บทที่ 9.1 ลูกศิษย์คนใหม่
ณ ห้องพักส่วนตัวของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองเฉิน
“ปลดผนึกเสีย” ฟางเซียนออกคำสั่ง
“ไม่ขอรับ” ลู่เหลียนปฏิเสธเสียงหนักแน่น
“ลู่เหลียน!” ฟางเซียนตะโกนเรียกชื่อของลูกศิษย์ตัวดีด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ขอรับ!” แม้ว่าตอนนี้ฟางเซียนจะดูโกรธมาก แต่ลู่เหลียนก็ตอบรับเสียงหนักแน่นอย่างไร้ท่าทีหวาดกลัว
ฟางเซียนโกรธมากจนอยากจับลูกศิษย์คนงามที่ไม่ยอมเชื่อฟังมาตีสักครั้ง เขาแอบปิดผนึกกระบี่ของนางและไม่ยินยอมปลดผนึกแม้ว่านางจะออกคำสั่งก็ตาม ไหนกันลูกศิษย์ที่เชื่อฟังอาจารย์ทุกอย่าง? มีแต่นกยูงจอมดื้อดึงเท่านั้นแหละ!
“อย่าให้ข้าใช้กำลังลู่เหลียน!” ฟางเซียนจ้องตาของเขาเพื่อกดดัน
ลู่เหลียนส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะถามว่า “ทำไมท่านอาจารย์ไม่ปลดผนึกเองล่ะขอรับ? ผนึกเพียงเท่านั้นไม่น่าจะคณามือของท่านนี่ขอรับ”
ทันใดนั้นใบหน้าของฟางเซียนก็หม่นหมอง
ให้นางปลดผนึกเองงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้เลยเพราะตอนนี้แม้แต่โคจรพลังปราณนางก็ยังทำไม่ได้เลย บางครั้งกฎห้ามฆ่าตัวตายก็ทำมากเกินไป ปิดกั้นพลังปราณของนางทุกจุดราวกับกลัวว่าหากปราณมารของนางรั่วไหลออกมาเพียงแค่นิดเดียวนางก็จะตาย
ซึ่งมันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้ ผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนในเมืองเฉินแทบทุกคนไม่มีความระมัดระวังเลยแม้แต่น้อยเพราะพวกเขาคิดว่ามันคงไม่มีมารตนไหนกล้าเข้ามาในเมืองที่เต็มไปด้วยเซียนหรอก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่พวกเขาจะสังเกตเห็นหรือรู้ตัวว่ามีคนใช้ปราณมารในเมือง
แต่ถึงอย่างนั้นกฎห้ามฆ่าตัวตายก็ยังไม่ยอมให้นางใช้พลังปราณเสียที ถ้าหากนางไม่ตกอยู่ในอันตรายมันก็คงจะผนึกพลังของนางต่อไป
“สรุปเจ้าจะปลดผนึกให้ข้าหรือไม่” ฟางเซียนเอ่ยถามอย่างใจเย็นมากขึ้น
“ไม่ขอรับ” ลู่เหลียนปฏิเสธคำเดิม
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอสั่งลงโทษเจ้า!” ฟางเซียนตะโกนใส่หน้าของลู่เหลียน “วางใจได้ข้าจะไม่ตีเจ้า แต่เจ้าจะต้องไปจับสัตว์อสูรมาให้ข้าหนึ่งร้อยตัว ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมาหาข้าอีก!”
พอได้ยินดังนั้นลู่เหลียนก็ส่งสายตาเซื่องซึมไปให้ฟางเซียน “ได้โปรดอย่าลงโทษข้าเช่นนั้นเลยขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากท่าน”
“นั่นคือเหตุผลของเจ้าเหรอ!” เขาควรกังวลที่ถูกสั่งให้ไปจับสัตว์อสูรตั้งหนึ่งร้อยตัวไม่ใช่รึไง!?
“การอยู่ห่างจากท่านเป็นบทลงโทษที่ร้ายแรงสำหรับข้า” ลู่เหลียนกล่าวเสียงเหงาหงอย ฟางเซียนรู้สึกเหมือนเห็นภาพของนกยูงสีขาวที่กำลังทำท่าทางโศกเศร้าและน่าสงสาร แต่ครั้งนี้ฟางเซียนไม่ยอมใจอ่อนหรือให้อภัยโดยง่าย ในเมื่อเขากล้าขัดขวางแผนการฆ่าตัวตายของนางหลายครั้ง นางก็จะมอบบทลงโทษสถานหนักให้กับเขา!
