บทที่ 3 ความสับสนของโซเฟีย

1449 คำ
ตอนนี้โซเฟียนึกว่าตนเองโดนจับไปทดลองอะไรสักอย่าง เพื่อปลูกถ่ายความทรงจำของบางคนซ้อนทับเข้ามาในสมอง หรือบางทีเธอเองอาจเป็นคนที่ถูกยัดเข้าไปในสมองของร่างนี้ก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อลืมตาขึ้นได้ สิ่งแรกที่ทำก็คือสังเกตรอบห้องและมองหาอาวุธสำหรับป้องกันตัว และมันมีสิ่งของที่สำหรับใช้เป็นอาวุธอยู่ในห้องมากมาย มากเกินไปจนนึกสงสัยว่าหากเป็นการจับตัวเธอมาทดลองจริง ทำไมพวกเขาถึงได้ประมาทขนาดนี้ “พวกมันไม่น่าจะประมาทขนาดนี้นะ หรือเพราะไม่รู้ว่าสมองที่ขโมยมาเป็นของฉัน ?” หลี่ซีเหมยยังเป็นมาเฟียสาวอัจฉริยะ เธอวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความรวดเร็ว… เสียที่ไหนกัน ร่างบางขมวดคิ้วอย่างหนักใช้นิ้วบีบคลึงหัวด้วยความรำคาญใจ “ทำไมสมองฉันถึงช้าลงแบบนี้ ปกติแล้วถ้าฉันนึกถึงค่าพาย ต้องคิดออกภายในเสี้ยววินาที หรือถ้าจะให้แม่นยำก็คือ 0.0000000012345 วินาที แต่ตอนนี้ฉันคิดออกภายใน…ภายในกี่วินาทีฉันก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่มันอะไรกัน!!” มาเฟียสาวอย่างโซเฟียไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่เข้าใจไม่ได้แบบนี้มาก่อน เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกเวียนหัวเหลือเกิน เมื่อเหลือบไปมองเห็นชามข้าวต้มพร้อมทั้งยาในถาดบนโต๊ะหัวเตียงก็พลันนึกถึงเสียงอบอุ่นของ ‘หลี่หง’ ผู้เป็นป้าที่ดังขึ้นตอนที่เด็กสาวเจ้าของร่างยังไม่ลืมตาตื่น “นี่มันอะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” หญิงสาวเวียนหัวอย่างมากจึงตัดสินใจนอนลงก่อน และใช้มือแตะหน้าผากวัดไข้ตนเองไปด้วย ก่อนจะพบว่าร่างกายนี้ร้อนผ่าวด้วยฤทธิ์ไข้ ไม่แน่ที่ความคิดช้าอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นโซเฟียก็ฝืนลุกขึ้นมากินข้าวในชามจนหมดเกลี้ยงแล้วสำรวจดูเม็ดยาที่ไม่ทันสมัยมากนัก แยกจากกลิ่นดูแล้วเป็นตัวยาแก้ปวดลดไข้ที่คนนิยมใช้ในยุค 70 และ ยุค 80 ซึ่งสอดคล้องกับความทรงจำที่ได้รับมา หลังกินยาแล้วเธอก็นั่งพิงหัวเตียงอยู่สักพัก มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องพบว่าเครื่องเรือนเป็นแบบเก่า ฟูกที่นอนก็แข็งและค่อนข้างเก่า ผ้าห่มยังถูกซักแล้วซักอีกจนสีซีดแต่ก็นุ่มและกอดอุ่นอย่างบอกไม่ถูก โซเฟียเกิดความคิดคัดค้านขึ้นมาในใจ เธอไม่เคยมีสิ่งของที่โปรดปรานเป็นพิเศษมาก่อนเลย ไม่มีรสอาหารที่ชื่นชอบเพราะกินเพื่อเป็นพลังงานให้ร่างกายเท่านั้น ไม่มีสีที่ชอบเนื่องจากรู้ดีว่าสีที่ตาเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แล้วยังไม่มีสิ่งใดที่ชื่นชอบเลยตลอดชีวิต ตอนนี้กลับรู้สึกชอบผ้าห่มผืนนี้ ราวกับมันกำลังเรียกร้อง ‘ห่มฉันสิ มุดตัวเข้ามานอน แล้วกอดฉันไว้เหมือนทุกคืนสิ’ มันทำให้โซเฟียสงสัยว่าการผสานสองสมองรวมกันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือนี่อาจจะเป็นผลข้างเคียงและมันทำให้เธอเกิดภาพหลอน และคิดไปเองใช่ไหม ? “บ้าเอ๊ย! ฉันไม่ยอมทำตามที่แกหลอกหลอนให้ทำหรอกนะ ฉันรู้ว่านี่มันเป็นเพียงภาพหลอนจากการผสมผสานความทรงจำของฉันกับยัยหนูนี่” โซเฟียโวยวายออกมา แต่ร่างนี้กลับไม่ทำตามที่เธอคิด มันกลับเลื้อยลงเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าไปอยู่ในผ้าห่มแถมยังกอดผ้าห่มส่วนหนึ่งเอาไว้อีกด้วย ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด หญิงสาวรู้สึกเหมือนหลี่หงเข้ามาในห้องและเช็ดตัวให้อีกครั้ง มีกลิ่นหอมกรุ่นของข้าวต้มเลยคิดว่านี่คงเป็นอาหารอีกมื้อหนึ่ง แต่ด้วยร่างกายที่ยังอ่อนเพลียเลยทำให้เธอก็ลืมตาตื่นขึ้นมาไม่ไหวและหลับลึกอย่างรวดเร็ว พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่านาฬิกาบอกเวลาใกล้เช้าแล้ว เมื่อเห็นข้าวต้มเย็นชืดตรงหน้าก็พานไม่อยากกินขึ้นมาดื้อ ๆ ดังนั้นเลยรอให้ถึงตอนเช้าค่อยออกไปตักข้าวต้มใหม่จากในครัวตามความทรงจำของร่างเดิม “บ้าจริง ฉันสับสนชะมัดเลย” โซเฟียลองวัดไข้ตัวเองอีกครั้งและพบว่าเธอไม่ได้มีไข้รุนแรงเหมือนครั้งก่อนแล้ว ในใจคิดว่าสมองน่าจะกลับมาใช้งานได้ปกติ แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองนอนกอดผ้าห่มเหมือนเด็กสาวในความทรงจำไม่มีผิดก็รู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา บางสิ่งบางอย่างในใจกรีดร้องว่านี่ไม่ใช่การโดนนำสมองมาทดลองบางอย่าง แต่เป็นอะไรที่วิทยาศาสตร์ในอีกร้อยสองร้อยปีข้างหน้าก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ “พระเจ้า… นี่ฉันอยู่ที่ไหน… ในร่างของใครกัน” หลี่ซีเหมยนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเข้าไปในกระจกและเห็นเพียงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวคนหนึ่ง มีผมหน้าม้าที่ยาวปรกหน้าตา เมื่อถูกเปิดออกก็เพื่อเผยให้เห็นใบหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าสวยงามจิ้มลิ้ม คนในกระจกนี่สวยมากจริง ๆ แต่สวยในแบบสาวเอเชียผสมเปอร์เซียนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามีสายเลือดทางไหนมาจากนอกด่านหรือเปล่า “หลี่ซีเหมย ชื่อจีน ๆ แบบนี้ ยุค 70 แบบนี้…” หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจพบกับปาฏิหาริย์ เหมือนที่เคยเห็นในซีรีส์หรือภาพยนตร์ไซไฟเหล่านั้น “หรือฉันมาเกิดใหม่ในเส้นเวลาใหม่ และนี่คือ…ร่างในอีกเส้นเวลาหนึ่ง เมื่อตายแล้วฉันก็มาเกิดในเส้นเวลานี้งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นในเส้นเวลาอื่น ไอออนแมนก็คงยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันใช่ไหม” พูดจบโซเฟียก็หัวเราะให้กับความคิดที่ดูจะเลอะเทอะของตัวเอง ในฐานะแฟนภาพยนตร์ของค่ายนี้ เรื่องไซไฟที่คิดออกก็มีเพียงเรื่องเอกภพเส้นเวลาอะไรนี่ แต่หากเป็นเรื่องจริงขนาดตัวเธอยังโผล่มาคนละซีกโลก ไม่แน่เส้นเวลานี้ไอออนแมนอาจไม่มีอยู่ แต่เหลือเพียงโทนี่ที่เป็นคนธรรมดาสุด ๆ เลยก็ได้ เมื่อนึกถึงความทรงจำของร่างกายนี้ ภาพต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมา เรื่องราวสมัยเด็กที่อยู่กับพ่อแม่ผู้ทำงานอยู่ในคอมมูนสำหรับชาวชนบทมาโดยตลอด ยังมีพี่ชายที่อายุมากกว่าและเป็นคนซื่อสัตย์เหมือนกับพ่อ น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปในภัยพิบัติครั้งนั้นเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็เป็นลูกสาวที่รักใคร่ของพ่อแม่ ส่วนหลี่หงฉางผู้เป็นป้าก็ไม่ได้ไร้การติดต่อกับน้องชายหรือก็คือพ่อของร่างนี้ หล่อนเทียวส่งทั้งตั๋วต่าง ๆ และเงินกลับไปให้อยู่เสมอ ทำให้ความเป็นอยู่ของบ้านหลี่ค่อนข้างดีไม่น้อย ช่วงเวลายากลำบากที่สุดคงเป็นตอนสูญเสียครอบครัวไป และใช้เวลากว่าสองปีแล้วก็ยังยอมรับไม่ได้ เจ้าของร่างใช้ชีวิตไปวัน ๆ อีกทั้งในความคิดยังเต็มไปด้วยความมืดมน สิ่งนี้ทำให้โซเฟียยกมุมปากขึ้นอย่างพึงพอใจ สมองของเด็กคนนี้มีความมืดมิดไม่ต่างจากตัวเธอนัก หญิงสาวจึงค่อนข้างพึงพอใจเมื่อรับรู้เรื่องราวของร่างนี้ทั้งหมด “หากนี่คือชีวิตใหม่และร่างใหม่ ฉันก็ขอใช้มันให้คุ้มก็แล้วกันนะ หลี่ซีเหมย” แอ๊ด ~ เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้มาเฟียสาวหันไปมอง และเห็นป้าของร่างนี้เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “อาเหมย หลานฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ยังเวียนหัวอยู่ไหม” หลี่หงฉางที่เดินเข้ามาโดยสวมชุดหัวหน้าแม่บ้านที่ดูเรียบง่าย เสื้อแขนยาวสีขาวและกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำรวบผมเรียบร้อย พร้อมกับรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าหลานสาวฟื้นแล้ว นี่เลยทำให้โซเฟียเพิ่งจะจำได้ว่าเธอทะลุมิติมาในร่างของสาวใช้ ที่แทบจะไร้ตัวตนในคฤหาสน์แห่งนี้ และบังเอิญเหลือเกิน เพราะที่นี่มีเจ้าของเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ตระกูลใหญ่คนหนึ่ง “ว่าอย่างไรจ๊ะ หลานยังรู้สึกไม่ดีอยู่งั้นหรือ” หลี่หงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม