ลู่เหลียนรู้สึกกังวลใจ เขาเฝ้าสังเกตฟางเซียนมาตลอดจึงรู้ว่าฟางเซียนไม่ได้นอนเหมือนปกติ โดยปกติแล้วฟางเซียนจะนอนตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งถึงยามซื่อ แต่ช่วงนี้เขาเห็นฟางเซียนออกมานั่งข้างนอกในเวลากลางดึกและยามเช้าตรู่ที่น่าจะเป็นเวลานอนของฟางเซียน
ดังนั้นลู่เหลียนจึงมีความคิดที่จะทำยานอนหลับและผสมในน้ำชาที่ฟางเซียนจะดื่มเพื่อให้ฟางเซียนนอนหลับได้ตามปกติ และถ้าจะให้ดีเขาควรเพิ่มยาผ่อนคลายลงไปด้วยเพราะมันจะช่วยทำให้นอนหลับฝันดีมากขึ้น
ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็เกิดฟ้าแลบขึ้นมากะทันหันทั้งที่ไร้เมฆฝน
เปรี้ยง!
ต่อมาสายฟ้าปริศนาก็ผ่าลงมากลางสวนหลังบ้านของฟางเซียน
เนื่องจากว่าสายฟ้าปริศนานั่นผ่าลงมาใกล้มากเกินไป แสงสายฟ้าและเสียงฟ้าผ่าจึงทำให้พวกฟางเซียนดวงตาฝ้าฟางและหูอื้อชั่วคราว
“มาผ่าอะไรในสวนหลังบ้านของข้ากัน” พอหายตกใจฟางเซียนก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย ขณะเดียวกันนางก็ลูบหัวปลอบลู่เหลียนเพราะดูเหมือนว่าเขาจะตกใจมากที่สุด ดูได้จากหงอนและหางที่ตั้งชันขึ้นด้วยความตกใจ
ส่วนจ้าวหลงเทียนนั้นเขาไม่เพียงตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เขายังได้มีอาการหวาดกลัวอีกด้วย ฟางเซียนคิดว่าเขากลัวสายฟ้าจนกระทั่งระบบเอ่ยขึ้นมา
[เทพสายฟ้ามาเยี่ยมครับ] ระบบรายงาน
เปรี้ยง!
สายฟ้าได้ผ่าลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้มีสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาพร้อมกับสายฟ้า สตรีผู้นั้นมีความงามดั่งเทพธิดาผู้เมตตา แต่จ้าวหลงเทียนกลับแสดงสีหน้าผวาออกมาเสียอย่างนั้น ทุกครั้งที่สายฟ้าเปล่งประกายวูบวาบเขาก็จะสะดุ้งอย่างหวาดระแวง
“เจ้าดูกลัวนะ” ฟางเซียนเอ่ยทัก พระเอกมีคนที่ทำให้รู้สึกกลัวขึ้นสมองอย่างนี้ ลู่เหลียนที่จะเป็นตัวร้ายและจะกลายเป็นศัตรูในอนาคตคงไม่จำเป็นหรอกมั้ง
“นางคือศิษย์พี่ของข้านามว่า ชูฮวา นางชอบใช้สายฟ้าฟาดข้าทุกครั้งที่เจอกัน นางน่ากลัวมาก!” จ้าวหลงเทียนกระซิบบอกนางเสียงสั่น
“ทำอะไรอยู่ศิษย์น้องเจ้า ไม่คิดจะกลับพิภพเทพกับข้ารึ?รู้หรือไม่ว่าเจ้าออกมานานเกินไปแล้วนะ” เทพสายฟ้าหรือชูฮวากล่าวเสียงเข้มจ้าวหลงเทียนยืนทำตัวไม่ถูกอยู่สักพักก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับสีหน้าสำนึกผิด
“ข้าขออภัยขอรับศิษย์พี่ชูฮวา” ท่าทางของจ้าวหลงเทียนราวกับคนที่พ่ายแพ้ราบคาบ ดูเหมือนว่าจ้าวหลงเทียนจะแพ้ทางเทพสายฟ้าอย่างสมบูรณ์ “หลายวันมานี้ข้าขออภัยที่รบกวนพวกเจ้า ข้าคงต้องขอตัวลาแล้ว”
จ้าวหลงเทียนยอมกลับพิภพเทพอย่างง่ายดาย ก่อนไปเขาก็ไม่ลืมหันกลับมาบอกลาลู่เหลียนและฟางเซียน
“หากมีโอกาสพบกันอีกข้าจะนำของไถ่โทษมาให้อีกครั้ง” จ้าวหลงเทียนยังคงไม่ยอมแพ้เรื่องนี้อยู่ดี ลู่เหลียนจึงส่งสายตาปฏิเสธไปให้อย่างชัดเจน
แต่ก่อนที่เทพทั้งสองจะจากไป ดวงตาสีฟ้าใสของเทพสายฟ้าชูฮวาก็เหลือบมองฟางเซียนและหรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นชูฮวาก็เปลี่ยนทิศทางเดินมาหาฟางเซียนและหยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากฟางเซียนเพียงครึ่งก้าว ริมฝีปากอวบอิ่มของชูฮวาขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากฟางเซียน
“เจ้าจะต้องได้เป็นอิสระจากมัน” เมื่อเอ่ยจบ ชูฮวาและจ้าวหลงเทียนก็จากไป
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจากไปได้สักพักแล้วฟางเซียนก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางยังรู้สึกประหลาดใจไม่หายกับประโยคที่ชูฮวาพูดกับนาง ประโยคนั่นมันเหมือนกับประโยคที่ปีศาจกินคนตนนั้นพูดกับนางก่อนตายไม่มีผิด
มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ฟางเซียนสับสนมึนงง ระบบห้ามฆ่าตัวตายเองก็สับสนและสงสัยไม่ต่างกัน มันคงต้องไปอัปเดตข้อมูลเสียแล้ว
[ผมขอหายตัวไปสักพักนะครับ] ระบบห้ามฆ่าตัวตายกล่าวก่อนจะเงียบหายไป ฟางเซียนยืนสงสัยต่อไปอีกสักพัก แต่เมื่อไม่ได้คำตอบฟางเซียนจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านและพอหันหลังมานางก็พบว่าลู่เหลียนกำลังยืนมองนางด้วยสายตาตัดพ้อ
“ท่านไม่อยากให้เทพมังกรจากไปงั้นหรือ?” ลู่เหลียนกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้น?” ฟางเซียนโคลงศีรษะ
หากไม่คิดเช่นนั้นแล้วทำไมถึงได้ยืนมองทางที่เทพมังกรนั่นจากไปตั้งนานด้วย
ถึงจะตั้งคำถามอย่างนั้นแต่ลู่เหลียนก็ไม่ได้พูดออกมา เขาหลบสายตาของฟางเซียนและขอตัวไปฝึกกระบี่ ฟางเซียนไม่ได้เซ้าซี้และปล่อยเขาไป
แต่ลู่เหลียนยังคงคิดเพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกไม่พอใจและโมโหและไม่สบายใจเช่นนี้ ลู่เหลียนไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่นักในตอนนี้ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เขาเข้าใจ นั่นก็คือ...
เขาไม่ชอบให้ฟางเซียนสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง
บทที่ 8.2 เส้นทางแห่งความตายย่อมมีอุปสรรค
ณ ภูเขาเฮยอั้น ในช่วงฤดูร้อนป่าบนภูเขาล้วนอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเสียงของนก เสียงของลำธาร เสียงของใบไม้ที่กระทบกัน และเสียงของสายลม ทุกเสียงล้วนเป็นเสียงของธรรมชาติ มันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้อย่างดี
แต่ภายใต้เสียงของธรรมชาติที่ขับร้องผสานกันราวกับเสียงเพลงก็ได้มีเสียงฝีเท้าของคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็คือ นักฆ่า ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาลอบสังหารคนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนภูเขาเฮยอั้น เพราะเงินตอบแทนดีมากพวกเขาจึงไม่มีทางพลาดงานนี้อย่างแน่นอน
และเมื่อพวกเขามาถึงบ้านท่ามกลางป่าธรรมชาติเพียงหลังเดียวบนภูเขาพวกเขาก็ส่งสัญญาณมือให้กันและเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบมากขึ้น พวกเขาเฝ้าสังเกตเป้าหมายก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งเป้าหมายก็คือหญิงสาวรูปโฉมงดงาม แม้จะเสียดายความงามนั่นไม่น้อยแต่พวกเขาก็ต้องทำงานให้เสร็จสิ้น
ทว่ายังไม่ทันที่เหล่านักฆ่าจะได้ลงมือ เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ราวกับเด็กสาวก็ได้ปรากฏตัวและจัดการสังหารนักฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยกระบี่เคลือบพิษ
“เจ้า!...” ยังไม่ทันที่นักฆ่าคนนั้นจะได้พูดต่อเขาก็ถูกสังหารด้วยกระบี่เคลือบพิษอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“อย่าหวังว่าจะได้แตะต้องอาจารย์ของข้า” เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
นักฆ่าสำรวจเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างระมัดระวัง บนร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นมีเพียงสีขาวบริสุทธิ์ ยกเว้นดวงตาของเขาที่มีสีแดงฉาน ซึ่งดวงตาสีแดงนั้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าขนลุกที่แม้แต่นักฆ่ามืออาชีพก็ไม่อยากเข้าใกล้ แต่เพื่อทำงานลอบสังหารให้เสร็จสิ้นพวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะกำจัดคนที่มาขวางทางของพวกเขา
แต่เหล่านักฆ่ากลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกำจัดแทน พิษร้ายได้ฆ่าพวกเขาให้ตายอย่างทรมาน ศพของพวกเขาไม่สวยงามนักเพราะถูกเปลี่ยนเป็นสีดำด้วยพิษ
มันเป็นการสังหารที่โหดเหี้ยมแตกต่างจากรูปลักษณ์ของผู้ที่สังหารอย่างยิ่ง
“หึ” ลู่เหลียนบิดยิ้มอย่างเย็นชาพลางสะบัดเลือดออกจากกระบี่ เขาเดินกลับเข้าบ้านอย่างไม่สนใจไยดีศพของนักฆ่าพวกนั้น
แต่พอเข้าไปในบ้านได้เพียงครึ่งก้าวลู่เหลียนก็ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเมื่อพบว่าฟางเซียนกำลังยืนกอดอกและมองมาที่เขาด้วยสายตาจับผิด ลู่เหลียนรีบยืนตรงและซ่อนกระบี่ไว้ข้างหลังแม้ว่ามันจะช้าเกินไปแล้วก็ตาม
“ไปทำอะไรมา” ฟางเซียนถามเสียงเรียบ
“ศิษย์เพียงแค่ออกไปสำรวจในป่าเท่านั้นขอรับ” ลู่เหลียนตอบพลางยิ้มสดใส
“จำเป็นต้องใช้กระบี่?”
“พอดีว่ามีสัตว์อสูรหลงเข้ามาใกล้บ้านขอรับ ข้าจึงจัดการไป”
ฟางเซียนหัวเราะในลำคออย่างไม่เชื่อในคำแก้ตัวของเขา หลายครั้งแล้วที่นางว่าจ้างให้นักฆ่ามาลอบสังหารตัวเอง แต่รอเท่าไหร่นักฆ่าพวกนั้นก็ไม่มาเสียที ไม่สิ พวกเขามาไม่ถึงตัวของนางต่างหากเพราะถูกลู่เหลียนสกัดกั้นไว้ทั้งหมด
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าขวาง” ฟางเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ท่านอาจารย์กล่าวถึงสิ่งใดหรือขอรับ?” ลู่เหลียนตีหน้าซื่อ ฟางเซียนพ่นหายใจและกุมขมับ
เขาไปเอานิสัยเสแสร้งแบบนี้มาจากไหนกัน?นางไม่เคยสอนด้วยซ้ำและนางก็ไม่มีนิสัยแบบนี้ด้วย ไม่มีทางที่เขาจะซึมซับมาจากนางแน่นอน
วันและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก ตั้งแต่วันที่นางรับเลี้ยงนกยูงขาวตัวนี้มันก็ครบแปดปีแล้ว ฟางเซียนยังคงจินตนาการถึงความตายของตัวเองเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คงจะเป็นความขี้เกียจที่เพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่า ทุกทุกวันเอาแต่นอนและรอค่อยให้ลู่เหลียนมาบริการหรือไม่ก็รอให้นักฆ่ามาลอบสังหาร แต่ก็อย่างที่เห็น นักฆ่ามาไม่ถึงตัวนางด้วยซ้ำ
เพราะลู่เหลียนนั่นแหละที่ทำให้นางไม่ได้ตายสมใจสักที!
พอพูดถึงลู่เหลียนแล้ว เขาเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะลักษณ์นิสัยของเขา ตั้งแต่ก่อนเขาเป็นเด็กไม่พูดมาก แสดงอารมณ์ไม่เก่ง และค่อนข้างเชื่อฟัง
แต่ตอนนี้ลู่เหลียนที่อายุเพิ่งจะสิบหกปีเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเป็นเด็กหนุ่มที่พูดมากขึ้น การแสดงออกทางอารมณ์ก็ค่อนข้างเหมือนคนเสแสร้งเพราะเขาชอบยิ้มหวานแทบตลอดเวลา ส่วนเรื่องเชื่อฟังนางไหมฟางเซียนก็ไม่มั่นใจเพราะบางครั้งเขาก็แอบทำอะไรบางอย่างลับหลังนางโดยที่นางไม่รู้ตัว แต่โดยรวมแล้วนิสัยของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปทั้งหมด เขายังมีความทะเยอทะยาน ความอดทน และความพยายามเหมือนเดิม ในอนาคตลู่เหลียนไม่มีทางเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรสายมารธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของลู่เหลียนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดยเฉพาะส่วนสูงของเขา เผลอครู่เดียวลู่เหลียนก็มีส่วนสูงเทียบเท่ากับฟางเซียนแล้วและดูท่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้น่าสนใจมากที่สุดก็คือความสวยของลู่เหลียนที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี หากลู่เหลียนไม่ถอดเสื้อออกก็คงไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นผู้ชาย
