วันต่อมา...
หลังหลี่ซีเหมยตื่นขึ้น หญิงสาวจัดการตนเองให้เรียบร้อยแล้วรีบออกจากบ้านในตอนเช้าทันที อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ป้ายุ่งกับการดูแลเจ้านาย เพื่อป้องกันไม่ให้ป้าหลี่หงที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยหลานสาวจนเกินเหตุหาเรื่องติดตามมาเพื่อมาที่ลานขยะด้วย
พอออกมาหน้าประตูก็พบว่ามีคนเฝ้าประตูอยู่ ชายคนนี้เขาดูค่อนข้างเฉยเมยเพราะประตูด้านข้างนี้มีไว้สำหรับลูกน้องและคนรับใช้ในบ้านเข้าออกเท่านั้น คงไม่ได้มีความสำคัญอะไร
แต่หลี่ซีเหมยคนใหม่ไม่คิดอย่างนั้น แม้ชายร่างใหญ่คนนี้จะนั่งเอนหลังสบาย ๆ มือแกะเม็ดแตงโยนเข้าปากคล้ายกับคนไม่สนโลก แต่มัดกล้ามที่มีบ่งบอกว่าเป็นคนที่ออกกำลังเป็นประจำ แถมยังมีอาวุธปืนซึ่งเหน็บไว้ด้านหน้าและมือก็วนอยู่แถวนั้นไม่ได้ห่างเลย ท่าทางเหล่านี้แสดงถึงความระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ทำเพียงแค่หรี่ตาหรือเหลือบมองอย่างเกียจคร้านนั้น เป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น เขาสำรวจเอกลักษณ์ของคนได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังชอบลุกขึ้นมายึดของบางอย่างที่คนใช้หรือลูกน้องที่อาศัยในบ้านซื้อมาเพื่อเป็นค่าผ่านทางเสมอ แต่แท้จริงก็เพื่อตรวจดูว่าคนเหล่านั้นเอาอะไรเข้ามาในบ้านบ้างนั่นเอง
‘คนตระกูลนี้ฝึกสุนัขรับใช้ได้ดีทีเดียว’ หลี่ซีเหมยผู้เคยเป็นมาเฟียสาวผู้ยิ่งใหญ่ยังอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้
“น้องเหมยจะออกไปข้างนอกเรอะ ประหลาดคนเสียจริง วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือเปล่านะ” พอเห็นว่าใครเดินมา เขาอดที่จะทักไม่ได้ เนื่องจากปกติไม่เคยเห็นหลานสาวป้าแม่บ้านคนนี้ออกไปไหน
“...” หลี่ซีเหมยที่แต่งกายเหมือนเจ้าของร่างเดิม ไว้ผมหน้าม้าปิดหน้าปิดตา และทุกครั้งเวลาเดินผ่านคนอื่นก็ชอบก้มหน้าไม่สนใจว่าใครจะเข้ามาทักหรือพูดคุยด้วย ท่าทางอึมครึมของหญิงสาวทำให้ไม่กล้าเข้ามาตีสนิทด้วยแม้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นหลานสาวของหัวหน้าแม่บ้านก็ตาม
“เอา ๆ เย็นชาเสียจริง ถ้าจะไปตลาดก็ซื้อเม็ดแตงมาฝากพี่สักสองสามกำแล้วกันนะ” พูดจบชายคนนั้นก็โยนเงินให้หญิงสาวจำนวนหนึ่ง
อย่าคิดว่าเขาจะโง่เง่าถึงขนาดข่มขู่เอาของกินจากหลานสาวหัวหน้าแม่บ้าน ป้าคนนั้นแทบจะเป็นคนสนิทของเจ้านายคนหนึ่ง ใครจะกล้ายุ่งกับหลานของนางล่ะ
“แค่เม็ดแตง ?”
“แค่เม็ดแตง ที่เหลือเป็นค่าเดินทาง พี่ไม่ขาดเงินหรอกนะ เผื่อน้องเหมยสงสัย” พูดจบชายคนนั้นก็เลิกสนใจหญิงสาว เพราะมีกลุ่มลูกน้องจะผ่านทางเข้าไปในคฤหาสน์ หนำซ้ำยังถือข้าวของมาไม่น้อย
“เฮ้ย ๆ มีอะไรมาฝากพี่ชายคนนี้บ้าง ไหนเอามาดูซิ”
หลี่ซีเหมยเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าน้อย ๆ การที่ให้คนนิสัยอันธพาลแบบนั้นมาเฝ้าประตูถือเป็นการวางหมากที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่าเขาสามารถแย่งชิงของคนอื่นไปได้อย่างหน้าด้าน ๆ แต่นี่ก็เป็นการป้องกันไม่ให้คนนำของแปลก ๆ เข้ามาในคฤหาสน์ได้ ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
เธอได้ยินมาว่าเจ้านายยังค*****นในส่วนนั้นให้ทุกคนในภายหลังอีกด้วย บ่งบอกว่าเจ้านายก็รับรู้และยินยอมให้นายคนเฝ้าประตูทำเช่นนี้ คนทั้งบ้านจึงไม่ได้คัดค้านเมื่อเขาแย่งชิงของตนไป
หลี่ซีเหมยเดินออกมาเรียกรถสามล้อรับจ้าง เมื่อขึ้นมาแล้วต้องรู้สึกเสียใจเพราะกลิ่นกายของคนขับรถตีมาเข้าจมูกจนอยากจะอาเจียนออกมา หญิงสาวจึงลงรถก่อนจะถึงลานทิ้งขยะเพราะทนกลิ่นไม่ไหวจริง ๆ
เดินมาอีกไม่นานก็เห็นลานทิ้งขยะ ที่นี่มีคนเฝ้าอยู่ไม่กี่คน พวกเขาเพียงนั่งเฝ้าอยู่คนละมุม ส่วนที่เอาไว้สำหรับจ่ายเงินอยู่บริเวณโต๊ะด้านหน้าทางเข้าออก ซึ่งมีทางเดียวสำหรับลูกค้า
“หยิบตะกร้าไปได้เลย แล้วนำมาชั่งน้ำหนักคิดเงินตรงนี้ ช่วงนี้ทำไมพวกเด็ก ๆ มาหาซื้อตำราเก่าเยอะนักนะ ถึงพวกทหารแดงจะไม่เคร่งในเรื่องการเรียนรู้แล้วก็เถอะ แต่เด็กพวกนี้นี่ไม่รู้จักเคารพสหายผู้อื่นบ้างเลย”
“สหายฉันก็มาซื้อหนังสือแบบเรียนเหมือนกัน อีกอย่างไม่ว่ายุคสมัยไหนการอ่านก็ไม่หายไปง่าย ๆ” เสียงของหญิงสาวท่าทางอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านข้าง
หลี่ซีเหมยไม่ได้สนใจเธอทำเพียงเหลือบมองและหยิบตะกร้าแล้วเดินแยกมาอีกทาง เพราะบริเวณกองตำราเรียนมีเด็กวัยรุ่นและชายหนุ่มช่วงอายุสิบห้าถึงสามสิบปียืนอยู่มากเกินไป
เธอเหลือบไปเห็นพวกอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีที่เก่าพังมากมายก็รู้สึกเสียดายเหลือเกิน แต่จะซื้อไปตอนนี้จะเป็นการล่อเป้า ยังมีพวกคลั่งอุดมการณ์ทหารแดงอยู่มาก
“หนังสือนี้ฉันเป็นคนหยิบก่อน สหายจะมาแย่งไปจากมือของฉันไม่ได้ มันไม่เหมาะสมเลยอีกทั้งฉันก็เป็นผู้หญิง คุณจะให้ฉันแย่งคืนมาได้อย่างไร” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหน้า
หลี่ซีเหมยอยากจะย้อนกลับไปทางเดิมแต่พบว่ามีกลุ่มคนเดินตามหลังมาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป ทำให้มาหยุดยืนอยู่ตรงจุดที่มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกันอยู่
“ถ้าอยากได้ก็ต้องมีกำลังด้วย สหายเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่หยกงามหรือไม่ ตำรานี้เกี่ยวข้องกับ… สิ่งต้องห้ามหลายอย่างในอดีต แม้ตอนนี้ผ่อนปรนลงแล้วแต่ลำพังแค่ผมยังแย่งจากคุณมาได้อย่างง่ายดาย ถ้าคุณต้องการมันจริงก็ใช้กำลังมาแย่งไปสิ”
“คุณ!” หญิงสาวหน้าแดงด้วยความโกรธพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา เพราะเธอไม่สามารถสู้ชายหนุ่มตรงหน้าได้จริง ๆ
หลี่ซีเหมยเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไป ยื่นมือออกไปที่ตำรา ทำให้ชายหนุ่มแปลกหน้ายกมือไปด้านหลังเพื่อหลบเลี่ยง แต่แล้วเขากลับโดนขัดขาจนเกือบจะล้ม แต่มีแรงดึงคอเสื้อจากด้านหลังเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเมื่อเขากลับมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้งก็พบว่าตำราในมือหายไปเสียแล้ว
“นี่สหายคิดจะทำอะไร ? ส่งตำรานั่นมา ผมพบมันก่อน”
“อ้อ... แต่ก่อนหน้านี้คุณบอกเธอว่า ถ้ามีกำลังมากพอก็มาแย่งไปได้ ฉันมีความสามารถมากกว่าและแย่งมันมาได้แล้ว ดังนั้นตำรานี้ควรเป็นของฉันไม่ใช่เหรอ” พูดจบหญิงสาวก็เลิกคิ้วมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉย
นั่นทำให้เขามุมปากกระตุก ก่อนจะยิ้มขึ้นมาแต่ดูอย่างไรมันเหมือนแยกเขี้ยวเสียมากกว่า
“ได้ คุณเอาไป” ว่าแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็เดินเข้าไปมองหน้าหญิงสาวที่แย่งตำราจากมือเขาไปได้ใกล้ ๆ ราวต้องการจดจำเธอเอาไว้
“คุณแข็งแกร่งเกินกว่าจะเป็นผู้หญิง ถ้าไม่ติดว่า…” พูดจบสายตาของเขาก็เลื่อนลงด้านล่างอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่จะพบว่ามีตะกร้ายื่นมาบังจุดที่กำลังมองอยู่เอาไว้ เมื่อมองตามมือที่ถือตะกร้าไปก็พบใบหน้าไม่พอใจของหญิงสาวในตอนแรกกำลังมองราวกับประนามว่าเขาเป็น ‘โรคจิต’
“คงคิดว่าเป็นผู้ชายในร่างหญิงไปแล้ว คุณทำได้ยังไง ยกผู้ชายคนหนึ่งไม่ให้ล้มได้”
“แค่ทำ...” หลี่ซีเหมยไม่สนใจสนทนามาก เธอไม่ชอบผูกมิตรกับคนทั่วไป มีแต่พวกเขาต้องก้มหัวและเข้าหาก่อนมาตลอด ท่าทางเหมือนนางพญาผู้หยิ่งยโส ท่าทางของหญิงสาวดูเหมือนจะยิ่งถูกตาต้องใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามมากขึ้น
“ผมชื่อเมิ่งเต๋อ คุณล่ะสหาย มีชื่อแซ่ว่าอย่างไร”
“...” หลี่ซีเหมยไม่คิดผูกมิตรแน่นอน และคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามด้วย
“ถ้าอย่างนั้นจำชื่อผมเอาไว้ เมิ่งเต๋อ อย่าลืมเสียล่ะสาวน้อย” ดูเหมือนด้านหลังไม่ไกลยังมีคนตะโกนเรียกชายหนุ่มไว้ ทำให้เขายอมผละจากไปไม่ได้ตามตื๊อเธอต่อ
หลี่ซีเหมยพอเห็นว่าตัวปัญหาจากไปแล้ว หนำซ้ำเด็กสาวด้านข้างยังรู้จักปกป้องเธอ ดังนั้นจึงยื่นตำราออกไปเพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วยังหยิบเอากระดาษปากกาขึ้นมาเขียนชื่อที่อยู่ในความทรงจำลงไป ก่อนยื่นให้หญิงสาวด้วย
“ตำรานี้เป็นของสหาย เอาไปสิ”
“แต่นั่นคุณเป็นคนแย่งคืนมาได้ ตำรานี้ควรเป็นของคุณ ฉันไม่เอาก็ได้ จริง ๆ นะคะ” หญิงสาวพยายามยืนยันหนักแน่นว่าไม่คิดแย่งชิงจากเธอ แต่หลี่ซีเหมยยังคงวางตำราลงบนตะกร้าของหญิงสาวคนนั้นเพื่อเป็นการตัดบท
“คัดเสร็จแล้วส่งมาตามเลขที่บ้านที่แนบไปก็พอ” พูดจบก็เดินจากมาโดยไม่อธิบายสิ่งใดต่อ ทำให้หญิงคนนั้นได้แต่ยืนมึนงง แต่พอนึกถึงท่าทีราวเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยตนเอง พลันหน้าของเธอกลับร้อนฉ่าขึ้นมาทันที แต่เสียดายเพียงอย่างเดียวคือคนคนนั้นกลับเป็นผู้หญิงเสียนี่
สาวน้อยก้มลงมองหน้าอกของตนแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ‘แถมยังมีส่วนนั้นใหญ่โตกว่าเราเสียอีก ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้หญิงแท้แน่นอน’