คุณหนูไฮโซ

1435 คำ
บ้านกนกนาราย บ้านผู้ดีสกุลเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ห้า หากแต่เค้าโครงของความมั่งคั่งเหลือแค่บ้านหลังงามที่ข้างในกลวงโบ๋ ของล้ำค่าหรูหราถูกแปลงเป็นเงินมาจุนเจือรักษาหน้าตาทางสังคม แต่ก็ยังหลงเหลือของลอกเลียนแบบที่สั่งทำพิเศษมาประดับประดาให้บ้านดูหรูหราดังเดิม เพราะความจมไม่ลงของเจ้าของบ้าน ศยามล กนกนาราย นางแบบสาวหัวสูงขาเหวี่ยงของวงการ ลูกสาวเพียงคนเดียวบ้านต้องโมโหอีกรอบ หลังจากที่เพิ่งสงบไปได้ไม่ถึงชั่วโมงจากสนามบิน หญิงสาวเต้นเร่าอย่างขัดใจ เมื่อผู้เป็นมารดายื่นคำขาดให้เธอแต่งงานกับนายหัวเมืองใต้หลังจากที่เธอกลับมาบ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อ คำว่านายหัวเมืองใต้ในความคิดของเธอก็คงเป็นผู้ชายอ้วนล่ำตัวดำ ที่สำคัญต้องเหงื่อโทรมกายตัวเหม็นเหงื่อ “แม่จะให้แกแต่งงาน” “อะไรนะคะ” หญิงสาวถามเสียงสูง ตลอดเวลาที่เกิดมาเป็นแม่เป็นลูก เธอไม่เคยถูกใครขัดใจ แม้กระทั่งมารดาที่กำลังยื่นคำขาดกับเธอตอนนี้ “แกฟังไม่ผิดหรอก ฉันจะให้แกแต่งงานกับนายหัวเจ้าของสวนปาล์มที่ภาคใต้” คนเป็นแม่พยายามบอกอย่างใจเย็น ศยามลจ้องหน้ามารดาอย่างไม่พอใจ เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นสายตาของเธอแบบนี้ หากไม่พอใจใครสักคน หากแต่เห็นแววตาจริงจังของมารดา เธอก็ไม่กล้าทำตัวเยอะกว่าเดิม น้ำเสียงอ่อนลงแต่ยังยื่นคำขาด “หนูไม่แต่งเด็ดขาด นายบ้านนอกนั่นจะดูแย่แค่ไหน คุณแม่จะยอมให้หนูไปตกนรกอยู่ในสวนเมืองใต้อย่างนั้นหรือคะ คุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่” “แต่เขารวยมาก มีเงินเป็นพันๆ ล้าน ใช้เป็นชาติก็ไม่หมด” “หนูไม่สน เราก็ออกจะรวย กินใช้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด” หญิงสาวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่แกต้องแต่ง” คราวนี้มารดาย้ำหนักยื่นคำขาดเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ค่ะ” หญิงสาวหันมาจ้องตามารดาไม่ลดละ คนเป็นแม่เริ่มเกิดอารมณ์ทั้งที่นางเป็นคนใจเย็นและเป็นฝ่ายยอมทุกครั้ง “แต่ฉันทนเห็นแกเที่ยวทุกคืน มั่วผู้ชายไม่เลือกอย่างนี้ต่อไปไม่ไหว ไอ้พวกผู้ชายกุ๊ยๆ นายแบบที่แกควงอยู่ก็ไม่มีแววที่จะเลี้ยงแกให้สุขสบายได้สักคน” “ไม่เห็นจำเป็น...