาจทำให้เสียเวลาในการฝึกฝนวิชา พวกเขาก็เลยไม่อยากออกไปข้างนอก
การอยู่แต่ในถ้ำมันก็ไม่ได้แย่มากนัก มันค่อนข้างสะดวกสบายเพราะว่าถ้ำทุกถ้ำมันเชื่อมต่อถึงกัน แต่ละถ้ำพอที่จะอยู่อาศัยได้ บางถ้ำก็มีแม่น้ำใต้ดินเชื่อมผ่าน เรื่องน้ำจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีใช้ ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเลยเพราะว่าผู้ที่บำเพ็ญเพียรถึงระดับเจ็ดแล้วไม่ต้องทานอาหารก็ได้
มันเหมือนกับเป็นการตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ แต่ฟางเซียนก็ยังไม่รู้สึกว่าชีวิตของนางมันสงบสุข แม้ว่านางจะเขียนบรรยายสรรพคุณของสมุนไพรและยามากมายไว้ในตำราหมดแล้ว แต่ลูกศิษย์ผู้ใฝ่หาความรู้ทั้งสองคนกลับวิ่งแจ้นมาถามคำถามมากมายกับนางอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะต้องทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีฟางเซียนจึงต้องตอบทุกคำถามอย่างใจเย็น สุขุม และเยือกเย็น
ซึ่งความจริงแล้วฟางเซียนยังอดทนกับพวกเขาได้ก็เป็นเพราะว่ามีแต้มลบเป็นรางวัลปลอบใจต่างหากล่ะ
ระบบหวังว่าโฮสต์ของมันจะไม่สติแตกและไล่ตะเพิดลูกศิษย์ของตัวเอง...
แต่ถึงระบบจะคิดเช่นนั้นมันก็ไม่คิดที่จะมอบหมายภารกิจให้ฟางเซียนน้อยลงแต่อย่างใด กลับกันมันมอบภาระงานให้ฟางเซียนมากขึ้น นอกจากต้องสอนเรื่องการหลอมยาแล้วฟางเซียนยังต้องสอนเกี่ยวกับวิชากระบี่และวิชาการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอีกด้วย และเพื่อให้วิชาของอาจารย์มารมีเอกลักษณ์เป็นที่น่าจดจำ วิชาการต่อสู้ทั้งหมดจึงเป็นวิชาแบบใหม่ที่ไม่มีในโลกนี้
ซึ่งแน่นอนว่าวิชาทั้งหมดฟางเซียนได้รับมาจากระบบห้ามฆ่าตัวตาย ระบบส่งข้อมูลเข้าไปในหัวของนางโดยตรงเช่นเคย การสอนจึงผ่านไปอย่างราบรื่น
ลู่เหลียนและซงเลี่ยงจินสามารถฝึกได้อย่างชำนาญอย่างรวดเร็วเพราะว่าพวกเขาจับคู่ประลองฝีมือกันทุกวัน ซึ่งในการประลองทางฝ่ายซงเลี่ยงจินได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าลู่เหลียน แต่ทางด้านลู่เหลียนก็เป็นพวกมีความทะเยอทะยานสูง ไม่ยอมแพ้อะไรทั้งสิ้นเขาจึงทุ่มสุดแรงสุดฝีมือและงัดเล่ห์เหลี่ยมออกมาใช้ในการประลอง อย่างเช่นการใช้อาวุธลับ ลู่เหลียนใช้หางนกยูงของเขาเป็นที่ซ่อนอาวุธลับซึ่งเคลือบปราณพิษของกระบี่ชื่อเซียวไว้อย่างดี หากซงเลี่ยงจินสัมผัสกับพิษ เขาคงตายไม่เหลือซากทันที
ชัดเจนเลยว่าลู่เหลียนมีเจตนาจะฆ่ามากกว่าจะฝึกซ้อมฝีมือกับซงเลี่ยงจิน
นั่นทำให้ทุกครั้งที่ถึงเวลาฝึกซ้อมฝีมือลู่เหลียนก็จะกลายเป็นนกยูงโมโหร้ายทันที
ลู่เหลียนยอมรับว่าเขาไม่สามารถปกปิดเจตนาอยากฆ่าซงเลี่ยงจินของตนเองได้อีกต่อไป แค่ซงเลี่ยงจินได้เป็นลูกศิษย์ของฟางเซียนเขาก็เกลียดซงเลี่ยงจินแทบตายและเมื่อซงเลี่ยงจินพัฒนาความสามารถอย่างก้าวกระโดดและกำจัดรูปลักษณ์ชายชราจนหมดมันก็แทบทำให้เขาอยากฆ่าอีกฝ่ายวันละหลายครั้ง
เขามักกระวนกระวายทุกครั้งที่ฟางเซียนให้ความสนใจซงเลี่ยงจินมากกว่า เขาไม่ชอบความรู้สึกโกรธและหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้เลย เพราะมันทำให้เขาไม่สามารถถือหน้ากากยิ้มแย้มไว้ได้อีกต่อไป
“ทำไมเจ้าถึงต้องการสังหารข้า?” ซงเลี่ยงจินเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาขณะที่พวกเขากำลังคัดแยกสมุนไพรใส่กระเป๋า
ลู่เหลียนไม่มีท่าทีแปลกใจอะไรมากนักเมื่อซงเลี่ยงจินถามเช่นนั้น ก็เขาพยายามฆ่าอีกฝ่ายหลายครั้งเลยนี่นา หากซงเลี่ยงจินไม่รู้ตัวเขาคงโง่มาก
“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเสียหน่อย” แต่ลู่เหลียนก็ยังกล้าปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ ซงเลี่ยงจินมองหน้าลู่เหลียนด้วยท่าทีนิ่งสงบก่อนจะเอ่ยว่า
“เด็กน้อย จิตสังหารของเจ้ามันชัดเจนมาก เจ้าวางยาพิษข้าหลายครั้งและพยายามใช้กระบี่ชื่อเซียวสังหารข้าอีกหลายครั้ง ข้าไม่สามารถนับจำนวนครั้งที่เจ้าพยายามสังหารข้าได้เลยเพราะมันเยอะยิ่งนัก” เขากล่าวพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกเอือมระอา “บอกความไม่พอใจของเจ้ามา ข้าอาจจะพอสามารถลดความรู้สึกไม่พอใจของเจ้าที่มีต่อข้าได้บ้าง”
“ไม่มีทางเป็นไปได้” ลู่เหลียนปฏิเสธที่จะบอกเพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่มีทางเป็นไปได้
อาจารย์ของเขาอยากรับซงเลี่ยงจินเป็นลูกศิษย์ของนาง ซึ่งเขาไม่ต้องการให้นางทำเช่นนั้น แต่เขาไม่สามารถที่จะขัดขวางความต้องการของนางได้...
พวกเขาจบสนทนากันเพียงเท่านั้นและเก็บสมุนไพรต่อไป
อีกไม่นานพวกเขาจะต้องออกไปจากถ้ำแห่งนี้กันแล้ว พวกเขาจึงต้องเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับมาที่นี่อีก
และในขณะที่พวกเขากำลังก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรฟางเซียนก็เดินเข้าไปหาพวกเขาและถาม “เก็บสมุนไพรได้มากเท่าไหร่แล้ว?”
ลู่เหลียนยิ้มสดใสตอบกลับทันที “เก็บมาได้มากแล้วขอรับ”
ฟางเซียนเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่มันทำให้ลู่เหลียนรู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นอีกนิดหน่อย เพราะต้องการคำชมเขาจึงพยายามทำงานอย่างหนัก ความตั้งใจของลู่เหลียนดูน่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว
“ทำได้ดี” ฟางเซียนจึงให้คำชมสั้นๆ แต่ลู่เหลียนก็ยิ้มกว้างอย่างพอใจ
“หลายเดือนที่ผ่านมาศิษย์ผู้นี้พยายามฝึกอย่างหนัก ท่านอาจารย์มีรางวัลให้ศิษย์หรือไม่ขอรับ?” ลู่เหลียนไม่ได้ออดอ้อนมานานเขาจึงอดไม่ได้ที่จะทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กที่ต้องการรางวัลปลอบใจ
“ไม่มี” ฟางเซียนตอบกลับทันที
“มีแน่นอนขอรับ” ลู่เหลียนยิ้มพราย แววตาพราวระยับ
ซงเลี่ยงจินเบือนหน้าหนีเมื่อเขาได้เห็นสายตาที่ไม่ถูกไม่ควรของลู่เหลียน เขาไม่กล้ามองโดยตรงเพราะมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจและรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจกำลังหยุดเต้น ซงเลี่ยงจินจึงเลือกที่จะมองข้ามเพื่อรักษาสุขภาพของเขา...
ในที่สุดฟางเซียน ลู่เหลียน และซงเลี่ยงจินก็ออกมาจากถ้ำหลังจากหมกตัวอยู่ข้างในถ้ำเป็นเวลานานถึงสามเดือน เมื่อออกมาข้างนอกฟางเซียนหวังว่าจะได้รับแสงอาทิตย์เพราะการที่ร่างกายไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เป็นเวลานานมันทำให้นางรู้สึกไม่สดใสเอาเสียเลย
แต่ปรากฏว่าบนเทือกเขาหัวซานมีหมอกหนาทึบปกคลุม แสงของดวงอาทิตย์ไม่แม้แต่จะสามารถส่องมาถึงยอดของต้นหญ้าได้
ฟางเซียนมองเข้าไปในหมอกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทำไมหัวใจของนางถึงเต้นไม่เป็นระส่ำเช่นนี้กัน?หรือว่าหมอกมันน่ากลัวเกินไป?ไม่น่าใช่นะ...
[มีบางอย่างผิดปกติ!] ระบบพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายเมื่อมันตรวจพบข้อมูลผิดปกติ เมื่อมันตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและรู้ว่าสิ่งผิดปกติคืออะไรระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ถึงกับร้องโหยหวนราวกับผีขอส่วนบุญ
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟางเซียนถามเมื่อได้ยินระบบส่งเสียงวุ่นวายในหัวของนาง
[เรื่องราวในโลกนี้มันผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว! แล้วทำไมถึงไม่ส่งรายงานเรื่องสำคัญให้เร็วกว่านี้กัน! ตายแน่ ตายแน่!] ระบบสติแตกกะทันหัน ฟางเซียนรู้สึกปวดหัวเพราะเสียงตะโกนของระบบ
“ถ้าไม่อยากให้ฉันปวดหัวตายเพราะเสียงโวยวายของนายก็หุบปากไปซะและอธิบายมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฟางเซียนถามเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด
[ขณะนี้เส้นทางรอบเทือกเขาหัวซานได้ถูกเทพเจ็ดตนปิดล้อมไว้หมดแล้ว...ข้อมูลบอกว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือคุณ] ระบบฝืนใจรายงานออกมาและแสดงอิโมจิร่ำไห้
“ทำไมเป็นฉัน?” ฟางเซียนสงสัยว่านางทำอะไรไม่ดีกับพวกเขาไว้รึเปล่า
[แหล่งข้อมูลบอกไว้ว่าเทพมังกรทองหรือจ้าวหลงเทียนถูกใครบางคนลอบสังหาร แม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัสจนเข้าสู่สภาวะหลับใหล ซึ่งก็ไม่มีใครแน่ใจนักว่าจ้าวหลงเทียนจะสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือไม่]
ระบบสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน
ถึงมันจะเป็นระบบห้ามฆ่าตัวตายและไม่มีลิ้น แต่มันก็อยากจะลองกัดลิ้นฆ่าตัวตายสักครั้งเผื่อมันสามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อสามเดือนก่อนได้...
[จ้าวหลงเทียนเป็นเทพมังกรทองเพียงตนเดียวในโลก เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เผ่าเทพไม่ยอมปล่อยคนร้ายไปแน่ แต่พวกเขาดันไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร เหล่าเทพจึงพยายามตามหาตัวคนร้ายกันให้วุ่นจนพิภพทั้งสามแทบตกอยู่ในความโกลาหล จนกระทั่งพวกเขาพบว่าคุณคือคนที่อยู่กับเทพมังกรทองก่อนที่เขาจะถูกลอบทำร้าย คุณจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง...ผมผิดเอง ผมน่าจะตรวจสอบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวในโลกให้ดีกว่านี้] น้ำเสียงของระบบฟังดูสำนึกผิดมาก
“ไม่เป็นอะไรระบบ ฉันให้อภัย” ฟางเซียนพูดปลอบใจระบบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางแสยะยิ้มสาแก่ใจ
ระบบห้ามฆ่าตัวตาย […]
มันคงถึงเวลาเต้นระบำเรียกโชคแล้วล่ะ