นายหัวกริน เทวารักษ์ สมิธ (Smith) หนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษ หนุ่มพ่อม่ายลูกติดวัย 35 นายหัวเมืองตรัง เจ้าของอาณาจักรสวนปาล์มนับหมื่นไร่ กินพื้นที่ภูเขาทั้งลูกและพื้นราบยาวทอดสุดสายตา พื้นที่อุดมสมบูรณ์มีลำธารสายเล็ก ๆ ไหลผ่านไปรวมกับลำธารสายใหญ่ที่ไหลอยู่อีกฝั่งฟากของเทือกเขา กับกิจการด้านรับซื้อผลผลิตปาล์มที่มีเกือบทุกจังหวัดทั่วภาคใต้
เขาเลือกหลีกหนีความวุ่นวายหันมาดูแลธุรกิจดั้งเดิมของผู้เป็นตา ห้าปีก่อนที่เขากลับมาดูแลสวนเมืองตรังหลังจากที่นายหัวเทวา เทวารักษ์ตาของเขาเสียชีวิตลง จากนั้นอีกหนึ่งปีก็เป็นจุดเริ่มต้นของความแตกหัก ผู้หญิงที่เขารักปานดวงใจทนความลำบากกับโลกไร้แสงสีที่เมืองใต้ต่อไม่ไหว หนีกลับเข้ากรุงเทพ ทิ้งดวงใจดวงน้อยไว้ให้เขา “สาวน้อยปะการัง” ต่อมาอีกไม่กี่เดือนเขาก็ได้ข่าวว่าเธอแต่งงานใหม่ไปกับเจ้าของผับหรูในกรุงเทพ สมใจสาวรักสนุกอย่างเธอ
นับจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยกลับเข้ากรุงเทพฯ อีกเลย ปิดตายหัวใจและการสื่อสารจากโลกภายนอกทั้งหมด ห้าปีที่เกิดขึ้นในสวนเทวารักษ์หลังจากวันนั้นเปลี่ยนผู้ชายสุภาพอบอุ่น เป็นนายหัวเมืองใต้อย่างเต็มตัว เหี้ยมเพราะต้องดูแลลูกน้องหลายร้อย โหดเพราะต้องปกครองคนทั้งสวน ดุดันให้น่าเกรงขาม บ้างานให้ลืมเรื่องราวปวดร้าวในอดีต
และ...ห้าปีที่ทำให้เขาสามารถขยายอาณาจักรของผู้เป็นตาที่มีเพียงพันกว่าไร่ให้เพิ่มเป็นห้าพันไร่ได้อย่างภาคภูมิ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเหยียบย่างเมืองกรุง หากงานนี้ไม่โดนบังคับจากมารดาถึงขั้นตัดแม่ตัดลูก อีกทั้งเรื่องเอกสารสำคัญที่เขาต้องมาจัดการด้วยตัวเองทำให้เขาจำเป็นต้องกลับขึ้นมา หากครั้งนี้เขาไม่กลับ เรื่องราวที่ค้างสะสมก็คงไม่จบสักที มารดาก็คงต้องรื้อเรื่องเก่ามาต่อว่าเขาอยู่ร่ำไป
สนามบินดอนเมือง
ประตูกระจกเลื่อนเปิดอัตโนมัติ เมื่อมีผู้ก้าวผ่านตำแหน่งเซนเซอร์ ชายหนุ่มร่างสูงผมยาวกรุยท้ายทอย ไรหนวดบนใบหน้าหนาเข้มจนเกือบมองไม่เห็นใบหน้าหล่อที่ซ่อนไว้ข้างในของคนเป็นเจ้าของ เสื้อแจ็คเก็ตที่ติดตัวมาถูกถอดออกและใช้มือเหวี่ยงมันพาดกับหัวไหล่กับเป้ใบย่อม มือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นพร้อมกับเจ้าของก้มลงดูเวลาท่าทางเร่งรีบ ทำให้เขาไม่ทันเห็นหญิงที่เดินสวนทางเข้ามา
โคร้ม! กริ๊ง!
ร่างสูงชนโครมกับสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ของในมือของคนถูกชนหล่นลงพื้นกระจายไปคนละทิศคนละทาง ในขณะที่หญิงสาวที่ถูกชนซวนเซจะล้ม แต่ดีที่เธอยังสามารถทรงตัวไว้ได้ แต่กระเป๋าในมือของเธอกลับไม่ได้ทรงตัวอยู่กับเธอด้วย มันร่วงกระจายตั้งแต่โดนกระแทก
“อุ้ย!” หญิงสาวร้องอุทาน ยกสองมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ มองตามของในกระเป๋าที่ตกกระจาย
เจ้าของกระเป๋าเหวี่ยงสายตาเกรี้ยวกราดกลับมามองคนทำตก ตวาดเสียงแหลม
“เป็นอะไรอีกล่ะ...ซุ่มซ่ามตลอดนะแก” ศยามลต่อว่าคนสนิท ทันทีที่ได้ยินเสียงของหล่นลงพื้น เธอมองตามตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ยิ่งเห็นเครื่องสำอางราคาแพงของเธอหล่นกระจายเกลื่อนพื้นเธอก็ยิ่งโมโห หันกลับมาจ้องผู้ช่วยสาวอย่างเอาเรื่อง
“นี่! ของฉันเสียหายหมด แกจะมีปัญญาหามาใช้ฉันไหมห่ะนังพลอย”
“เอ่อ” พลอยขวัญทำหน้าเลิ่กลัก เธอต้องรีบเก็บของที่ตกจากมือให้เจ้านายด้วยสภาพลนลานตื่นกลัว จะเรียกว่ากวาดทุกอย่างตรงหน้าเข้ากระเป๋าก็ไม่ผิด ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก ที่สำคัญเธอต้องทำเวลาให้เร็วที่สุดก่อนที่ศยามลจะเหวี่ยงหนักกว่านี้ คงไม่สนุกหากต้องอับอายขายหน้าใครๆ กลางสนามบิน
หลังจากที่ต่อว่าคนของตัวเองเรียบร้อย ศยามลก็หันกลับไปจ้องหน้าคนต้นเหตุ
“นายเดินยังไงเนี่ย!” หญิงสาวแหวเสียงแหลม
“ผมรีบ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ เห็นหญิงสาวโดนดุเขาก็รีบก้มลงช่วยเธอเก็บของ
มือหนาของนายหัวหนุ่มกำลังจะเอื้อมไปหยิบลิปสติกที่หล่นมาใกล้เขาที่สุด แต่เสียงแหลมปรี๊ดของเจ้าของลิปติกก็ร้องแทรกขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องเอามือสกปรกของนายมาแตะต้องของราคาแพงๆ ของฉัน”
ชายหนุ่มชะงักมือเอาไว้เท่านั้น เงยมองหน้าคนต่อกว่าที่ยืนจิกว่าคนอื่นอย่างจดจำ อีกคนคงเป็นเจ้านายส่วนอีกคนก็คงไม่ต่างจากเบ๊รับใช้ ดูจากอาการของคนโดนต่อว่าแล้วอดสงสารไม่ได้ ทำให้เขาก็ไม่เชื่อคำพูดของเจ้าของเสียงแหลม หยิบของชิ้นตรงหน้าที่ตกคืนหญิงสาวอีกคนอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรกและกล่าวขอโทษคนถูกชนเบาๆ
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็รีบจนไม่ทันมอง” พลอยขวัญรีบบอกเพราะเธอเองก็ไม่ทันมองจริงๆ หากแต่การกระทำของทั้งคู่ยิ่งทำให้คนเป็นนายยิ่งหงุดหงิด กระแทกส้นเท้าดังแกร๊ก
“นี่ตกลงแกจะอ่อยผู้ชายไม่เลือกหน้าใช่ไหม ไม่เห็นสภาพหรือไง สกปรก!” ศยามลต่อว่าพลอยขวัญเสียงดังกว่าเดิม ตวัดหางตากลับมามองชายหนุ่มเหยียดๆ
หนุ่มเมืองใต้หันหน้ากลับไปมองคนพูดอีกครั้ง เริ่มโมโห เพราะไม่เคยได้สัมผัสกับคนเมืองกรุงนานหลายปี เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่อยากเข้าเมือง
“ตกลง ถ้าคุณคิดว่าการแต่งกายที่ห่อหุ้มด้วยเปลือกของพวกนี้สามารถยกค่าพวกคุณให้สูงขึ้นละก็ ขอให้เจริญไปชั่วลูกชั่วหลาน”
“แน่นอน” ศยามลตอบทันที ไม่รู้ว่าอีกคนจงใจด่าด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นเหวี่ยงกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นพาดบ่าก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป ฝ่ายถูกชนเห็นเพียงแผ่นหลังหยัดตรงและเรือนผมดำสนิทสาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วแทรกผ่านปะปนกับผู้คนมากมายภายนอกไป ผู้ชายที่รูปร่างภายนอกเหมือนสกปรก แต่กลิ่นกายของเขากลับแปลกอย่างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน กลิ่นโคโลญในแบบผู้ชายผสานกลิ่นเหงื่อ
“ไอ้บ้า ตัวเองสกปรกเองแถมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ...ยังมีหน้ามาว่าคนอื่น”
ศยามลบ่นไล่หลังอย่างหัวเสีย เธอเป็นสาวร่างสูงเพรียว ด้วยที่เธอต้องทำงานใช้รูปร่างต้องออกกำลังกายทุกวัน ทำให้หญิงสาวรูปร่างดี ทรวดทรงองค์เอวอวบอิ่มรับกับส่วนเว้าโค้ง
ต่างจากพลอยขวัญที่หน้าจืดไร้การแต่งแต้ม แต่งกายด้วยชุดของศยามลที่เธอหยิบยื่นให้บางครั้ง จะดีตรงที่เธอมีผิวขาวนวลเนียนละเอียดต่างจากลูกคนงานในบ้าน ดวงหน้ารูปไข่รับกับผมหยักศกบ๊อบยาวประบ่าเคลียลำคอระหง ดวงตาดำขลับ
“แต่งตัวก็ดีแต่มารยาทไม่ได้รับการปลูกฝัง” หนุ่มชาวสวนเมืองใต้สบถออกมาคนเดียว หลังจากที่ก้าวพ้นออกไป “ฮึ! ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าอยู่เมืองศิวิไลซ์”
พลอยขวัญเก็บของเสร็จก็ลุกขึ้น
“เอ่อ รีบไปเถอะค่ะ” พลอยขวัญบอกหญิงสาวอีกคน ก่อนที่เธอจะหัวเสียไปมากกว่านี้ ไม่ทันได้สังเกตเห็นกระเป๋าของศยามลที่เธอทำตกไว้และเก็บไปไม่หมด
คล้อยหลังหญิงสาวเพียงไม่นาน ชายหนุ่มคนเดิมก็วิ่งผ่านประตูเข้ามาอีกครั้ง หลังจากที่ล้วงกระเป๋าหาโทรศัพท์เพื่อติดต่อคนมารับแล้วไม่เจอ เขามาหยุดตรงที่เขาชนกับหญิงสาวเมื่อครู่ กวาดสายตาไล่ไปตามพื้นแต่กลับไม่พบสิ่งที่ตนคาดว่าทำตกไว้ ทั้งที่แน่ใจว่าเขาต้องทำตกไว้แน่นอน เขาเพิ่งหยิบออกจากเป้ตอนลงจากเครื่องนี่เอง เพราะอยู่ในสวนปาล์มไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือสื่อสารมากเท่าไร ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างเบื่อๆ เดินกลับออกมาจากอาคารผู้โดยสารอีกครั้ง