หนูรวย เลี้ยงพวกเขาได้” หญิงสาวตอบโดยไม่ต้องคิด สิ่งที่หลุดออกจากปากของลูกสาวทำคนเป็นแม่แทบล้มทั้งยืน นางเซหาที่พิงก่อนจะเลื่อนตัวลงนั่งบนโซฟา ควานหายาดมในกระเป๋ามาเปิดดมเรียกความรู้สึกกลับมา ความคิดของลูกสาวที่สะท้อนกลับมาก็เห็นความหายนะอยู่รำไร หากนางไม่ทำอะไรสักอย่าง ศยามลหันกลับมาถามมารดาอีกครั้งหลังจากที่นางเงียบไป “แม่ไม่มีอะไรอีกใช่มั้ย หนูเดินทางมาเหนื่อยๆ อยากพักผ่อน” หญิงสาวถามมารดาแต่กลับไม่รอคำตอบ เดินลงส้นขึ้นบันไดไป ปากก็ตะโกนเรียกหาหญิงสาวอีกคนที่เอาของเจ้านายไปเก็บแล้วลงมาหายายในครัวตามความเคยชิน “พลอย นังพลอย! ตามขึ้นไปผสมน้ำอุ่นให้ฉันแช่ด้วย” “ค่ะ” พลอยขวัญขานรับจากหลังครัวที่เธอเพิ่งเดินเข้าไปช่วยยายหลังกลับมาพร้อมหญิงสาวลูกเจ้าของบ้าน เธอรีบวางมือจากงานทุกอย่างที่ค้างอยู่ แล้วรีบตามขึ้นไป ขืนให้ศยามลต้องเรียกซ้ำครั้งที่สอง ทุกคนในบ้านจะรู้ดีว่าสงครามกลางบ้านจะเกิด ทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือจะพังราบเป็นหน้ากลอง คนเป็นมารดาได้แต่มองตามอย่างทอดถอนใจ หลังจากสามีเสีย นางก็ขนของเก่ามาขายกินเกือบหมดบ้าน โดยที่ลูกสาวไม่มีโอกาสรับรู้ว่าเงินที่เธอใช้เป็นเบี้ย คนเป็นแม่อย่างนางต้องหามาอย่างไรบ้าง พลอย หรือพลอยขวัญ เพียงเกตุ หลานสาวแม่พร แม่ครัวเก่าแก่ของบ้าน หม่อมหลวงสราลี กนกนาราย ส่งเสียให้เรียนจบปริญญาตรีเพราะหวังให้เธอไปดูแลรับใช้ลูกสาว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ศยามลกดขี่และล้ำเลิกบุญคุณกับพลอยขวัญทุกครั้งที่ต้องการให้เธอทำอะไรผิดจากเดิมที่เคยทำ คฤหาสน์สมิธในเวลาเดียวกัน “อะไรนะ! แต่งงานงั้นหรือ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านชายหนุ่มก็ได้รับข่าวจากมารดา “ก็ใช่น่ะสิ...อายุแกปาเข้าไปเท่าไรแล้ว ถ้าอยากอยู่ในสวนในไร่ฉันก็ยอมแล้ว แต่ฉันทนเห็นแกเหมือนซากศพตายซากไร้หัวใจต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว” “ผมไม่แต่ง แล้วแม่ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับผม จัดการเรื่องเอกสารคุณตาเสร็จผมจะกลับใต้เลย มีงานที่ต้องจัดการเยอะแยะ ผลผลิตปาล์มกำลังออกด้วย” ชายหนุ่มบอกธุระสำคัญของตัวเอง ธุระที่สามารถพาตัวเขาขึ้นมากรุงเทพได้ ทั้งที่เขาเกลียดการกลับมากรุงเทพที่สุด “แต่แกต้องแต่ง ฉันจะจัดงานหมั้นให้ก่อน งานแต่งค่อยจัดอีกที” คนเป็นแม่ยื่นคำขาด “ผมจะกลับตรังเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มขยับตัวลุก หยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าเป้ที่เพิ่งวางลงบนโซฟาหันหลังเดินออกไป หากแต่เสียงของมารดาก็แทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าแกก้าวออกจากบ้านไปตอนนี้ อย่ามาเรียกฉันว่าแม่อีก” ชายหนุ่มหันกลับมามองมารดา “แม่จะพาผมลงไปในนรกอีกทำไม ผู้หญิงเมืองกรุงก็เหมือนกันทุกคน ไม่มีใครทนลำบากได้หรอก” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ไม่มีเหตุผลที่ต้องเอาชนะคะคานต่อไป “แกแค่เปิดใจรับอีกสักครั้ง แม่ขอร้องละ แม่ทนเห็นแกอยู่แบบไร้หัวใจอีกต่อไปไม่ได้” “แต่ผมมีความสุขดี” ชายหนุ่มค้าน “เอาเป็นว่าพักผ่อนให้สบาย รอเจอน้องเขาก่อน แม่นัดเอาไว้แล้ว ถือว่าแม่ขอก็แล้วกัน หัวหงอกแล้วอย่าให้เสียผู้ใหญ่ที่คุยกันไว้” คนเป็นแม่ต่อรอง ที่จริงใช่ว่านางอยากบังคับลูก แต่นางก็ทนเห็นลูกชายอยู่แบบไร้หัวใจไปวันๆ ไม่ได้ ห้าปีทำให้เขาคล้ายโจรป่าเข้าไปทุกที ทั้งดุดันห้าวหาญ อีกทั้งปล่อยเนื้อปล่อยตัวหนวดเครารุงรัง ถึงแม้ว่าเขาจะดูแลรูปร่างเป็นอย่างดีก็ตาม ชายหนุ่มพยักหน้าแบบขอไปที แล้วค่อยหาทางหนีทีไล่ทีหลัง ก่อนที่จะขอตัวขึ้นห้องไปพักผ่อนแต่ยังไม่ทันได้เดินถึงข้างบน ก็เจอน้องชายเดินสวนลงมาเสียก่อน “กลับมาแล้วหรือครับพี่” กริชทักพี่ชาย “เออดิ!” กรินพยักหน้าแกนๆ เดินสวนขึ้นบ้านไป ไม่สนใจสภาพแวดล้อมของบ้าน คนเป็นน้องตัดสินใจเดินตามขึ้นไปด้วย น้อยครั้งที่เขาจะมีโอกาสได้คุยกับพี่ชาย “ตอนแรกผมคิดว่าต้องลงใต้ไปตามพี่เองเสียอีก” “ทำไมต้องลงไปตาม” กรินหันมาถามน้องชายเสียงเข้ม “ก็...” คนเป็นน้องเริ่มติดอ่าง นายหัวหนุ่มยกมือชี้หน้าน้องชายคาดโทษ “นายรู้เรื่องนี้แต่ไม่ยอมบอกฉันสักคำ มันน่าตัดพี่ตัดน้องไหมละ” กริชยิ้มแหย “ขอโทษครับพี่ แม่คาดโทษผมเอาไว้เหมือนกัน” “ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” นายหัวหนุ่มสบถ “ลืมๆ บ้าง แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว” ชายหนุ่มบีบบ่าพี่ชาย “ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” “แม่ก็คงไม่ยอมเหมือนกัน” “ถ้ารู้อย่างนี้...ฉันก็ไม่มีวันขึ้นมาหรอก” “ผมขอนะครับพี่ อยู่รอน้องเขาก่อน บางทีทางโน้นอาจจะเป็นฝ่ายปฏิเสธพี่เองก็ได้” “นี่แม่สั่งให้แกมากล่อมฉันอีกทีใช่ไหม เข้ากันเป็นคณะกลองยาวเลย” เขาตำหนิติดตลก “เปล่า ผมแค่เห็นด้วยกับแม่ พี่จะอยู่แบบซังกะตายอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร” “เรื่องนั้นแกไม่ต้องยุ่งหรอก ฉันจัดการตัวเองได้ เชิญแกเป็นลูกในโอวาทของแม่คนเดียวเถอะ” กรินบอกน้องชายพร้อมกับปิดประตูห้อง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม