แสงจากเทียนไขภายในห้องนอนทอแสงริบหรี่ มู่เฟยเหลียนนั่งเอนกายบนตั่งยาวริมหน้าต่าง เท้าแขนมองพระจันทร์บนผืนฟ้าอย่างเหม่อลอย
สุดท้าย... วันนี้นางก็ไม่ได้คุยเรื่องนั้นกับบิดาอยู่ดี
“พี่ใหญ่”
เสียงเล็กแหลมที่ยังไม่แตกหนุ่มดังเรียกเบาๆ จากทางด้านหลัง ครั้นมู่เฟยเหลียนหันหลังกลับไปก็เห็นมู่ชีหยางนั่งอยู่ปลายเตียง ดวงตาสีน้ำหมึกไร้เค้าความง่วง ผิดกับน้องชายอีกสองคนที่หลับสนิท มู่ชีจ้าวเอาหน้าซุกเข้าที่ท้องของมู่ชีซิว ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดู
“ไม่ง่วง?” เด็กสาวเอ่ยถาม
ผู้เป็นน้องชายพยักหน้า พอนางกวักมือก็รีบเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เท้าแขนมองผืนฟ้าร่วมกัน
“เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดกับข้าหรือไม่ ปกติเจ้าชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจมิใช่หรือ”
มู่ชีหยางย่นจมูกเมื่อถูกพี่สาวเอ่ยกระเซ้า ครั้นจะร้องโวยวาย อีกฝ่ายก็รีบเอามือมาปิดปากเขาเอาไว้
“ชู่!” นางพยักพเยิดไปทางเด็กน้อยสองคนที่นอนหลับอยู่ “ถ้าพวกเขาตื่นมาแล้วจะหลับยาก ข้าร้องเพลงกล่อมจนคอแห้งไปหมด”
คราวนี้ผู้ที่อายุน้อยกว่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ เบียดร่างอวบนุ่มนิ่มมาชิดนางแล้วกระซิบเสียงเบา “ข้ามีคำถาม”
“อือ ถามมาได้”
“ท่านจะเป็นฮองเฮาจริงหรือ”
มู่เฟยเหลียนชะงัก หันขวับมามองเด็กชายวัยสิบขวบอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”
“ข้าไปเรียนกับอาจารย์ในวังหลวง บุตรขุนนางคนอื่นต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น ทั้งยังยัดเยียดขนมให้ข้าเอากลับมาให้ท่านอีก” มู่ชีหยางเล่าไปหน้าบึ้งไป
“ขนมรึ?” เด็กสาวถามเสียงสูง พอเห็นสายตาอีกฝ่ายล่อกแล่กก็เอามือหยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นทันที “เสี่ยวหยาง หากเรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริง ไยข้าจึงไม่เห็นขนมที่เจ้าว่านั่นเลยเล่า”
“ขะ...ข้า” ผู้เป็นน้องชายเหงื่อแตกพลั่ก “ข้ากลัวว่าในขนมจะมียาพิษ ก็เลยชิมดูให้แล้ว!”
“แหม ฉลาดนักนะน้องชายข้า” มู่เฟยเหลียนดึงแก้มยุ้ยของคนโกหกอย่างมันเขี้ยว “เจ้าตะกละตะกลาม กินไม่เลือกเช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้า คนที่จะตายเพราะยาพิษย่อมไม่ใช่ข้า แต่จะเป็นเจ้าเสียมากกว่า”
“โอ๊ย!” มู่ชีหยางร้องลั่นเมื่อแก้มของเขาถูกอีกฝ่ายดึงยืดแล้วปล่อยออก ต่อมาดวงตาก็เหลือกโตเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองส่งเสียงดัง พอหันกลับไปยังเตียงนอนแล้วเห็นน้องชายสองคนพลิกตัวก็เผยสีหน้าโล่งอก
“ฟู่...”
ทายาทสกุลมู่ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พอรู้ตัวก็หันมองหน้า ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างซุกซน
“ข้าไม่อยากเป็นฮองเฮาหรอก” มู่เฟยเหลียนตอบไปตามตรง “ข้ามีความฝันอื่น ข้าอยากเดินทางไปทั่วดินแดน ท่องเที่ยวในยุทธภพ”
“ถ้าไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องเป็นสิ”
ผู้เป็นพี่สาวฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า “เสี่ยวหยาง ทุกอย่างในโลกมันไม่ง่ายดายเช่นนั้นเสมอไปหรอก”
นี่เป็นราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน หากนางปฏิเสธ ไม่เพียงแค่ตัวเองที่จะเดือดร้อน ครอบครัวและตระกูลมู่ก็จะพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ถึงแม้บิดากับมารดาจะไม่เคยพูด แต่มู่เฟยเหลียนก็ทราบดีว่าโทษของการขัดราชโองการ... ร้ายที่สุดอาจถึงโทษประหาร เบาที่สุดอาจเป็นการถอดยศศักดิ์กลายเป็นสามัญชน
ไม่ว่าจะเป็นโทษแบบใด นางก็ไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นต้นเหตุทำให้คนที่รักต้องเดือดร้อน
...ทว่าการเข้าไปอยู่ในวังหลวงอย่างไม่เต็มใจ คงไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น
มู่ชีหยางเห็นพี่สาวซึ่งมักจะมีสีหน้าร่าเริงแจ่มใสดูเซื่องซึมก็เริ่มเป็นห่วง เคลื่อนมืออวบมากุมมือของอีกฝ่ายแล้วออกแรงบีบเบาๆ
“พี่ใหญ่ ต่อให้คำทำนายนั้นจะเป็นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องแต่งกับฮ่องเต้องค์นี้นี่นา ใต้หล้านี้ออกกว้างใหญ่ ท่านอาจจะถูกลิขิตให้เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ที่ต่างแดนก็ได้ แต่ว่า... ข้าไม่อยากให้ท่านแต่งงานไปอยู่ไกลๆ เลย หากไม่มีคนปกป้องท่านจะทำอย่างไร” เขากล่าวพลางขมวดคิ้วยุ่งยาก “แต่ถ้าท่านอยู่ที่นี่ ท่านก็ต้องแต่งให้ฮ่องเต้ อายุของฮ่องเต้พอๆ กับท่านแม่... สนมคนอื่นก็อายุมากกว่าท่านทั้งนั้น พี่ใหญ่ ท่านต้องถูกรังแกแน่”
มู่เฟยเหลียนฟังแล้วหัวเราะหึๆ เอามือโยกศีรษะของคนที่พูดพล่ามยาวเหยียด “ข้าน่ะหรือจะปล่อยให้ผู้อื่นรังแก แต่ว่า... ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล”
มู่ชีหยางผงกศีรษะขึ้นสบตาพี่สาว “ท่านหมายถึงเรื่องไหน”
“เรื่องที่บอกว่าข้าอาจถูกลิขิตให้เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ต่างแดน” นางกล่าวยิ้มๆ “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็คงทำอันใดไม่ได้ ฮ่องเต้ดึงดันจะแต่งกับข้าตั้งแต่ข้าเพิ่งลืมตาดูโลก ผ่านมาหลายสิบปีแล้วยังไม่ล้มเลิกความคิด...”
“เหลียนเอ๋อร์ของข้า”
ถ้อยคำสนทนาของสองพี่น้องชะงักลงเมื่อเสียงทุ้มนุ่มนวลดังเรียกขึ้นจากด้านนอก
ร่างของจิ้งจอกตัวใหญ่เท่าหมาป่ายืนตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง แสงจากจันทราทำให้ขนสีขาวเปล่งประกายโดดเด่น สายลมพัดโชยกลิ่นหอมประหลาดเข้ามาถึงด้านในห้องนอน
ดวงตาของสองพี่น้องเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นยินดี ตะโกนเรียกอีกฝ่ายออกมาพร้อมกัน
“ท่านลุงหรงเสี่ย!”
เสียงหัวเราะไพเราะดุจระฆังแก้วขานรับ ดวงตาสีเงินสะท้อนภาพมู่เฟยเหลียนซึ่งตั้งท่ากระโดดออกมาทางหน้าต่าง ถือเป็นกิริยาที่สตรีชนชั้นสูงไม่พึงกระทำ ทว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่ มิหนำซ้ำพวงหางนุ่มฟูยังสะบัดไปมาอย่างชอบใจอีกต่างหาก
มู่เฟยเหลียนใช้วิชาตัวเบาตีลังกาทิ้งตัวลงตรงหน้าหรงเสี่ย เอ่ยถามเสียงตื่นเต้น “ท่านลุงหรงเสี่ยกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ข้าก็อยู่แถวนี้ แค่เบื่อขี้หน้ามนุษย์หน้าเหม็นแซ่มู่” ใบหูทรงสามเหลี่ยมของสัตว์ร่างใหญ่กระดิกนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
เป็นมู่ชีหยางซึ่งมาถึงได้ช้ากว่า เนื่องจากเสียเวลาเดินออกจากห้อง ผ่านประตูอยู่หลายชั้นกว่าจะมาถึงลานกว้างด้านหลังจวน
“ข้า แฮก...” มู่ชีหยางไม่ชื่นชอบการออกกำลังกายและไม่มีความสนใจเกี่ยวกับการร่ำเรียนวรยุทธ์ แค่เดินไปเดินมาก็ทำให้หอบแฮกๆ อย่างน่าสงสาร