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับบทลงโทษก่อนหน้านี้ ถ้าเช่นนั้นบทลงโทษใหม่ของเจ้าก็คืออยู่ให้ห่างจากข้า อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกเป็นครั้งที่สอง!”
“ไม่นะขอรับ!” ลู่เหลียนตะโกนประท้วงทันทีพร้อมกับกระโดดเข้าไปกอดเอวของฟางเซียนอย่างแน่นหนา แทนที่จะทำตามคำสั่งของนาง เขากลับทำตรงกันข้ามกับคำสั่งเสียได้
“ปล่อยข้า!” ฟางเซียนเอ่ยเสียงขุ่นเคืองและพยายามผลักไสลู่เหลียน
ลู่เหลียนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฟางเซียนและส่งสายตาเว้าวอนไปให้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะหลงเสน่ห์ของลู่เหลียนไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับฟางเซียนแน่นอน
“อย่าคิดว่าสายตานั่นจะใช้ได้ผลกับข้า!” พอฟางเซียนพูดอย่างนั้นลู่เหลียนก็ส่งสายตาอมทุกข์เหมือนคนกำลังตรอมใจตาย
“ท่านอาจารย์ อย่าใจร้ายกับศิษย์ผู้นี้เลยนะขอรับ ข้าคงไม่อาจทนได้หากต้องห่างจากท่าน” ลู่เหลียนพูดเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้า แลดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
ฟางเซียนเบะปาก นางรู้นะว่าท่าทางนั่นมันเสแสร้งทั้งหมด เพราะงั้นมันใช้กับนางไม่ได้ผลหรอก เพื่อให้หลุดออกจากการถูกกอดฟางเซียนจึงออกแรงถีบลู่เหลียน และพอนางทำอย่างนั้นลู่เหลียนก็แสร้งล้มลงไปกับพื้นคล้ายคนหมดแรง อีกทั้งยังทำหน้าทำตาเหมือนสาวน้อยถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอาจารย์รังแกศิษย์” ลู่เหลียนพูดตัดพ้อ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นลู่เหลียน ข้าออกแรงถีบแค่นิดเดียวมันไม่ทำให้เจ้าล้มจนลุกไม่ขึ้นหรอกนะ” ฟางเซียนพูดพลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เขาจึงเลิกเล่นและเปลี่ยนจากใบหน้าโศกเศร้าเป็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันแสนหวานเช่นเคย
“ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านอาจารย์รู้สึกเห็นใจข้าบ้างก็เท่านั้นขอรับ” ลู่เหลียนพูดพลางลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นลู่เหลียนก็บังเอิญสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างและบังเอิญล้มลงไปทางฟางเซียนพอดิบพอดี
ฟางเซียนเห็นดังนั้นจึงยื่นมือออกไปรับ ทว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปนางก็เลยไม่ทันได้เตรียมตัวที่จะรับน้ำหนักตัวของลู่เหลียน สุดท้ายนางจึงรับไม่ไหวและล้มลงกับพื้นไปพร้อมกับลู่เหลียน ฟางเซียนรู้สึกเจ็บหลังมากและรู้สึกว่าสมองมึนงงอยู่ครู่หนึ่งเพราะแรงกระแทก ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มบนริมฝีปาก
เมื่อได้สติกลับมาดวงตาของฟางเซียนก็ได้สบตาเข้ากับดวงตาสีแดงเป็นประกายของลู่เหลียน ดูเหมือนว่าใบหน้าของลู่เหลียนจะอยู่ใกล้กับนางมาก มากถึงขนาดที่ว่าริมฝีปากของพวกนางสัมผัสกันแล้ว
ลู่เหลียนผละริมฝีปากออกและทำหน้าเขินอายราวกับว่านางไปลวนลามเขาอย่างไรอย่างนั้น “ท่านปล้นจูบข้า”
ฟางเซียนมองหน้าคนพูดด้วยสายตาว่างเปล่า นางควรเป็นคนพูดประโยคนั้นไม่ใช่เหรอ? ไม่มีใครสะดุดอากาศและล้มลงมาจูบคนอื่นได้อย่างพอดิบพอดีหรอก! และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมลุกออกไปจากตัวนางอีก!
“ลู่เหลียน ลุก!” ฟางเซียนออกคำสั่งนกยูงเจ้าเล่ห์ที่คร่อมร่างของนางอยู่
“เรียกข้าว่า อาเหลียน ได้หรือไม่ขอรับ” จู่ๆ ลู่เหลียนก็เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างกะทันหัน
“อาเหลียน” ฟางเซียนพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่มันทำให้แก้มของลู่เหลียนขึ้นสีแดงได้อย่างง่ายดาย “แล้วจะให้ข้าเรียกทำไม” ฟางเซียนถามเสียงหงุดหงิดเพราะลู่เหลียนยังคร่อมอยู่เหนือร่างของนางไม่ขยับไปไหน
“ข้าขออีกครั้งได้หรือไม่?” ลู่เหลียนเอ่ยถามด้วยแววตาแพรวพราวพลางเลื่อนสายตาไปมองริมฝีปากของนาง ฟางเซียนเข้าใจความหมายของสายตานั่นอย่างดี และฟางเซียนไม่ชอบมันมาก นางจึงจัดการตะบันหน้าลู่เหลียนอย่างไม่เกรงใจหน้าตาสวยๆ เลยสักนิด
เจ็บ…
นั่นคือความรู้สึกบนใบหน้าของลู่เหลียนตอนนี้ มันเป็นครั้งแรกที่เขากล้าเกี้ยวพาราสีฟางเซียนอย่างเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ แก้มบวมปูด มุมปากแตก และขอบตาช้ำ สงสัยคงต้องใช้เวลาสักสองสามวันเพื่อรักษาใบหน้าให้กลับมาสวยเหมือนเดิม
คิดพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดหวัง หากไม่นับตอนฝึกทักษะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฟางเซียนลงมือตีใบหน้าของเขาอย่างแรงและมันก็เป็นครั้งแรกที่ฟางเซียนขับไล่ไสส่งเขาจนเขาต้องมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกเซื่องซึมอย่างยิ่ง
เขาเหม่อลอยและเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งเขาชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่บนถนนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ขออภัยแม่นาง” ฝ่ายนั้นรีบกล่าวขอโทษ
ทันทีที่ลู่เหลียนได้ยินประโยคนั้นสติของเขาก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็วและความรู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกเรียกว่าแม่นางก็เข้ามาแทนที่
“แม่นางมารดาเจ้าสิ!” ลู่เหลียนลืมภาพลักษณ์ของเขาชั่วคราวและเผลอหลุดปากตวาดใส่หน้าอีกฝ่าย ฝ่ายนั่นทำหน้าเจื่อนและถึงกับวางตัวไม่ถูก
“แม่นาง...ช่างดุร้ายนัก” เขาดูตื่นตระหนกมากเพราะไม่เคยถูกตวาดมาก่อน
ลู่เหลียนฟื้นคืนสติของตัวเองอีกครั้ง เขาหยิบพัดด้ามจิ้วขึ้นมากางและโบกสะบัดเบาๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ต่อมาลู่เหลียนก็กลับมาอยู่ในภาพลักษณ์เดิมที่เขาสร้างขึ้นมา สง่างามและดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่เขาก็สนใจดูแลภาพลักษณ์ของเขาให้ดูสวยงามมาตลอด นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของเขาออกมาดูสมบูรณ์แบบอย่างมาก
ยืนมองหน้ากันอยู่สักพักทั้งสองฝ่ายก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้ากันและกัน
“เจ้าคือลู่เหลียน!?” จ้าวหลงเทียนอุทาน
“เจ้าคือเทพมังกร!?” ลู่เหลียนอุทานพร้อมกับทำหน้าเกลียดชัง เขายังจดจำความรู้สึกเกลียดชังของเขาที่มีต่อจ้าวหลงเทียนเมื่อแปดปีก่อนได้อย่างดี
ลู่เหลียนมีความรู้สึกว่าเขามีดวงชะตาแห่งการพบพานสิ่งอัปมงคล จู่ๆ ก็ต้องเดินทางมารับศิษย์น้องที่ไม่รู้จักและยังต้องมาพบเจอคนที่เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอีกด้วย วันนี้เขาคงโชคร้ายมากจริงๆ
“ไยเจ้าถึงเรียกข้าว่าเทพมังกร? เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้ามีนามว่าจ้าวหลงเทียน”
“ข้าลืมไปแล้ว” ลู่เหลียนกล่าวเสียงหมางเมินและเดินหนี
จ้าวหลงเทียนเดินตาม “รอเดี๋ยว เจ้าจะไม่ทักทายเพื่อนเก่าเช่นข้าเลยหรือ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้าหรือ? ใบหน้าของเจ้าดูแย่มากเจ้าอยากให้ข้าช่วยรักษาหรือไม่?”
“อย่าตามมา! แล้วใครเป็นเพื่อนของเจ้ากัน!? ข้าไม่เคยมีเพื่อนเช่นเจ้า! และก็ไม่ต้องมายุ่งกับใบหน้าของข้าด้วย!” ลู่เหลียนกัดฟันพูดเสียงหงุดหงิดปนรำคาญ
“ทำไมเจ้าถึงดูจงเกลียดจงชังข้านักเล่า...”จ้าวหลงเทียนงึมงำเสียงสลดหดหู่ “ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? รู้หรือไม่ว่าเมืองเฉินไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าเลยสักนิด แม่นางฟางเซียนไม่น่าปล่อยให้เจ้ามาอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัยเช่นนี้”
“หุบปาก เจ้าพูดมากน่ารำคาญเกินไป” ลู่เหลียนตะคอกเสียงห้วนจ้าวหลงเทียนทำหน้าเจื่อนแต่ก็ยังคงตามลู่เหลียนต่อไป
“ข้าอยากเจอแม่นางฟางเซียน ครั้งนี้ข้านำของที่นางน่าจะถูกใจมาฝากอีกด้วย!”
“ไม่ต้องตามมา!”
อีกคนพยายามหนีและอีกคนก็พยายามตามตื๊อ ในสายตาของคนอื่นพวกเขาทั้งสองเหมือนกับสามีที่พยายามตามง้อภรรยาไม่มีผิด...
บทสรุปก็คือลู่เหลียนวิ่งหนีตายกลับไปหาฟางเซียนในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงและเหนื่อยหอบ “ท่านอาจารย์! ช่วยข้าด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของลูกศิษย์ฟางเซียนก็รีบหันขวับไปมองทันทีและรีบซ่อนลูกศิษย์คนงามไว้ข้างหลังอย่างปกป้อง แต่ฟางเซียนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ทำให้ลูกศิษย์ของนางวิ่งหนีตายมาหานางก็คือคนคุ้นหน้า
คนที่มีสีทองบนร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามีแค่จ้าวหลงเทียน พระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เท่านั้นแหละ
“แม่นางฟางเซียน!? น่ายินดีนักที่เราได้พบกันอีกครั้ง!” จ้าวหลงเทียนกล่าวทักทายพร้อมยิ้มกว้างอย่างดีใจ
พริบตาหนึ่งลู่เหลียนมองจ้าวหลงเทียนด้วยแววตาอาฆาตก่อนที่เขาจะเอ่ยฟ้องฟางเซียนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “ชายคนนั้นพยายามตามตื๊อข้าและไม่ยอมปล่อยข้าไปแม้ว่าข้าจะปฏิเสธแล้ว! ท่านอาจารย์ช่วยข้าด้วยนะขอรับ!”
ฟางเซียนมองหน้าลู่เหลียนสลับกับจ้าวหลงเทียนก่อนจะพูดว่า “จ้าวหลงเทียน แม้ว่าลูกศิษย์ของข้าจะหน้าตางดงามแต่เขาก็เป็นผู้ชายนะ”
จ้าวหลงเทียนสำลักน้ำลายและไอติดต่อกันหลายครั้งก่อนจะรีบพูดเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของฟางเซียน “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าติดตามลู่เหลียนก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนานและข้าก็เห็นว่าเขาบาดเจ็บจึงคิดจะช่วยรักษาเขาและอีกอย่างข้าต้องการมอบของวิเศษให้กับเจ้าตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้”
“อย่าฟังเสียงน่าเกลียดนั่นเลยขอรับ” ลู่เหลียนพูดด้วยท่าทางจงเกลียดจงชัง
จ้าวหลงเทียนทำตัวไม่ถูก “ไยเจ้าถึงเกลียดชังข้านักเล่า...แม่นางฟางเซียนข้าควรทำอย่างไรดี?”
พอไม่รู้จะทำอะไรจ้าวหลงเทียนก็หันไปถามความเห็นฟางเซียน ลู่เหลียนแยกเขี้ยวขู่อย่างไม่พอใจทันที
“ถ้าเจ้ากล้าพูดกับอาจารย์ของข้าอีกครั้งข้าจะไม่ปรานีเจ้าเด็ดขาด!” แม้จะมีความงามดั่งเทพธิดา แต่ความน่ากลัวของจิตสังหารของลู่เหลียนไม่เคยแพ้ใครเลยจ้าวหลงเทียนขนลุกขนชันเพราะจิตสังหารนั่นไม่น้อย และมันทำให้เขารู้สึกเสียใจไม่น้อยเหมือนกันเพราะเขาไม่คิดว่าจะถูกเกลียดชังได้ถึงขนาดนี้
เมื่อฟางเซียนเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่การทะเลาะของเด็กที่ไม่ชอบขี้หน้ากันเท่านั้นนางจึงหยุดให้ความสนใจพวกเขาและให้ความสนใจกับสิ่งที่นางกำลังทำก่อนหน้านี้ นั่นก็คือการหลอมยาเสริมพลังปราณ
ก่อนหน้านี้ระบบห้ามฆ่าตัวตายได้เล่าประวัติของลูกศิษย์คนใหม่ของนางให้นางฟังไว้ว่าเขาเป็นมนุษย์เพศชายและเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนที่เก่งด้านการหลอมยามาก เมื่อได้รู้ว่าลูกศิษย์คนใหม่คือผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนฟางเซียนก็คิดหนักเพราะว่าการดึงผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนเข้าสู่สายมารมันไม่น่าใช่เรื่องง่ายเลย
น่าเสียดายที่ระบบไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกศิษย์คนใหม่มากกว่านั้น มันให้คำแนะนำเพียงข้อเดียวแก่นางว่านางต้องหลอมยาเสริมพลังปราณระดับสูงเพื่อใช้มันเป็นเหยื่อล่อในการทำให้ลูกศิษย์คนใหม่ของนางยอมรับนางเป็นอาจารย์
คืนนี้ฟางเซียนจึงต้องนั่งหลอมยาตลอดทั้งคืนโดยมีนกยูงขาวและมังกรทองนั่งเฝ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น และมีระบบห้ามฆ่าตัวตายส่งเสียงให้กำลังใจจนน่ารำคาญ
ฟางเซียนหวังว่านางจะไม่หมดความอดทนและไม่ปายาทิ้งเสียก่อนเพราะรางวัลครั้งนี้ก็คือแต้มลบหนึ่งหมื่น นางจะต้องไม่ยอมพลาดเด็ดขาด!
ณ ย่านการค้าสมุนไพรและยาวิเศษ
ย่านการค้าแห่งนี้คือแหล่งรวมร้านค้าที่ขายสมุนไพรและยาวิเศษเท่านั้น นั่นทำให้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นพ่อค้าขายยาวิเศษและสมุนไพรมากมาย ซึ่งมันก็มีทั้งของแท้คุณภาพสูงและของปลอมคุณภาพต่ำ ถ้าต้องการยาคุณภาพดีก็คงต้องตรวจสอบกันให้ละเอียดเสียก่อน
แต่อย่างไรก็ตามกลลวงของมิจฉาชีพสามารถทำให้คนเราพลาดพลั้งกันได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในการหลอมยาก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงได้เช่นกัน
ซงเลี่ยงจินคิดว่าเขาคงแก่เกินไปจนเริ่มเลอะเลือนแล้วเพราะว่าเขาได้เสียเงินจำนวนมากจากการซื้อหญ้าแสงจันทร์ระดับต่ำ ในตอนแรกเขาไม่ได้เอะใจเลยว่าหญ้าแสงจันทร์ต้นนั้นมันเป็นแค่สมุนไพรระดับต่ำที่มีกลิ่นเหมือนสมุนไพรระดับสูงเท่านั้น จนกระทั่งซื้อมาแล้วเขาถึงจะรู้ตัวว่าถูกหลอกให้ซื้อสมุนไพรคุณภาพต่ำ มันทั้งน่าอับอายและน่าเจ็บใจไม่น้อย
“ข้าได้ยินมาด้วยล่ะว่าท่านซงเลี่ยงจินนักหลอมยาแห่งสำนักเฉินถูกหลอกให้ซื้อสมุนไพรคุณภาพต่ำ”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินเช่นกัน! ข้าได้ยินมาว่าเขาอยากจะซื้อหญ้าแสงจันทร์คุณชายมี่ก็เลยเสนอที่จะขายให้ แต่เขากลับปฏิเสธและไปซื้อสมุนไพรคุณภาพต่ำของผู้อื่นแทนเสียได้”
“มีตาหามีแววไม่!”
ข่าวลือน่าอับอายมักแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วเสมอ ซงเลี่ยงจินทราบดีเขาจึงไม่แปลกใจนักที่ชาวบ้านจะรู้เรื่องผิดพลาดของเขาได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าเตือนท่านแล้วผู้อาวุโสซง หญ้าแสงจันทร์ของข้ามีคุณภาพดีกว่าของพ่อค้าผู้นั้นมาก แต่ท่านกลับไม่ฟังและซื้อสมุนไพรคุณภาพต่ำมาในราคาสูงเสียได้” ชายหนุ่มในชุดขาวเอ่ยพลางส่ายหัวด้วยความเสียดายและเศร้าใจ
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่า มี่เยว่ชิง เขาเป็นถึงคุณชายจากตระกูลมี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการหลอมยามาก เพราะฉะนั้นฝีมือด้านการหลอมยาของเขาจึงไม่มีทางเป็นสองรองใครอย่างแน่นอน
แต่ซงเลี่ยงจินไม่อยากซื้อสมุนไพรจากคุณชายมี่เยว่ชิงผู้นี้เท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะสถานะระหว่างพวกเขาไม่ได้เป็นพันธมิตรกันแต่อย่างใด
บ่อยครั้งมี่เยว่ชิงมักจะขัดแข้งขัดขาซงเลี่ยงจินเมื่อเขาต้องการทำอะไรบางอย่าง มี่เยว่ชิงทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่พอใจในทักษะการหลอมยาของซงเลี่ยงจิน ทั้งที่เป็นเพียงคนจากตระกูลไร้ชื่อเสียงและมีร่างกายผิดปกติจนทำให้มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนคนชราทั้งที่ระดับการบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับเจ็ด แต่ทั้งอย่างนั้นซงเลี่ยงจินกลับมีทักษะการหลอมยาในระดับสูงเทียบเท่ากับตระกูลมี่
เมื่อมีโอกาสมี่เยว่ชิงก็เลยมักจะหาเรื่องมาเยาะเย้ยถากถางซงเลี่ยงจิน
“ผู้อาวุโสซงต้องการหลอมยาเสริมพลังปราณใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นหญ้าแสงจันทร์ระดับต่ำที่ท่านซื้อมาคงไม่สามารถใช้เป็นส่วนผสมของยาได้เพราะยาเสริมพลังปราณจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบระดับสูงเท่านั้น” มี่เยว่ชิงกล่าว
และผู้ติดตามของมี่เยว่ชิงก็กล่าวต่อว่า “คุณชายมี่เยว่ชิงกังวลว่าท่านจะไม่ได้หลอมยาชั้นดีจึงนำหญ้าแสงจันทร์ระดับสูงมาเสนอขายให้กับท่าน”
ผู้ติดตามของมี่เยว่ชิงเปิดฝาของกล่องเหล็กที่อยู่ในมือออกมาจนเผยให้เห็นหญ้าแสงจันทร์ระดับสูง มันได้ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่วพื้นที่ ชาวบ้านที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างออกความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน
พวกเขาเอ่ยชื่นชมมี่เยว่ชิง แต่เอ่ยตำหนิซงเลี่ยงจินที่เลือกซื้อของคุณภาพต่ำของผู้อื่นแทนที่จะซื้อของคุณภาพสูงของมี่เยว่ชิง
มีตาหามีแววไม่ เป็นประโยคที่ได้ยินมากที่สุด
ชาวบ้านต่างตำหนิและทำหน้าเสียดายแทนซงเลี่ยงจิน แม้ว่าซงเลี่ยงจินจะยังตีสีหน้าเคร่งขรึมแต่ในใจของเขามืดครึ้มไม่น้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาเริ่มมีร่องรอยคิดหนักมากขึ้น
“ผู้อาวุโสซง ท่านยังจะต้องคิดอะไรอีก! คุณชายมี่อุตส่าห์หวังดีจะขายหญ้าแสงจันทร์ระดับสูงและหายากให้กับท่าน ท่านยังจะคิดปฏิเสธอีกงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว! แม้ว่านักหลอมยาจากสำนักเฉินและตระกูลมี่ไม่ชอบหน้ากัน แต่ข้าไม่คิดเลยว่านักหลอมยาจากสำนักเฉินจะใจแคบไม่ยอมรับความช่วยเหลือของคนที่หวังดีเช่นนี้!”
“เห็นได้ชัดว่าใครคือนักหลอมยาที่ดีและเก่งกาจมากที่สุด!”
มี่เยว่ชิงแอบยิ้มอย่างลับๆ เขามั่นใจว่าฝีมือการหลอมยาของเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ชายชราอย่างซงเลี่ยงจินอย่างแน่นอน
ในขณะที่ซงเลี่ยงจินกำลังถูกกดดันให้ซื้อหญ้าแสงจันทร์จากมี่เยว่ชิง ทันใดนั้นหญิงสาวในชุดสีดำและปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดด้วยผ้าสีดำก็ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางวงล้อม
“ไม่ทราบว่าหญ้าแสงจันทร์นั่นราคาเท่าใด?” หญิงสาวในชุดสีดำหรือตัวจริงก็คือฟางเซียนเอ่ยถาม
“ข้ายังไม่กำหนดราคาเลย” มี่เยว่ชิงแสร้งทำหน้าครุ่นคิดพลางเหลือบตามองซงเลี่ยงจินอย่างมาดร้าย “หญ้าแสงจันทร์ของข้ามีคุณภาพดีมาก ราคาของมันไม่มีทางต่ำไปกว่าหญ้าแสงจันทร์ระดับต่ำอย่างแน่นอน”
นั่นหมายความว่าหากซงเลี่ยงจินต้องการซื้อสมุนไพรจากมี่เยว่ชิงเขาจะต้องจ่ายเงินราคาแพงมากขึ้น มี่เยว่ชิงมีเจตนาขายสมุนไพรในราคาสูงมากกว่าปกติอย่างชัดเจน
ฟางเซียนหรี่ตาลงพลางกวาดสายตาสำรวจมี่เยว่ชิง
นี่คือศิษย์คนใหม่ของนางเหรอ? รูปลักษณ์ภายนอกของเขาค่อนข้างดี นิสัยเหมือนเด็กขี้อิจฉาและเอาแต่ใจเหมือนคุณหนูบ้านรวย แต่เขาก็น่าจะเหมาะที่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารอยู่บ้าง
[มองไปทางไหนน่ะครับ ลูกศิษย์ของคุณอยู่อีกทางต่างหาก] ระบบพูด
ฟางเซียนที่กำลังพิจารณามี่เยว่ชิงหยุดชะงัก ลูกศิษย์ของนางเป็นผู้ชายและเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนที่เก่งด้านการหลอมยาไม่ใช่เหรอ? ทำไมนางถึงมองผิดคนไปได้ล่ะ?
เป็นผู้ชาย เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียน และเป็นนักหลอมยา... ทันใดนั้นนางก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
[ข้อมูลเพิ่มเติม ลูกศิษย์ของคุณมีชื่อว่า ซงเลี่ยงจิน อายุ 150 ปี เป็นมนุษย์เพศชายสายเลือดแท้ เนื่องจากว่าเขามีร่างกายไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจึงทำให้เขาดูดซับพลังปราณได้น้อยและเลื่อนขั้นได้ช้ามาก อีกทั้งมันยังทำให้เขาติดอยู่ในรูปลักษณ์เหมือนคนแก่ แต่เนื่องจากว่าซงเลี่ยงจินไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตาโดยง่ายเขาจึงพยายามบำเพ็ญเพียรและฝึกฝนการเป็นนักหลอมยามาตลอดจนเขาได้กลายเป็นนักหลอมยาที่เก่งกาจที่สุดของสำนักเฉิน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้มากกว่าระดับเจ็ด รูปลักษณ์ภายนอกก็เริ่มแก่กว่าเดิม ยาที่เขาหลอมได้ก็ไม่อาจมีคุณภาพสูงกว่านี้ได้อีก ภรรยาและลูกของเขาถึงกับหนีหาย มันทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและยอมติดตามอาจารย์มารเพื่อกลายเป็นมารในที่สุด]
พอระบบเล่าประวัติของซงเลี่ยงจินจบฟางเซียนก็หันไปมองซงเลี่ยงจินด้วยสายตาตกใจ ไม่เห็นมีใครบอกนางเลยว่าลูกศิษย์ของนางจะเป็นชายชรา!
ฟางเซียนรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่จะได้กลายเป็นอาจารย์ของคนที่ดูแก่กว่า
“แม่นางต้องการซื้อหญ้าแสงจันทร์ของข้าหรือ?” มี่เยว่ชิงเอ่ยถามฟางเซียน
“หญ้าไร้ประโยชน์เช่นนั้นข้าไม่ต้องการหรอก” ฟางเซียนหัวเราะเย้ยหยันเหมือนกำลังดูถูกสมุนไพรระดับสูงที่ไม่ว่าใครก็ต้องการครอบครอง
ชาวบ้านมองฟางเซียนด้วยสายตาดูถูกและคิดว่าฟางเซียนช่างไม่รู้อะไรเสียเลยว่าหญ้าแสงจันทร์เป็นสมุนไพรระดับสูงและหายากเพราะหญ้าชนิดนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบนยอดเขาซึ่งมีสัตว์ระดับสูงอาศัยอยู่ หากไม่เก่งกาจจริงคงไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้
“แม่นาง ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าทำเป็นรู้ไปหน่อยเลย” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
“มันก็แค่หญ้า” ฟางเซียนเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง
ความจริงแล้วนางไม่ชอบสถานการณ์ในตอนนี้ของนางเอาเสียเลย แต่ในตอนนี้นางไม่ควรแสดงความรู้สึกอ่อนแอเพราะนางยังมีภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จ
“ยาเสริมพลังปราณใช่หรือไม่ที่เจ้าต้องการ?” ฟางเซียนถามซงเลี่ยงจิน
“ใช่” ซงเลี่ยงจินตอบพลางขมวดคิ้วเคร่งขรึม
ฟางเซียนนำกล่องขนาดเล็กออกมาจากยันต์เก็บของและเปิดฝาของมัน ทันใดนั้นมันก็มีแสงสีขาวนวลเปล่งประกายออกมาจากกล่องขนาดเล็กพร้อมกับมีกลิ่นหอมหวานยิ่งกว่าดอกไม้โชยไปทั่วพื้นที่
สิ่งที่กล่องขนาดเล็กนั่นบรรจุไว้ก็คือยาลูกกลอนจำนวนห้าเม็ด ทั้งหมดนั้นก็คือยาเสริมพลังปราณระดับสูง แม้จะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรก็ยังสามารถดูออกได้เลยว่ามันเป็นยาระดับสูงที่คนธรรมดาไม่อาจแตะต้อง
“นั่น...นั่นมันยาระดับสูงที่หายากมากในพิภพมนุษย์ไม่ใช่รึ!?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะมีวาสนาได้เห็นยาระดับสูงเช่นนี้!”
ยาเสริมพลังปราณของฟางเซียนสร้างเสียงฮือฮาได้อย่างดี
“เจ้า...หลอมเองงั้นหรือ? ไม่มีทาง...ยาชั้นสูงเช่นนั้น” มี่เยว่ชิงพึมพำด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ แม้แต่บิดามารดาของเขาเองก็ไม่สามารถหลอมยาระดับนี้ได้เลยด้วยซ้ำ!
“กลิ่นหอมหวานเช่นนี้หมายความว่ามันเป็นยาระดับสูงกว่าของคุณชายจากตระกูลมี่น่ะสิ” ใครบางคนกระซิบขึ้นมา
“ยาเสริมพลังของคุณชายมี่เยว่ชิงก็ไม่อาจเทียบยาของแม่นางผู้นี้ได้”
มี่เยว่ชิงตัดสินใจเดินหนีออกจากที่นั่นด้วยสีหน้าเจ็บใจ เขาไม่อยากยอมรับว่าคุณชายตระกูลมี่ที่มีพรสวรรค์ในการหลอมยามากที่สุดอย่างเขาพ่ายแพ้ให้กับคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ มันทำให้เขาอับอายอย่างมาก
“ต้องการซื้อหรือไม่?” ฟางเซียนถามซงเลี่ยงจิน ทันใดนั้นซงเลี่ยงจินก็พุ่งเข้าหานางจนฟางเซียนแอบสะดุ้งตกใจ
“ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดขายยานั่นให้ข้าเถิด!” ซงเลี่ยงจินกล่าวอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ฟางเซียนหัวเราะเสียงแห้ง เขาช่างเป็นเหยื่อที่ติดเบ็ดง่ายมาก
“งั้นเราได้หาพื้นที่ส่วนตัวเจรจากัน” ฟางเซียนกล่าวพลางเบี่ยงหน้าไปมองทางอื่น มันเป็นความรู้สึกที่น่ากระอักกระอ่วนเกินไปเมื่อถูกคนอายุมากกว่ามองด้วยสายตาเคารพนับถือ
ถึงแม้นางจะรู้ว่าสังคมของผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้ตัดสินใจที่จะให้ความเคารพใครสักคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรสามารถคงรูปลักษณ์เยาว์วัยของตนเองไว้ได้เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงระดับเจ็ด แต่ฟางเซียนก็ไม่คุ้นชินเสียที