2.1 ความกล้ากับทางเลือก

1881 คำ
สอง ความกล้ากับทางเลือก หากเปรียบเทียบกับสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง มู่เฟยเหลียนรู้ดีว่ามารดาของนางค่อนข้างแตกต่างจากผู้อื่น ท่านลุงผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของมารดาเล่าให้ฟังว่า มารดาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมีอิสระ ท่านตาอนุญาตให้มารดาของนางเรียนตำราและเขียนอักษรจนมีความรู้เทียบเท่าบุรุษตระกูลขุนนาง ดังนั้นมารดาจึงมีความคิดเป็นของตนเองและยึดมั่นในความถูกต้อง ความจริงมู่เฟยเหลียนก็ถูกปลูกฝังความคิดและอุปนิสัยจากมารดามาหลายส่วน แตกต่างกันตรงเหอซิง มารดาของนางค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น ขณะที่นางถูกคนรอบข้างบอกว่าซุกซน หาเรื่องแกล้งแหย่ผู้อื่นเขาไปทั่ว ทว่าบัดนี้... มารดาผู้สุขุมกำลังโกรธเกรี้ยวเพราะนาง “ท่านแม่...” เด็กสาวเม้มปากด้วยความตื้นตันใจ ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูเบาหวิวจนแทบกลืนหายไปกับเสียงสายลมหวน ทว่าบุรุษกับสตรีที่อยู่ด้านในซึ่งมีโสตประสาทอันฉับไวย่อมได้ยิน “เหลียนเอ๋อร์?” เสียงทุ้มเข้มที่แฝงความประหลาดใจดังมาจากด้านใน ก่อนบานประตูจะเปิดออก เผยให้เห็นร่างอันคุ้นเคย ผู้เปิดประตูให้นางคือมู่หลิ่งเหวิน “ท่านพ่อ...” “เหลียนเอ๋อร์ ยังไม่เข้านอนอีกหรือ นี่ก็ดึกมากแล้ว” คราวนี้เป็นเสียงหวานของสตรีเอ่ยขึ้น เหอซิงเลิกม่านไข่มุกซึ่งกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องโถงเดินตรงมาหาบุตรสาวอย่างแช่มช้อย แม้วัยจะล่วงเข้าสามสิบสาม ทว่าใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ราวกับยี่สิบปลายๆ นอกจากเหอซิงจะมีตำแหน่งเป็นพระชายาแล้ว นางยังเปิดโรงหมอชื่อว่า ‘หอเมตตา’ บ่มเพาะหมอฝีมือดีไว้มากมาย นำความรู้ทางการรักษามาช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน เป็นที่รักใคร่ของราษฎร ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายเป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่ส่งเสริมให้จวนอ๋องแห่งนี้แข็งแกร่ง ทำให้ผู้คนในราชสำนักไม่กล้าแตะต้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า... จะไม่มีผู้ใดจับจ้อง รอจังหวะที่จะทำลายตระกูลผู้ทรงอิทธิพลนี้ “ท่านแม่” มู่เฟยเหลียนวิ่งเข้าไปกอดมารดา นางตัวเล็กกว่าเหอซิงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่พลาดโอกาสในการออดอ้อนออเซาะ มู่หลิ่งเหวินหรี่ตามองแผ่นหลังบุตรสาวคนโตพลางส่ายหน้า นางติดนิสัยไม่ดีมาจากเจ้าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นอีกแล้ว ด้านหมอหญิงลูบไล้ศีรษะของบุตรสาว เอ่ยเสียงหวานถามไถ่อย่างอ่อนโยน “เหลียนเอ๋อร์ เจ้ารีบร้อนมาหาพ่อกับแม่กลางดึกเช่นนี้... เป็นเจ้าไม่สบาย หรือว่าฝันร้าย” “ไม่ใช่” เด็กสาวส่ายหน้าพลางผละตัวออกจากอ้อมกอด “ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ทำให้พวกท่านทั้งสองต้องมาทะเลาะกันเพราะข้า...” เหอซิงได้ฟังเช่นนั้นก็หันไปสบตาผู้เป็นสามี ต่อให้พวกเขาไม่พูด มู่เฟยเหลียนก็ต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น “หลิ่งเหวิน” แม้ไม่เอ่ยปาก ทว่าผู้เป็นสามีซึ่งใช้ชีวิตร่วมกับภรรยามาหลายปีย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด “ข้ามั่นใจว่าบุตรสาวของเราโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้” พระชายาแห่งจวนอ๋องทอดพระเนตรมองคู่ชีวิตอย่างซาบซึ้ง จูงมือของบุตรสาวเดินไปยังตั่งไม้ใหญ่ซึ่งประดับด้วยไข่มุกสามสี มู่หลิ่งเหวินมองสตรีสองนางซึ่งเขารักมากที่สุดในชีวิต ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเมื่อนึกถึงคำเตือนของขันทีที่มาเยือนเมื่อตอนกลางวัน ความจริงเขาไม่เคยปรารถนาลาภยศสรรเสริญ ที่เขารักษาอำนาจในมือก็เพื่อปกป้องราษฎรและความสงบสุขของชายแดน หากคนในครอบครัวพูดออกมาคำเดียวให้เราสละยศและตำแหน่ง เขาก็พร้อมที่จะทำทันที แต่มู่เฟยเหลียนคงไม่ยอมรับการตัดสินใจเช่นนั้นแน่... คนจิตใจดีเช่นนางมิอาจปล่อยให้คนที่รักต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง และเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวแบกรับความรู้สึกผิดนั้นไปชั่วชีวิต “เหลียนเอ๋อร์” อดีตแม่ทัพวางมือลงบนไหล่บาง “พ่ออยากให้รู้ว่าสาเหตุที่พ่อปิดบังเจ้า ไม่ใช่เพราะต้องการส่งเจ้าเข้าวังหลวง แต่เพราะพ่ออยากให้เจ้าเติบโตอย่างไร้ความกังวล มีชีวิตวัยเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนคนทั่วไป” เด็กสาวกุมมือบิดา “เหลียนเอ๋อร์ทราบดี” เหอซิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเลือดเนื้อเชื้อไขที่ใกล้จะโตเป็นสาวเต็มตัว พร้อมเข้าพิธีปักปิ่นในปีหน้า “เหลียนเอ๋อร์ ในวันที่เจ้าเกิด ท้องฟ้าพลันบังเกิดเรื่องอัศจรรย์ รุ้งกินน้ำสองเส้นพาดผ่านผืนฟ้า เมฆาย้อมเป็นสีทองเรืองรอง ชาวบ้านเล่าลือกันว่าเห็นวิหคตัวใหญ่โผบินวนรอบเมืองสามครั้ง ดังนั้นโหรหลวงจึงทำนายว่าเจ้าเป็นสตรีที่เกิดมามีชะตานางหงส์ สวรรค์ลิขิตให้เจ้าเป็นมารดาของแผ่นดิน” ผู้เล่าเคลื่อนมือมาแนบแก้มนวลอย่างทะนุถนอม ขณะที่มู่เฟยเหลียนพยักหน้าช้าๆ นางเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากผู้อื่นมาหลายครา แม้จะไม่เคยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตาตนเองก็ตาม “หลังจากแม่ทราบคำทำนาย แม่ก็เตรียมจะพาเจ้าหนีไปจากที่นี่” คราวนี้ดวงตากวางของผู้ฟังเบิกโตอย่างตื่นตะลึง ...นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน “ตอนนั้น... พ่อเจ้าเป็นคนห้ามข้าเอาไว้ ทั้งยังสู้กับท่านลุงหรงเสี่ยของเจ้าจนบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายเพราะพ่อเจ้าให้สัญญาว่าจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจึงตัดสินใจอยู่ต่อ” “แต่ข้าก็ยังทำได้ไม่ดีพอ...” เสียงทุ้มเข้มทรงอำนาจของบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังแฝงความเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด ท่านอ๋องผู้ทะนงตนและน่าเกรงขามในสายตาผู้อื่น กลับกลายเป็นคนธรรมดาต่อหน้าฮูหยินกับบุตรสาว “ท่านทำดีที่สุดแล้วต่างหาก” เหอซิงแย้ง เด็กสาวมองบุพการีสลับกันไปมา เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่นางยังเด็ก ไม่แปลกที่นางจะยังไม่รู้ความ “ท่านแม่ ความจริงเรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่เพคะ” “ฮ่องเต้พระองค์ก่อน มีศักดิ์เป็นพระปิตุลา[1] ของพ่อเจ้า ในระหว่างที่ครองราชย์ เพราะเห็นแก่หน้าหลิ่งเหวินจึงทรงรับปากว่าจะไม่เร่งรัด หรือบังคับให้เจ้าต้องเข้าวังหลวง” มู่เฟยเหลียนสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดนางจึงมีอาจารย์พิเศษมาสอนที่จวนอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนร่วมกับองค์ชายหรือบุตรขุนนางคนอื่นเหมือนกับมู่ชีหยาง ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ที่จะกลายเป็นมารดาของแผ่นดินในอนาคตเช่นนางควรได้รับการศึกษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น มิหนำซ้ำนางยังได้รับอิสรภาพให้ติดตามบิดาไปค่ายทหารนอกเมือง หรือติดตามมารดาไปรักษาผู้คนในต่างแคว้น กระทั่งดินแดนโพ้นทะเลก็เคยไปได้อย่างง่ายดาย มารดาพูดถูก บิดาทำตามคำพูด เขาปกป้องนางอย่างดีที่สุดแล้ว “ที่แท้... ก็เป็นเพราะท่านพ่อ” เด็กสาวเอนกายพิงร่างใหญ่กำยำของบิดาซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ภาพของสองพ่อลูกที่เอนกายพิงกันอย่างอบอุ่น