บทที่ 9.2 ลูกศิษย์คนใหม่
ฟางเซียนบอกว่านางจะไปรับลูกศิษย์คนใหม่ จากนั้นนางได้หายตัวไปครู่หนึ่งและกลับมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง เมื่อลู่เหลียนเห็นศิษย์น้องของเขา เขาก็รู้สึกไม่อยากกินน้ำส้มสายชูในไหของเขาอีกเลย
“นั่นน่ะหรือคือศิษย์น้องของข้า?” ลู่เหลียนมองด้วยสายตาสมเพช “แก่ชราจนผิวหนังเหี่ยวย่นแล้วเช่นนั้น เขาก็ควรไปนอนในโลงศพได้แล้ว”
จ้าวหลงเทียนไอเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “คำพูดของเจ้า...ฟังดูรุนแรงไม่น้อย”
“มันเป็นความจริง” ลู่เหลียนบิดยิ้มด้วยแววตาเกลียดชัง แม้ว่าเขาจะไม่กินน้ำส้มสายชูแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ชอบที่ฟางเซียนมีลูกศิษย์คนอื่นอยู่ดี แต่ก็มีสิ่งที่เขาไม่ชอบมากกว่านั้น...
เพื่อที่จะได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวฟางเซียนและซงเลี่ยงจินได้หายเข้าไปในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชา ลู่เหลียนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้วย นั่นทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาไม่ต้องการให้ฟางเซียนอยู่ในห้องกับคนอื่นสองต่อสอง แต่เขาก็ไม่อยากจะขัดคำสั่งของฟางเซียนจึงทำได้แค่แสดงอาการหงุดหงิดออกมาเท่านั้น
ขณะเดียวกันจ้าวหลงเทียนก็เริ่มตั้งคำถาม “แม่นางฟางเซียนต้องการรับลูกศิษย์คนใหม่ใช่หรือไม่? แต่ทำไมนางถึงเลือกผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนและ...ผู้ที่ดูมีอายุมากล่ะ? ไม่น่าใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ชายผู้นั้นเปลี่ยนเส้นทางการบำเพ็ญเพียร”
ลู่เหลียนไม่มีคำตอบเพราะคำถามเหล่านั้นเขาก็สงสัยและต้องการคำตอบเช่นกัน
ตัดมาทางด้านในห้อง ฟางเซียนเริ่มต้นด้วยการดื่มชาผ่อนคลาย
ซงเลี่ยงจินจึงเริ่มบทสนทนาก่อน “ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะขายยาเสริมพลังปราณราคาเท่าใด? ข้ายอมจ่ายทั้งหมด”
“ทำไมต้องสนใจยาไร้ประโยชน์นั่นด้วย มันก็แค่ยาที่ทำให้เสียเวลาในการหลอมขึ้นมา” ฟางเซียนกล่าวด้วยท่าทีเหมือนคนขี้รำคาญ
“ไร้ประโยชน์?” ซงเลี่ยงจินหน้ากระตุกเมื่อได้ยินฟางเซียนพูดเช่นนั้น ยาระดับสูงที่ไม่ว่าใครก็ต้องการ แต่สตรีตรงหน้าเขากลับบอกว่ามันไร้ประโยชน์ เขาจึงเดาว่าฟางเซียนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่าเขาหลายขั้น
“ข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าต้องการให้เจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้า”
“ลูกศิษย์?” ซงเลี่ยงจินดูแปลกใจมาก “ท่านเป็นนักหลอมยาหรือไม่?”
“ไม่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่เหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เพราะข้าไม่สามารถบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นได้มากกว่าขั้นเจ็ดได้ สิ่งที่ข้าทำได้ดีมีเพียงการหลอมยาเท่านั้น” เขากล่าวด้วยสีหน้าเสียใจ
“ก็แค่การบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นพลังปราณ การทำให้ร่างกายไร้ประโยชน์ของเจ้าทำงานมันไม่ยากเลย”
ระบบบอกกับนางว่าร่างกายของซงเลี่ยงจินไม่เหมาะสมที่จะบำเพ็ญเพียรก็เป็นเพราะว่าเมื่อเขายังเด็กเขาได้ดื่มยาบำรุงจำนวนมากและยาบำรุงเหล่านั้นก็ได้สะสมอยู่ในร่างกายของเขาจนมันส่งผลร้ายมากว่าผลดี และเมื่อสมุนไพรและยาบำรุงในร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากันมันก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นพิษร้ายทันที
มันมีผลทำให้แหล่งเก็บพลังปราณของเขาเล็กและขยายได้ช้า การดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายจึงช้าไปด้วย แม้จะผ่านไปร้อยปีระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาจึงไปได้ไม่ไกลนัก
วิธีแก้ไขก็คือการกินยาถอนพิษสูตรพิเศษของระบบห้ามฆ่าตัวตาย แน่นอนว่ามีแค่ฟางเซียนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลอมยานั้นออกมาได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อคืนฟางเซียนจึงต้องนั่งหลอมยาแก้พิษทั้งคืนจนไม่ได้นอน หากไม่ถูกหลอกล่อด้วยแต้มลบฟางเซียนคงไม่อดทนทำมันจนเสร็จ
“ท่านหมายความว่าร่างกายของข้าสามารถกลับมาเป็นปกติได้งั้นหรือ?” เขาดูไม่มั่นใจนักว่าฟางเซียนทำได้จริงหรือไม่
ซงเลี่ยงจินไม่สามารถเชื่อใจฟางเซียนได้เต็มร้อยเพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาเคยพยายามหลายวิธีในการฟื้นฟูร่างกายของเขา แต่วิธีเหล่านั้นไม่เคยได้ผลเลย
“ท่านรู้หรือว่าร่างกายของข้ามีปัญหาอย่างไร?” ซงเลี่ยงจินถาม
“มองแค่พริบตาเดียวข้าก็รู้ได้แล้วว่าร่างกายของเจ้ามีปัญหาอะไร สายตาของข้ามองไม่เคยพลาด” นางกล่าวอ้างหน้าตาย
ระบบผู้มอบข้อมูลทั้งหมดให้กับฟางเซียน [...]
ซงเลี่ยงจินยังคงเคลือบแคลงใจไม่คลาย เขาหวังจะจับพิรุธของฟางเซียนให้ได้ว่านางหลอกหรือพูดจริงกันแน่ แต่ฟางเซียนไม่คิดที่จะเล่นเกมจับผิดกับเขา
“เจ้าจะรู้ว่าข้าพูดจริงหรือไม่ก็แค่กินยานี่เข้าไป” นางยื่นขวดยาถอนพิษสูตรพิเศษให้กับเขา
ซงเลี่ยงจินยื่นมือไปรับด้วยความรู้สึกลังเล เขาพิจารณามันก่อนเพราะไม่อยากเสี่ยงชีวิตกับยาที่ไม่รู้ที่มา
“ชักช้า” ฟางเซียนรู้สึกว่าเขาช้าไม่ได้ดั่งใจจึงแย่งขวดยาจากมือของเขาและจัดการเอายากรอกปากของเขาอย่างไร้ความเห็นใจ
แน่นอนว่าซงเลี่ยงจินพยายามขัดขืนไม่ยอมดื่มเข้าไป กฎห้ามฆ่าตัวตายปลดปล่อยการควบคุมพลังปราณของฟางเซียนอย่างรู้งาน ฟางเซียนจึงสามารถใช้พลังกดซงเลี่ยงจินไว้ไม่ให้ขัดขืนและบังคับให้เขาดื่มยาถอนพิษจนหมด
เมื่อฟางเซียนใช้พลังซงเลี่ยงจินจึงรู้ตัวว่าฟางเซียนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนแต่เป็นสายมารต่างหาก!
ยาปริศนายิ่งน่าสงสัยมากกว่าเดิม แต่มันก็สายเกินไปที่จะคายยาทิ้งเพราะเขาได้กลืนมันลงไปแล้ว ซงเลี่ยงจินไอหลายครั้งด้วยความตื่นตระหนกและกลัว
[รังแกคนแก่! รังแกคนแก่!] ระบบเห็นว่าซงเลี่ยงจินทำท่าเหมือนคนแก่กำลังหัวใจวายมันก็เลยตะโกนออกมา
“เอาอะไรให้ข้าดื่มกันแน่!” ซงเลี่ยงจินถามเสียงแข็งกร้าว
“รีบโคจรพลังปราณเสีย หากช้ากว่านี้ข้าก็ไม่รับรองชีวิตของเจ้าหรอกนะ” ฟางเซียนกล่าวพลางนั่งจิบชาด้วยท่าทางนิ่งสงบ
ซงเลี่ยงจินกัดฟันกรอดเมื่อรับรู้ถึงพลังปราณที่กำลังปั่นป่วนในร่างกาย เขารีบทำสมาธิโคจรพลังปราณตามที่ฟางเซียนบอก ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของแหล่งเก็บพลังปราณของเขาอย่างชัดเจน
มันกำลังขยายใหญ่ขึ้น! และพลังปราณของเขาก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น!
เมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซงเลี่ยงจินก็ตกอยู่ในความรู้สึกตกตะลึงและความตื่นเต้นจนมือไม้สั่น
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปจนเหมือนฝัน!
ซงเลี่ยงจินดีใจมาก เขาเกือบโคจรพลังปราณพลาดและได้ไปทัวร์ยมโลก
หลังจากนั้นซงเลี่ยงจินได้ยอมก้มหัวเป็นลูกศิษย์ของฟางเซียนอย่างไม่มีเงื่อนไขแม้ว่าจะต้องผันตัวไปเป็นมารก็ตาม และเพื่อที่จะได้ติดตามฟางเซียนได้อย่างสะดวกเขาจึงขอตัวไปจัดการเรื่องของเขาก่อนเพราะว่าเขาเป็นถึงนักหลอมยาของสำนักเฉินที่มีตำแหน่งสูงไม่น้อย หากทิ้งไปเสียเฉยๆ มันก็ดูไม่มีความรับผิดชอบมากเกินไป
“ฉันได้ลูกศิษย์คนที่สองแล้ว ให้แต้มลบฉันได้รึยัง?” ฟางเซียนทวงถามถึงรางวัลของนางทันที ระบบจึงแสดงหน้าต่างระบบให้ฟางเซียนได้เห็นชัดๆ ว่าแต้มโชคดีของนางลดลงแล้ว
[ยินดีด้วยครับที่ได้รับลูกศิษย์คนใหม่! แต่ซงเลี่ยงจินไม่น่าใช่ลูกศิษย์คนที่สองของคุณนะครับ] ระบบกระซิบเสียงเบาในประโยคหลัง
“ไม่ใช่ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ฉันก็มีแค่ลู่เหลียนที่เป็นลูกศิษย์คนเดียวนะ”
[...] ระบบปิดปากเงียบไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ความลับที่ฟางเซียนได้รับลูกศิษย์อีกคนโดยไม่รู้ตัวเขาจะพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!
“ท่านอาจารย์ ทำไมถึงเลือกชายคนนั้นเป็นลูกศิษย์?” เมื่อได้โอกาสลูกศิษย์คนแรกของนางก็ได้เอ่ยถาม
ฟางเซียนตอบว่า “ไม่รู้”
“ข้ามีคำถามเช่นกัน” จ้าวหลงเทียนพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “เจ้าทำเช่นไรหรือเขาถึงได้ยอมรับเจ้าเป็นอาจารย์? การเปลี่ยนเส้นทางการบำเพ็ญเพียรอย่างกะทันหันทำได้ก็จริงแต่ทว่ามันยากมากและอาจจะทรมานมากเช่นกัน”
ฟางเซียนตอบว่า “ไม่รู้”
ท่าทางฟางเซียนดูเหมือนไม่สนใจที่จะตอบคำถามมากนักพวกเขาจึงไม่ถามอะไรอีก
“ว่าแต่เจ้าล่ะ? มาทำอะไรที่นี่?” ฟางเซียนถามจ้าวหลงเทียนกลับ
จ้าวหลงเทียนหน้าซีดทันที “จริงด้วย! ข้าเผลอลืมเสียสนิทว่าต้องตามหาลัทธิฆ่าตัวตาย!”
“ลัทธิฆ่าตัวตายงั้นหรือ?” ฟางเซียนเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ไม่มากนักเพราะนางเดาไว้แล้วว่าลัทธินี้ยังไม่หายไปอย่างแน่นอน
“ข้ามั่นใจว่าจัดการกับหัวหน้าลัทธิฆ่าตัวตายนั่นไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมตลอดหลายปีที่ผ่านมามันยังคงมีวิญญาณหายไปทีละน้อย สมดุลวัฏจักรอาจจะสั่นคลอนอีกครั้ง” จ้าวหลงเทียนกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
ถ้าโลกล่มสลายนางจะตายไหม?
ฟางเซียนอดคิดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หวังให้โลกล่มสลายแต่อย่างใด นางไม่ได้จิตใจอำมหิตขนาดนั้น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปทำหน้าที่ของเจ้าให้เสร็จสิ้นเสียสิ” สายตาของลู่เหลียนบอกว่า ทำไมยังอยู่อีก ไปให้พ้นได้แล้ว!
จ้าวหลงเทียนแอบน้ำตาตกใน ไม่เคยมีใครแสดงความเกลียดชังต่อหน้าเขามาก่อนเลย เขาควรดีใจที่ได้มีประสบการณ์เช่นนี้หรือไม่
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวลา” ถูกไล่ขนาดนี้แล้วเขาก็คงต้องจากไปจ้าวหลงเทียนจึงกล่าวลาสองสามประโยคและจากไป
ลู่เหลียนดูสุขใจขึ้นมากเมื่อสิ่งที่รำคาญสายตาหายไป
และฟางเซียนกล่าวขึ้นมาว่า “เอาล่ะ ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว” จากนั้นนางก็ไปนอนแม้ว่ามันจะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม เพื่อชดเชยที่เมื่อคืนไม่ได้นอนฟางเซียนก็เลยตั้งใจจะนอนหลับยาวจนกว่าจะถึงตอนเช้าของวันพรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นเที่ยง?
หลับอย่างไม่สนใจโลกกันเลยทีเดียว นั่นทำให้นางไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นในห้องนอนของนาง
หมอกควันปริศนาได้รั่วไหลออกมาจากกระบี่เสอโหย่วตู๋และมันก็ค่อยๆ หลอมรวมกันจนกลายเป็นเงาสีดำรูปร่างคล้ายมนุษย์
‘บัดซบเอ๊ย! ข้าดันโดนเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นั่นผลึกเสียได้ กว่าจะออกมาได้ทำเอาข้าแทบหมดพลัง’ เสอโหย่วตู๋บ่นอย่างหัวเสีย ‘ฟางเซียน! ทำไมเจ้าไม่ช่วยข้า!’
เพราะความโมโหมันก็เลยพาลใส่ฟางเซียนไปด้วย แต่ฟางเซียนไม่ได้รับรู้เพราะกำลังนอนหลับสนิท ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา เสอโหย่วตู๋รู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ
‘ฟางเซียน! ทำไมเจ้าเอาแต่นอนไม่รู้จักทำอย่างอื่นบ้างเลย!’ เสอโหย่วตู๋ในร่างเงาดำเขย่าเตียงของฟางเซียนราวกับวิญญาณแค้นที่ต้องการก่อกวน เมื่อเห็นว่าฟางเซียนไม่ยอมตื่นมันก็เลยนั่งหน้าบูดอยู่ข้างเตียงของฟางเซียนพลางจ้องหน้านางเขม็ง
พฤติกรรมของมันราวกับวิญญาณแค้น ถ้าหากฟางเซียนตื่นขึ้นมาตอนนี้คงตกใจจนหัวใจวายตายเป็นแน่
ทว่าน่าเสียดายที่ฟางเซียนไม่ตื่นขึ้นมา นางก็เลยไม่ได้ตายสมใจอยาก
‘ตื่นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่ใช่ว่าข้าเหงาหรอกนะ ข้าแค่อยากถามว่าทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยข้าปลดผนึกต่างหาก! รู้ไหมว่ามันอึดอัดมากนะ!’ เสอโหย่วตู๋เกาะอยู่ข้างเตียงและบ่นคล้ายเด็กกำลังงอแงไม่มีผิด มันเป็นอย่างนั้นอยู่สักพัก
เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้าดวงจันทร์ก็ขึ้นมาแทนที่ และท่ามกลางแสงจันทร์หน้าต่างห้องนอนของฟางเซียนได้ถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ เงาสีดำหรือจิตวิญญาณของกระบี่เสอโหย่วตู๋รู้สึกตัวทันทีว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในห้อง
เสอโหย่วตู๋มุดลงใต้เตียงและแอบมองผู้บุกรุก แต่เมื่อมันเห็นว่าผู้บุกรุกสวมชุดสีขาวแต่ก็ไม่ใช่นกยูงขาวตัวนั้นมันจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและแอบดูต่อไปว่าผู้บุกรุกปริศนาคนนี้ต้องการทำอะไร
ผู้บุกรุกหรือตัวจริงก็คือมี่เยว่ชิงเดินโซเซไปที่เตียงนอนของฟางเซียน เขาเดินไม่ค่อยมั่นคงนักเหมือนคนที่ไม่มีสติ เสอโหย่วตู๋คิดว่าผู้บุกรุกอาจจะเป็นคนเมาที่กำลังหลงทาง จนกระทั่งมันเห็นผู้บุกรุกเดินไปหยุดข้างเตียงและกำลังยื่นมือไปจับฟางเซียน ทันใดนั้นเสอโหย่วตู๋ก็ต้องเปลี่ยนความคิด มันเชื่อว่าผู้บุกรุกนั่นจะต้องเป็นโจรเด็ดบุปผาอย่างแน่นอน เสอโหย่วตู๋ไม่อยากยอมรับแต่มันก็ต้องยอมรับว่าฟางเซียนหน้าตาดีมากและเหมาะสมที่จะตกเป็นเป้าหมายของโจรราคะเช่นนี้มากที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้นสายตาที่เสอโหย่วตู๋มองผู้บุกรุกก็เปลี่ยนไป ฟางเซียนหลับอย่างไม่สนใจโลกเช่นนี้คงปกป้องตัวเองจากอันตรายไม่ได้แน่ สุดยอดกระบี่อย่างมันคงต้องรับหน้าที่จัดการผู้บุกรุกแทน
‘อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้อยากจะปกป้องเจ้าหรอกนะ!’ เสอโหย่วตู๋แก้ตัวเสียงเบา จากนั้นร่างเงาสีดำของมันก็พุ่งไปกระแทกร่างของมี่เยว่ชิงอย่างรวดเร็ว
ร่างของมี่เยว่ชิงกระเด็นออกจากห้องทางหน้าต่างบานที่เขาเข้ามาทันที แต่มี่เยว่ชิงไม่ได้เพียงถูกผลักจนกระเด็นตกหน้าต่างเท่านั้น เขายังได้ถูกพิษของเสอโหย่วตู๋อีกด้วย มันคงเป็นเรื่องยากที่หลังจากนี้เขาจะรอดชีวิตไปได้
‘ก็แค่โจรกระจอก’ เสอโหย่วตู๋กระตุกยิ้มและยืดอกภูมิใจ แต่ครู่ต่อมาอารมณ์ของมันก็เปลี่ยนเป็นความกลัวทันทีเมื่อมันเห็นบางสิ่งสีขาวที่เข้ามาทางประตู ซึ่งมันก็คือลู่เหลียน มารนกยูงสุดชั่วร้าย
ลู่เหลียนเป็นเด็กเวรที่ทำให้มันกลัวจริงๆ
เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับลู่เหลียน เสอโหย่วตู๋จึงรีบพุ่งจิตวิญญาณกลับเข้าไปในกระบี่ทันที
‘โจรราคะตัวจริงมาแล้ว แต่ข้าไม่ช่วยหรอกนะ’ เสอโหย่วตู๋กระซิบเสียงเบา
เมื่อเข้ามาในห้อง ลู่เหลียนก็กวาดสายตามองรอบห้องเป็นสิ่งแรกและไปหยุดที่หน้าต่างที่ถูกเปิดค้างไว้ เขาไม่ติดใจอะไรมากมายเพราะคิดว่าฟางเซียนอาจจะลืมเปิดทิ้งไว้ เขาจึงสะบัดมือร่ายคาถาปิดหน้าต่างพลางเดินสำรวจเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามันมีการเคลื่อนไหวอยู่ในห้องนี้ แต่ในเมื่อไม่พบอะไรลู่เหลียนจึงวางใจและหันไปสนใจฟางเซียนที่กำลังนอนหลับ
“ท่านอาจารย์...” เขานั่งลงบนเตียงพลางเอ่ยเรียกฟางเซียนเสียงเบา เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเขาก็เลื่อนมือไปกุมมือเรียวของฟางเซียน น่าแปลกที่ทุกการกระทำของเขาไม่ทำให้ฟางเซียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลยสักนิด ทั้งที่ปกติผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงควรจะมีสัมผัสที่ฉับไวกว่าคนทั่วไป เมื่อมีบางอย่างเข้าใกล้ก็จะรู้สึกตัวทันที แต่ฟางเซียนกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามีคนอื่นเข้ามาใกล้
หลับลึกราวกับว่ากำลังเปิดทางให้ถูกลอบฆ่าอย่างไรอย่างนั้น...