มู่เฟยเหลียนยกมือเท้าสะเอว “ท่านลุงหรงเสี่ย ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็แซ่มู่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนอย่างไร”
“เจ้าคือเหลียนเอ๋อร์ของข้า ส่วนนี่ก็หยางเอ๋อร์ อีกสองคนในห้องคือจ้าวเอ๋อร์กับซิวเอ๋อร์ คนหน้าเหม็นแซ่มู่ในจวนอ๋องมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เด็กสาวฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา หลายปีผ่านพ้น ปีศาจจิ้งจอกซึ่งเป็นสหายกับมารดาก็ยังคงไม่เปิดใจยอมรับบิดาของนาง เช่นเดียวกับเจ้าของจวนอ๋องที่ยังคงตั้งท่าเป็นปรปักษ์กับปีศาจตนนี้ทุกครั้งที่พบหน้า
ทั้งสองเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ เจอกันทีไรมีแต่จะปะทะ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“วันนี้ท่านพ่ออยู่จวน” มู่ชีหยางซึ่งพักเหนื่อยเสร็จเรียบร้อยพูดขึ้นบ้าง
หรงเสี่ยพยักหน้าเล็กน้อย “อือ ข้ารู้”
“ปกติถ้าท่านพ่ออยู่จวน ท่านลุงมักจะไม่มามิใช่หรือ” มู่เฟยเหลียนตั้งข้อสงสัย
“มันก็... ใช่” อีกฝ่ายส่ายพวงหางไปมาในอากาศ
“ท่านลุงหรงเสี่ยของข้า” เด็กสาววัยสิบสี่ปีกอดอก เอียงคอมองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม รู้สึกว่ามีลับลมคมในชอบกล
“เจ้ายิ่งโตก็ยิ่งคล้ายแม่เจ้า” หรงเสี่ยยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ข้าเพิ่งมาถึงพร้อมกับซิงเอ๋อร์”
“ท่านแม่กลับมาแล้วหรือ!” มู่ชีหยางกระโดดกอดจิ้งจอกตัวใหญ่อย่างตื่นเต้น ฝังตัวลงบนความนุ่มฟูที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
เด็กชายซึ่งอายุเพียงสิบขวบอ้าปากหาว ดวงตาปิดลงครึ่งหนึ่ง ใกล้จะเคลิ้มหลับเต็มที
มู่เฟยเหลียนทอดมองน้องชายด้วยแววตาอ่อนโยน “ท่านลุงหรงเสี่ย ท่านช่วยพาเสี่ยวหยางกลับไปนอนที่ห้องได้หรือไม่”
หรงเสี่ยเอาปากคาบเสื้อมู่ชีหยาง ดึงร่างอวบขึ้นไปบนหลังของตนเอง “แล้วเจ้าล่ะ เหลียนเอ๋อร์”
“ข้าจะไปหาท่านพ่อกับท่านแม่”
หลายปีมานี้บุพการีทั้งสองไม่เคยเอ่ยปากพูดเกี่ยวกับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮากับนางโดยตรง มู่เฟยเหลียนคิดว่าเป็นเพราะทั้งสองเห็นนางยังเด็ก จึงไม่อยากดึงเข้ามาพัวพันกับวังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจ ให้นางได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างมีความสุข
ทว่าในทางกลับกัน พวกท่านทั้งสองก็ต้องแบกรับความกดดันจากราชสำนัก
ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับนางโดยตรง มู่เฟยเหลียนก็หวังว่าวันนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดใจพูดคุยกับพวกท่าน เพื่อให้ผลสรุปออกมาในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด
หรงเสี่ยหลุบตามองสีหน้าแน่วแน่ของเด็กสาว จากนั้นก็แลบลิ้นเลียแก้มของอีกฝ่าย
มู่เฟยเหลียนซึ่งไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังปั้นหน้าเครียดสะดุ้งเล็กน้อย พอสบตาปีศาจจิ้งจอกก็กลับมาหัวเราะ มีสีหน้ายิ้มแย้มได้อีกครั้ง
“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า”
“ขรึมๆ แบบท่านพ่อบ้างก็ไม่เลว”
หรงเสี่ยคำรามในคออย่างหงุดหงิด เลียแก้มของนางอีกหนึ่งที
“พอแล้วๆ หน้าข้าเปียกหมดแล้ว ท่านลุง” มู่เฟยเหลียนเอามือลูบหน้าที่เปียกปอนราวกับตากฝนมา พอเห็นอีกฝ่ายหัวเราะหึๆ ก็โผเข้ากอดหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังเรือนของบุพการี
ในระหว่างนั้นเด็กสาวตระเตรียมคำพูดในใจไว้มากมาย ทว่ายังไม่ทันจะเคาะประตูเพื่อแสดงการมาถึงของตนเอง เสียงหวานของผู้เป็นมารดาก็ดังออกมาถึงด้านนอก
“หลิ่งเหวิน ข้าเหอซิงจะไม่มีวันส่งลูกเข้าวังหลวงโดยที่นางไม่ยินยอม และจะไม่บังคับให้เหลียนเอ๋อร์แต่งงานกับผู้ที่นางไม่พึงใจเป็นอันขาด!”
ตั้งแต่เล็กจนโต... มู่เฟยเหลียนเพิ่งเคยเห็นมารดาโมโหขนาดนี้เป็นครั้งแรก