ลู่เหลียนสวยกว่าผู้หญิงธรรมดาทั่วไปมากจนบางครั้งฟางเซียนก็เผลอมองว่าลู่เหลียนเป็นเด็กผู้หญิงและบางครั้งนางก็เคลือบแคลงใจด้วยว่าเขาใช่ตัวร้ายในนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ จริงรึเปล่า เพราะในนิยายบรรยายอย่างชัดเจนว่ามารนกยูงเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีร่างกายสมชายชาตรี มันฟังดูขัดแย้งกับลู่เหลียนในตอนนี้มาก ระบบก็เลยแก้ต่างให้ลู่เหลียนว่าเขาอาจจะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเขาโตเต็มที่เขาอาจกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามตามที่บรรยายไว้ในนิยายก็ได้
ลู่เหลียนยิ้มอ่อนหวานและพูดกับฟางเซียนว่า “ท่านอาจารย์คงอยากพักผ่อนกลางวันแล้วสินะขอรับ ศิษย์ได้เตรียมที่นั่งในสวนไว้ให้แล้ว ท่านอาจารย์สามารถไปนั่งรอได้เลยขอรับและเดี๋ยวศิษย์จะไปนำขนมหวานและน้ำชามาให้ และระหว่างพักผ่อนถ้าหากท่านอาจารย์รู้สึกเมื่อยตัวก็สามารถบอกศิษย์ได้นะขอรับ ศิษย์สามารถนวดผ่อนคลายให้ท่านได้”
บริการดีและเอาใจใส่ มันดูราวกับว่าภรรยากำลังเอาใจสามี เพราะอย่างนี้ไงนางถึงลืมตัวและหลงคิดว่าลู่เหลียนเป็นผู้หญิง หรือว่าสาเหตุที่ทำให้ลักษณ์นิสัยของลู่เหลียนกลายเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่านางเผลอใช้หลักสูตรภรรยาแสนดีมาสอนเขา?
แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้นะเพราะหนังสือทุกเล่มที่นางให้เขาอ่านมันเป็นหนังสือที่นางเขียนขึ้นมาเองทั้งหมด ไม่มีทางที่ในหนังสือจะมีเนื้อหาแปลกๆ เช่นนั้นได้แน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าลู่เหลียนจะแอบฝึกฝนด้วยตัวเอง ซึ่งฟางเซียนก็ไม่รู้ว่าเขาไปแอบฝึกตอนไหนเพราะนางไม่ได้สอนลู่เหลียนตัวต่อตัวมาสักพักแล้ว
เนื่องจากว่านางขี้เกียจตื่นแต่เช้าเพื่อมาสอนลู่เหลียน นางจึงต้องคิดหาวิธีที่จะให้ลู่เหลียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเอง นางก็เลยเลือกสละเวลาว่างของนางเพื่อเขียนหนังสือขึ้นมา ซึ่งเนื้อหาในหนังสือนั้นจะเกี่ยวกับเคล็ดลับวิชาทุกอย่าง ไม่ว่าจะวิชากระบี่ วิชาต่อสู้แขนงต่างๆ และคาถาเวทอีกหลายอย่าง เพียงเท่านี้ลู่เหลียนก็จะสามารถอ่านและฝึกตามได้โดยไม่ต้องมีฟางเซียนคอยบอกอีกต่อไป
แต่กว่าหนังสือจะเสร็จสมบูรณ์ฟางเซียนก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากและหากไม่มีระบบห้ามฆ่าตัวตายคอยผลักดันและเรียบเรียงข้อมูลมาให้คัดลอกอย่างฟางเซียนคงล้มเลิกไปตั้งนานแล้ว คงต้องยกความดีความชอบให้ระบบทั้งหมด
และหลังจากสร้างตำราเรียนมากมายสำเร็จฟางเซียนก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการนอนหรือไม่ก็คิดหาวิธีตายและปล่อยให้ลู่เหลียนเรียนรู้ทุกอย่างจากตำราแทน ฟางเซียนยอมรับเลยว่าลู่เหลียนทำตัวเป็นลูกศิษย์ที่ดีมาก เขาเชื่อฟังสิ่งที่นางพูดและหมั่นฝึกฝนวิชาทุกวัน อีกทั้งยังใส่ใจดูแลอาจารย์จอมขี้เกียจอย่างนางดีมาก ฟางเซียนถึงกับนึกละอายใจที่ทำหน้าที่อาจารย์ไม่ค่อยดีนัก
เพื่อทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีฟางเซียนจึงเสนอตัวเองเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แน่นอนว่าฟางเซียนหวังให้ตัวเองตายในการต่อสู้ แต่น่าผิดหวัง ลู่เหลียนไม่สามารถสร้างบาดแผลบนตัวนางได้ ไม่แน่ใจนักว่าเขาจงใจออมมือหรือสู้นางไม่ได้จริงๆ กันแน่
อย่างไรก็ตามลู่เหลียนเก่งกว่าเมื่อก่อนมาก เขาสามารถซ่อนหางและหงอนนกยูงของตัวเองได้แล้วและสามารถใช้คาถาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลางอีกต่อไป และตอนนี้พลังปราณของลู่เหลียนอยู่ในระดับหกขั้นปลายแล้ว ถือว่าเป็นการเลื่อนระดับที่เร็วมากสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฟางเซียนมันช้ามากเพราะพลังปราณของนางเลื่อนระดับเร็วมาก รู้ตัวอีกทีนางก็มีพลังปราณมารระดับสิบแล้ว
ตอนที่รู้เรื่องระดับพลังปราณของตัวเองฟางเซียนมีอาการเหมือนคนไร้วิญญาณอยู่สามวันและหลังจากนั้นฟางเซียนก็กดดันลู่เหลียนให้ดูดซับพลังปราณทั้งวันทั้งคืน ลู่เหลียนเกือบล้มป่วยหลายครั้งเพราะกดดันตัวเองมากเกินไป แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรต่อไปเพราะเขาเชื่อว่าพลังปราณของเขาเลื่อนระดับช้าผิดปกติ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการเลื่อนระดับพลังปราณของเขาอยู่ในระดับที่ถือว่าเร็วมาก เมื่อเทียบกับคนอื่นเขาคืออัจฉริยะ
ลู่เหลียนไม่ทราบความจริงข้อนี้เพราะว่าเขาเชื่อสิ่งที่ฟางเซียนบอก ซึ่งเขาไม่ควรเชื่อฟางเซียนเลยเพราะมาตรฐานความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของฟางเซียนมันผิดปกติมากเกินไป จนกว่าเขาจะรู้ความจริงเรื่องนี้วันเวลาคงผ่านไปอีกนาน
ระหว่างที่ลู่เหลียนพยายามบำเพ็ญเพียรฟางเซียนได้มีเวลาอู้งานมากมาย แต่ระบบห้ามฆ่าตัวตายไม่มีทางยอมให้ฟางเซียนพักงานยาวถึงขนาดนั้นแน่นอน
[ภารกิจมาทักทายแล้วครับคุณฟางเซียน! ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมานั่งเบื่อในบ้านอีกต่อไปแล้ว!] ระบบพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นอันน้อยนิดของฟางเซียนให้ตื่นขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล...
“สุกพร้อมกับประทานแล้วล่ะ” ฟางเซียนพึมพำอย่างไร้สติขณะนอนตากแดด
[แดดมันไม่สามารถย่างให้คุณสุกได้หรอกนะครับ] ระบบพูดอย่างเหนื่อยใจ [หมดเวลานอนไร้สาระแล้วนะครับ มันถึงเวลาที่คุณจะต้องเดินทางไปรับลูกศิษย์อีกคนแล้วนะครับ]
“ลูกศิษย์?นายเคยบอกว่าจะให้ฉันรับศิษย์ครั้งละร้อยปีไม่ใช่เหรอ?”
[อาจารย์มารในนิยายต้นฉบับทำเช่นนั้นครับ แต่ระบบได้คำนวณแล้วว่าคุณไม่จำเป็นจะต้องทำตามทั้งหมดเพราะหน้าที่ของคุณก็คือสร้างตัวร้ายที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาสมดุลดำและขาว คุณแค่ต้องสอนวิชาต้องห้ามให้กับลูกศิษย์ต่อไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็จะถือว่าคุณทำภารกิจสำเร็จแล้ว!]
“ถ้างั้นฉันจะตายได้รึยังหากสอนวิชาให้กับลูกศิษย์สักสิบคน หรือยี่สิบคน?”
[ยังครับ มารนกยูงยังโตไม่เต็มที่เลยและเขายังต้องได้รับการสั่งสอนจากคุณอีกมาก และอีกอย่างมารทุกตนไม่ได้เก่งกาจจนสามารถรอดชีวิตไปได้จนถึงหมื่นปีข้างหน้าซึ่งเป็นเนื้อหาหลักได้เพราะงั้นคุณจะต้องอยู่ดูแลพวกเขาต่อไป] ระบบกล่าวต่อว่า [ลูกศิษย์คนต่อไปเลี้ยงไม่ยากหรอกครับเพราะเขาโตแล้ว คุณแค่ต้องให้คำแนะนำกับเขาเล็กน้อยเท่านั้น]
เนื่องจากว่าถูกระบบรบเร้าไม่หยุดฟางเซียนจึงจำใจต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวเดินทางไปรับลูกศิษย์คนใหม่
“ท่านอาจารย์จะไปไหนหรือขอรับ?” ลู่เหลียนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฟางเซียนลุกขึ้นมาเตรียมตัวจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
“ข้ายังไม่ได้บอกหรือว่าข้าจะไปรับศิษย์คนใหม่น่ะ”
ชั่วพริบตานั่นลู่เหลียนแอบชักสีหน้าไม่พอใจ “ยังไม่บอกเลยขอรับ...ข้าไม่เคยรู้เลยว่าจะมีศิษย์น้อง”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้ไปรับลูกศิษย์อีกคนเร็วขนาดนี้เหมือนกัน” ฟางเซียนพ่นหายใจอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด “จะไปด้วยกันไหม?”
ลู่เหลียนไม่ได้ตอบคำถามของฟางเซียนทันทีเพราะในใจของเขารู้สึกสับสน ทำไมหัวใจของเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้เมื่อได้รู้เพียงแค่ว่าฟางเซียนจะไปรับลูกศิษย์คนใหม่
ลูกศิษย์คนใหม่... ตำแหน่งลูกศิษย์ของฟางเซียนจะมีคนอื่นนอกจากเขาด้วยงั้นหรือ?ไม่ใช่ว่าเขาควรอยู่ในตำแหน่งนี้เพียงผู้เดียวหรอกหรือ?เพียงแค่คิดว่าจะมีคนอื่นเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตัวเองลู่เหลียนก็หงุดหงิดเกินทน
ความหงุดหงิดและความไม่พอใจทำให้ลู่เหลียนเผลอหลุดสีหน้าเย็นเยียบออกมาและแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ท่านอาจารย์...ท่านจำเป็นต้องรับคนผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ด้วยงั้นหรือ?” น้ำเสียงของลู่เหลียนค่อนข้างต่ำเมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้
“ใช่ มันจำเป็นมาก” หากไม่ทำระบบคงหาเรื่องเอาแต้มบวกมาให้นาง
บรรยากาศรอบตัวของลู่เหลียนเย็นยะเยือกมากขึ้นเมื่อเขาได้ยินคำตอบของฟางเซียน “ท่านอาจารย์ อย่ารับลูกศิษย์เพิ่มได้หรือไม่ขอรับ”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงสีหน้าชัดเจนแต่น้ำเสียงอ้อนวอนของเขามันชัดเจนมากเพราะเขาไม่อยากให้ใครอื่นเข้ามาแทรกแซงชีวิตของเขาและฟางเซียน
“ไม่ได้” ฟางเซียนปฏิเสธเสียงแข็งและไม่มีความลังเล แววตาของลู่เหลียนวูบไหว “เลิกทำตัวประหลาดได้แล้ว ถ้าอยากจะไปด้วยก็ตามมา”
“...ขอรับ” ลู่เหลียนตอบรับเสียงเบาและเดินตามฟางเซียนต้อยๆ
ฟางเซียนค่อนข้างคุ้นชินกับท่าทางเช่นนั้นของลู่เหลียนเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่ว่านางจะไปไหนเขาก็จะติดตามนางไปทุกที่ราวกับลูกเป็ดตามแม่เป็ด เขาไม่คำนึงสักนิดว่าตัวเองเป็นนกยูง
[กลิ่นฉุนมากครับ ลู่เหลียนคงกินน้ำส้มสายชูไหใหญ่มาก] ระบบได้ส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมา
“น้ำส้มสายชู?ฉันไม่ได้กลิ่นเลยนะ จมูกนายมีปัญหา?” ฟางเซียนขมวดคิ้ว
[คุณควรกลับไปเรียนรู้สำนวนจีนใหม่นะ] ระบบเอ่ยแนะนำ
“แค่สำนวนไทยฉันก็รู้สึกว่ามันรกสมองแล้ว อย่าหวังว่าฉันจะไปจำสำนวนจีนให้มันรกสมองมากกว่าเดิม” ฟางเซียนเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่สนใจไยดี ด้วยเหตุนี้ฟางเซียนจึงพลาดที่จะทราบความหมายของสำนวน กินน้ำส้มสายชู ไปอย่างน่าเสียดาย
เพื่อไปรับลูกศิษย์คนใหม่ฟางเซียนจำเป็นต้องเดินทางข้ามเมืองและข้ามแคว้นหลายแห่งเนื่องจากว่าลูกศิษย์ของนางอาศัยอยู่ค่อนข้างไกลจากภูเขาเฮยอั้นมาก แต่การเดินทางไกลมันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแต่อย่างใดเพราะกระบี่สามารถใช้เป็นยานพาหนะแทนเครื่องบินได้อย่างดี
ฟางเซียนและลู่เหลียนขี่กระบี่ติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วยามจนในที่สุดก็มาถึงเมืองเฉิน แต่เมืองเฉินไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของฟางเซียนเพราะว่าลูกศิษย์คนใหม่ของนางไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ลูกศิษย์คนใหม่ของนางอาศัยอยู่บนเทือกเขาที่ห้ามไม่ให้บุคคลคนนอกเข้าใกล้ซึ่งมันก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเฉินมากนัก ด้วยเหตุนี้เองฟางเซียนจึงจำเป็นต้องแวะพักเมืองเฉินก่อน และเมื่อเข้าไปในเมืองเฉินฟางเซียนก็พบว่าเมืองเฉินเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียน!
เหล่าเซียนต่างเดินขวักไขว่ไปทั่วเมือง ไร้วี่แววปีศาจหรือมาร นั่นหมายความว่าเมืองเฉินแห่งนี้เป็นเมืองของเหล่าเซียนอย่างแท้จริง โชคดีที่ลู่เหลียนปกปิดปราณมารได้อย่างมิดชิดจึงไม่มีใครรู้ตัวว่าเขาเป็นปีศาจ ส่วนฟางเซียนก็ถือว่าตัวเองโชคร้ายที่สามารถปกปิดปราณมารได้อย่างมิดชิด กฎห้ามฆ่าตัวตายเฮงซวย!
อุตส่าห์ได้มาอยู่ท่ามกลางดงผู้บำเพ็ญเพียรสายตรงกันข้ามกับมารทั้งที แต่กลับไม่ถูกไล่ฆ่าอย่างที่คิดไว้ มันจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ
“ข้าคาดหวังว่าจะมีเซียนสักคนมองเห็นพลังที่แท้จริงของข้า” ฟางเซียนพูด
ลู่เหลียนได้ยินดังนั้นก็หันไปมองเสี้ยวใบหน้าของฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ นางต้องการมารับลูกศิษย์คนใหม่ที่นี่จริงหรือ?หรือว่านางตั้งใจจะหาทางตายของตัวเองอีกแล้ว?
ขณะนั้นกระบี่ที่ฟางเซียนสะพายหลังมาด้วยก็มีการเคลื่อนไหว ด้ามจับซึ่งเป็นหัวงูได้เลื้อยมาพันรอบคอของฟางเซียน
‘ระดับอย่างเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพวกนั้นค้นพบหรอก’ กระบี่เสอโหย่วตู๋พูดก่อนจะหัวเราะเยาะ ‘แต่หากเจ้ากลัวจริง เจ้าก็ควรตระหนักไว้เสียว่าเจ้ายังมีกระบี่สุดแข็งแกร่งอย่างข้าอยู่ข้างกาย!’
“ไม่ต้องมาปกป้องข้า” ฟางเซียนกลอกตามองบน นางไม่ได้อยากเก็บมันไว้เพื่อปกป้องตัวเองเสียหน่อย
‘ข้าไม่ได้จะปกป้องสักหน่อย!’ กระบี่เสอโหย่วตู๋ปฏิเสธเสียงร้อนรน ‘อย่าได้สำคัญตัวผิดไปล่ะ! ข้าไม่ได้พยายามเก่งขึ้นเพื่อปกป้องเจ้า! สตรีพิลึกเช่นเจ้าน่ะ...’
ก่อนที่กระบี่เสอโหย่วตู๋จะได้พล่ามยาวมากกว่านี้ลู่เหลียนก็ตวัดสายตามามองมัน ดวงตาสีแดงของลู่เหลียนคลายจะมีหลุมอันดำมืดอยู่ภายใน กระบี่เสอโหย่วตู๋หดด้ามกระบี่กลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วยความกลัว
ไม่รู้ว่าทำไมแต่หลายปีมานี้ลู่เหลียนทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในที่ลับตาของฟางเซียน ลู่เหลียนก็มักจะทำให้มันหวาดกลัวโดยการข่มขู่ว่าจะเอามันไปหลอมเป็นเศษเหล็กหรือไม่ก็ทำให้มันสลายกลายเป็นผุยผงด้วยปราณพิษจากกระบี่ชื่อเซียว หากมันไม่ต้องการกลายเป็นเช่นนั้นมันต้องอย่าทำร้ายฟางเซียนเด็ดขาด!นั่นคือสิ่งที่ลู่เหลียนได้บอกกับมันไว้
แต่ถึงมันจะไม่เคยทำร้ายฟางเซียนเลยมันก็เคยเกือบจะถูกจับไปหลอมเป็นเศษเหล็กหลายครั้งเพียงแค่ว่าฟางเซียนจับมันมากเกินไป กระบี่เสอโหย่วตู๋รู้สึกไร้คำพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมของลู่เหลียน มันแค่รู้สึกว่าโชคร้ายมากก็เท่านั้น อยากจะสู้กลับแต่ก็ไม่กล้า
ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังมากขึ้นไม่เหมือนเมื่อแปดปีก่อน แต่มันก็ยังไม่สามารถต่อกรกับลู่เหลียนได้อยู่ดี มันก็แค่สามารถยืดหดด้ามจับกระบี่รูปหัวงูได้อย่างอิสระ หรือก็คือมันสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวของมันเองได้แล้วโดยที่มันไม่จำเป็นต้องถูกฟางเซียนควบคุม แต่ถึงจะเคลื่อนไหวได้เองมันก็น่าแปลกที่กระบี่เสอโหย่วตู๋ยังไม่ได้หนีไปจากฟางเซียนทั้งที่เมื่อก่อนโวยวายแทบตายว่าอยากจะกลับไปที่สุสานอาวุธ แต่ไม่ว่าเป้าหมายของกระบี่เสอโหย่วตู๋ในตอนนี้จะเป็นปกป้องหรือสังหารฟางเซียน ลู่เหลียนก็จะไม่ยอมคลาดสายตาไปจากมันเด็ดขาด โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียน เพราะเขาเชื่อว่าหากมีโอกาสฟางเซียนจะต้องหาวิธีที่จะทำให้เซียนเหล่านั้นรู้ว่านางเป็นมารแน่นอน
แต่ฟางเซียนไม่มีทางเปิดเผยว่านางเป็นมารโดยตรงหรอก สาเหตุเป็นเพราะอะไรลู่เหลียนก็ไม่ทราบแต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่ฟางเซียนจะทำก็คือการเปิดเผยออกไปว่ากระบี่เสอโหย่วตู๋คือกระบี่ต้องสาป นั่นก็เพื่อทำให้เซียนพวกนั้นเกิดความรู้สึกสงสัยว่านางคือผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งถือว่าเป็นสายนอกรีตสำหรับพวกเซียน
เมื่อลู่เหลียนคาดเดาแผนการของฟางเซียนได้แล้วเขาก็วางแผนขัดขวางแผนการของฟางเซียนทั้งหมด เขาจะไม่ยอมให้มีอันตรายเข้าใกล้ฟางเซียนอย่างเด็ดขาด
“เพื่อตามหาลูกศิษย์คนใหม่ข้าจะอยู่ที่นี่สักพัก” ฟางเซียนให้เหตุผลก่อนจะมองหาที่พักสำหรับวันนี้และวันอื่นด้วย ซึ่งนางก็ได้เลือกพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่มีผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนพักอยู่มากที่สุดเพราะหวังจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารต่อหน้าพวกเขา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่สามารถเค้นพลังปราณของตัวเองออกมาได้ มันคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างบังคับไม่ให้นางปลดปล่อยพลังปราณออกมา ฟางเซียนรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเพราะกฎห้ามฆ่าตัวตาย
“แค่ปลดปล่อยพลังไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายเสียหน่อย กฎห้ามฆ่าตัวตายทำงานผิดพลาดแล้ว!” ฟางเซียนประท้วง
[กฎห้ามฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบกากๆ หรอกนะครับ กฎของเราแยกแยะออกว่ามันควรทำอย่างไร ในบางครั้งมันสามารถทำนายอนาคตจากสิ่งที่อยู่รอบตัวของคุณได้ด้วย] ระบบแสร้งถอนหายใจอย่างหนักใจ [เสียใจด้วยครับ]
ฟางเซียนอยากกลั้นหายใจตาย แต่ก็ทำได้แค่ในความคิดน่ะนะ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วนางก็เลยต้องเปลี่ยนแผน ฟางเซียนเตรียมชักกระบี่เพื่อออกอาละวาด แต่นางกลับไม่สามารถชักกระบี่ออกจากฟักได้และถึงแม้จะเอ่ยเรียก กระบี่เสอโหย่วตู๋ก็ยังไม่ยอมตอบสนอง
ฟางเซียนไม่ลังเลที่จะโทษว่าเป็นฝีมือของระบบห้ามฆ่าตัวตายและสบถออกมาอย่างหัวเสียว่า “ระบบเฮงซวย!”
[ครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือของผมนะครับ!] ระบบไม่ยอมรับ
แล้วใครกันล่ะที่ผนึกกระบี่เสอโหย่วตู๋!
ฟางเซียนหยุดคิดครู่หนึ่ง ในเมื่อไม่ใช่ระบบก็ต้องเป็น... ฟางเซียนหันขวับไปมองลู่เหลียนทันที ลู่เหลียนหันหน้าหลบอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวว่าเขาได้ทำให้ฟางเซียนโกรธเสียแล้ว
“ลู่เหลียน เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือไม่ว่าไม่ได้ขัดขวางข้า?” ฟางเซียนยิ้มหวานทว่าบรรยากาศรอบตัวของนางไม่หวานตามรอยยิ้มเลย ลู่เหลียนสังหรณ์ใจว่าครั้งนี้เขาอาจไม่รอดไปจากการถูกลงโทษ