เมื่อคิดถึงเรื่องความต้องการฆ่าตัวตายของฟางเซียนอารมณ์ของลู่เหลียนก็ขุ่นมัว เขากุมมือฟางเซียนแน่นมากขึ้น
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ฟางเซียนจ้างวานนักฆ่าให้มาสังหารตัวเอง ลู่เหลียนต้องปะทะกับนักฆ่าหลายต่อหลายครั้งเพื่อปกป้องฟางเซียนจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่อย่างไรก็ตามเขาก็จะสู้เต็มที่เพื่อไม่ให้ฟางเซียนถูกฆ่าอย่างเด็ดขาด
เขาพัฒนาฝีมือได้เร็วก็เพราะต้องต่อสู้กับนักฆ่าที่ฟางเซียนจ้างวานมานี่ล่ะ
“ข้าต้องทำเช่นไรกัน ท่านถึงจะยอมเปลี่ยนใจ” ลู่เหลียนกล่าวเสียงอ่อนระโหยพลางประคองมือของฟางเซียนขึ้นมาจรดลงบนริมฝีปากของตัวเอง กลิ่นหอมและสัมผัสนุ่มนวลทำให้ลู่เหลียนรู้สึกริมฝีปากร้อนระอุและในคอแห้งผากขึ้นมา
แววตาของลู่เหลียนเริ่มเผยชัดเจนถึงความรู้สึกภายในใจ
“ข้าเป็นศิษย์ที่ดีของท่านแล้ว หากข้าทำสิ่งที่ศิษย์ไม่ดีทำสักครั้งท่านคงไม่กล่าวว่าข้าหรอกใช่หรือไม่?” ลู่เหลียนเอ่ยกระซิบเสียงอ่อนหวาน เขาโน้มตัวลงและประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของฟางเซียนอย่างนิ่มนวล เขาผละออกเล็กน้อยเพื่อดูให้แน่ใจว่าฟางเซียนจะยังคงหลับสนิทก่อนที่เขาจะประทับจูบลงไปอีกครั้ง
ลู่เหลียนหลับตาลงและซึมซับรสชาติหวานในปากทีละน้อย...
ตั้งแต่เช้าของวันนี้ลู่เหลียนอมยิ้มทั้งวัน ฟางเซียนมองลู่เหลียนด้วยสายตาเหมือนกับมองนกยูงเมาก***าไม่มีผิด
“อะไรทำให้เจ้ายิ้มไร้สาระได้ทั้งวันกัน?” ฟางเซียนถามอย่างหมดความอดทน
“ข้าฝันดีมากขอรับ” ลู่เหลียนตอบ
“ก็แค่ฝัน” ฟางเซียนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระนางจึงเลิกสนใจ
“แต่มันเป็นฝันดีมากเลยนะขอรับ ข้าได้จูบกับหญิงงามด้วยล่ะ” ลู่เหลียนยิ้มแจ่มใส
“หญิงงามของเจ้าคงเป็นนกยูงน่าเกลียด” ฟางเซียนยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่เสียหน่อยขอรับ” เขายิ้มเหยเกพลางหัวเราะเสียงแห้ง
ฟางเซียนและลู่เหลียนสนทนาเรื่องไร้สาระกันอยู่สักพักจนกระทั่งได้ยินข่าวลือของซงเลี่ยงจินลอยเข้าหู ดูเหมือนว่าหลังจากซงเลี่ยงจินกลับไปยังสำนักเฉินเขาก็ได้ขอถอนตัวออกจากสำนักโดยไม่บอกเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องที่กะทันหันมากเกินไปจึงเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในกลุ่มนักหลอมยาของสำนักเซียนขึ้นมา
ฟางเซียนนั่งฟังข่าวด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย นางอยากให้ซงเลี่ยงจินรีบจัดการเรื่องของเขาและกลับมาหานางสักทีเพราะนางอยากเดินทางออกจากที่นี่เต็มทน ถ้าอยู่ต่อไปมันก็มีแต่จะทำให้นางหงุดหงิดเสียเปล่า
ทั้งที่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมไม่มีใครรู้ตัวกันเลยว่านางเป็นมาร! ยิ่งคิดยิ่งน่าหงุดหงิด
ระหว่างนั้นข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายก็ดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ แม้จะไม่ตายมากมายในครั้งเดียวเหมือนเมื่อแปดปีก่อน แต่หากนำศพของคนที่ฆ่าตัวตายในระหว่างหลายปีที่ผ่านมามารวมกันแล้วมันก็จะได้ศพจำนวนมากไม่น้อย
ลัทธิฆ่าตัวตายยังไม่หายไป ซึ่งส่วนมากมันจะแพร่ระบาดอยู่ในเมืองเฉินมากกว่าที่อื่น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจ้าวหลงเทียนถึงมาที่เมืองนี้ เขามาเพื่อจัดการเรื่องที่เขาพลาดไปเมื่อแปดปีก่อนนั่นเอง
“เมื่อเช้าเพิ่งมีคนฆ่าตัวตายแล้วเทพมังกรหายไปไหน?” ฟางเซียนพูดสิ่งที่นึกสงสัยออกมา
“ดีแล้ว หายสาบสูญไปเลยยิ่งดี” ลู่เหลียนกล่าวพลางยิ้มไร้อารมณ์ บทสนทนาเกี่ยวกับจ้าวหลงเทียนจึงจบลงเพียงเท่านั้น
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดซงเลี่ยงจินก็กลับมาหาและพร้อมเดินทางเต็มที่
ฟางเซียนถามเขาด้วยความหวังทันทีว่า “มีคนอื่นมากับเจ้าหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ” ซงเลี่ยงจินตอบอย่างมั่นใจ ฟางเซียนถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อได้คำตอบเช่นนั้นเพราะนางหวังว่าเขาจะมีความเป็นเซียนอยู่บ้างและพากองทัพเซียนมาจัดการมารอย่างนาง แต่ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานของเขาจะสูงกว่าความเป็นเซียนของเขา
“น่าเบื่อ” กล่าวจบฟางเซียนก็เดินมุ่งหน้าออกจากเมืองด้วยความเร็วจนเผลอไปชนคนอื่นเข้า แต่นางหงุดหงิดมากและไม่มีอารมณ์ไปสนใจอะไรทั้งสิ้นจึงไม่แม้แต่จะขอโทษ
จนกระทั่งนางชนเข้ากับไหล่ของคนคนหนึ่ง ปราณสายฟ้าของคนคนนั้นคล้ายถูกส่งผ่านมาบนไหล่ของนาง ฟางเซียนหยุดชะงักและหันไปมอง มันก็สักพักแล้วที่ฟางเซียนไม่รู้สึกเจ็บตัวจนกระทั่งถูกสายฟ้าเมื่อครู่ช็อต แม้จะเพียงครู่เดียวแต่ฟางเซียนก็หวังว่าคนคนนั้นจะสามารถฆ่านางได้
“อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้ตายสมใจอยากแล้ว...เพราะความตายมันไม่ได้หายากเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ปลดปล่อยเจ้าออกจากมัน...”
ฟางเซียนสบตาเข้ากับดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่ง แม้จะเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่อแปดปีก่อนแต่ฟางเซียนก็นึกออกทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร เทพสายฟ้าไม่ผิดแน่
เพียงพริบตาเทพสายฟ้าคนนั้นก็หายไป
“ปลดปล่อยงั้นเหรอ?”
[อย่าไปฟังนะครับ!] ระบบตะโกนออกมาด้วยความกระวนกระวาย
“มันคงถึงเวลาที่นายต้องอธิบายให้ฉันฟังได้แล้วนะ ระบบห้ามฆ่าตัวตาย”
............
สถานที่ซึ่งไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดย่างกรายเข้ามามักจะสวยงามเสมอ ต้นไม้และพืชพันธุ์ทุกชนิดต่างเติบโตสมบูรณ์ ลำธารน้อยใหญ่เต็มไปด้วยน้ำใสสะอาด สัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่บริเวณรอบข้างอย่างสงบสุข
เดิมทีมันเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าบัดนี้ความสงบสุขและความสวยงามได้ถูกทำลายสิ้นจากการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตทรงพลัง ต้นไม้ใบหญ้าเสียหายอย่างหนัก ทั้งถูกเผาและถูกหักโค่น น้ำในลำธารก็แห้งเหือดไปส่วนหนึ่ง สัตว์ในป่าล้มตายและหนีหาย เหลือทิ้งไว้เพียงซากป่า แอ่งเลือดสีแดงฉาน และ...
เกล็ดมังกรสีทองที่เปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กบนโลก