ส่งผลให้รอยยิ้มงดงามระบายขึ้นบนใบหน้าของผู้มอง ทว่ารอยยิ้มดังกล่าวก็จางหายไปในเวลาเพียงไม่นานเมื่อเหอซิงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต “หนึ่งปีก่อน อดีตฮ่องเต้สวรรคต องค์รัชทายาทเข้ารับตำแหน่งเป็นโอรสสวรรค์ ภายในราชสำนักเกิดความวุ่นวายหลายอย่าง แต่เพราะมีจวนอ๋องมู่แห่งนี้เป็นเสาหลักค้ำจุน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จึงสามารถครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น แต่...” เหอซิงคิดถึงใบหน้าของผู้ที่กล่าวถึงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หวงผู๋อี๋มีอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ เก่งกาจเรื่องใช้คนเป็นหมากเพื่อเดินตามแผนการของตน นอกจากจะอายุพอๆ กับแม่แล้ว สนมนางในยังมีมากกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนถึงสองเท่า ล้วนถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อคานอำนาจและเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง” มู่เฟยเหลียนได้ฟังก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อยๆ นางไม่อยากแต่งบุรุษผู้นั้นเป็นสามี “เหลียนเอ๋อร์ ต่อให้เจ้าไม่ได้เกิดมามีชะตานางหงส์ บุรุษผู้นั้นก็ปรารถนาจะเกี่ยวดองกับจวนอ๋องมู่ ดังนั้นแม่จึงไม่อยากให้เจ้าโทษตนเอง เป้าหมายของฮ่องเต้มิใช่เจ้า แต่เป็นอำนาจในมือของตระกูลมู่ซึ่งกุมอำนาจทางการทหารไว้ต่างหาก” มู่หลิ่งเหวินซึ่งวางมือลงบนบ่าบางรับรู้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของบุตรสาว ที่ผ่านมามู่เฟยเหลียนเป็นเด็กฉลาด แต่เพราะนางถูกเลี้ยงมาอย่างอิสระมากเกินไป อีกฝ่ายจึงไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็น ‘หมาก’ มาก่อน ทว่าเพื่อก้าวผ่านเรื่องนี้ บุตรสาวของเขาจำเป็นต้องเติบโต ตั้งแต่เด็ก เขาจำได้ว่าเหอซิงมีความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย นางเองก็คงปรารถนาให้มู่เฟยเหลียนเห็นความจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวให้มากขึ้น ราวกับนางกำลังเตรียมพร้อม... เพื่อเส้นทางอนาคตที่มู่เฟยเหลียนจะตัดสินใจเลือกเดิน “เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” เหอซิงทอดสายตามองเลือดเนื้อเชื้อไข “ว่าภาระที่เจ้าแบกอยู่บนบ่า ทั้งในฐานะคนของสกุลมู่และสตรีผู้มีชะตานางหงส์นั้นหนักอึ้งเพียงใด” มู่เฟยเหลียนหลุบตามองต่ำ ตำแหน่ง ‘ท่านหญิง’ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งนางเคยรู้สึกภาคภูมิใจ กลับเป็นเพียงป้ายแขวนคออันหนึ่งที่ไม่ได้พิเศษ มิสามารถนำมาฉุดดึงนางออกจากสถานการณ์ดังกล่าวได้เลย ร้ายแรงกว่านั้น คือตำแหน่งพระธิดาของจวนอ๋องมู่ กับสตรีชะตานางหงส์ที่มอบอำนาจและสิทธิพิเศษให้แก่นาง ยังกลายเป็นโซ่พันธนาการที่ล่ามนางไว้ในกรงทอง... ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ได้มาโดยเปล่า ทุกอย่างย่อมมีการแลกเปลี่ยน คำกล่าวชมสรรเสริญมีค่าเพียงน้ำลาย ทว่าคำตักเตือนสั่งสอนมีคุณค่าดุจทองพันชั่ง วันนี้มารดาของนางช่วยให้นางเรียนรู้และเติบโต มู่เฟยเหลียนสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาเหอซิง “ขอบพระคุณท่านแม่” สีหน้าของอีกฝ่ายอ่อนละมุนขึ้นอีกหลายส่วน เคลื่อนสองมือมากุมมือบุตรสาวไว้หลวมๆ “เหลียนเอ๋อร์ คราวนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะเลือกเส้นทางใด” เด็กสาวเบิกตาโต ปากอ้ากว้างอย่างแตกตื่นตกใจ “แม่กับพ่อให้กำเนิดเจ้าก็จริง แต่พวกเราจะไม่ตัดสินชะตาชีวิตของเจ้า เจ้ามีอยู่สองทางเลือก คือก้มหน้ายอมรับชะตากรรมจากห่วงโซ่ที่ผูกมัดเจ้า หรือสยายปีกหนีไปให้ไกลที่สุด” [1] พระปิตุลา หมายถึง ลุงหรืออา (พี่น้องผู้ชายฝ่ายพ่อ)
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม