สอง
ความกล้ากับทางเลือก
หากเปรียบเทียบกับสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง มู่เฟยเหลียนรู้ดีว่ามารดาของนางค่อนข้างแตกต่างจากผู้อื่น
ท่านลุงผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของมารดาเล่าให้ฟังว่า มารดาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมีอิสระ ท่านตาอนุญาตให้มารดาของนางเรียนตำราและเขียนอักษรจนมีความรู้เทียบเท่าบุรุษตระกูลขุนนาง ดังนั้นมารดาจึงมีความคิดเป็นของตนเองและยึดมั่นในความถูกต้อง
ความจริงมู่เฟยเหลียนก็ถูกปลูกฝังความคิดและอุปนิสัยจากมารดามาหลายส่วน แตกต่างกันตรงเหอซิง มารดาของนางค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น ขณะที่นางถูกคนรอบข้างบอกว่าซุกซน หาเรื่องแกล้งแหย่ผู้อื่นเขาไปทั่ว
ทว่าบัดนี้... มารดาผู้สุขุมกำลังโกรธเกรี้ยวเพราะนาง
“ท่านแม่...” เด็กสาวเม้มปากด้วยความตื้นตันใจ
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูเบาหวิวจนแทบกลืนหายไปกับเสียงสายลมหวน ทว่าบุรุษกับสตรีที่อยู่ด้านในซึ่งมีโสตประสาทอันฉับไวย่อมได้ยิน
“เหลียนเอ๋อร์?” เสียงทุ้มเข้มที่แฝงความประหลาดใจดังมาจากด้านใน ก่อนบานประตูจะเปิดออก เผยให้เห็นร่างอันคุ้นเคย
ผู้เปิดประตูให้นางคือมู่หลิ่งเหวิน
“ท่านพ่อ...”
“เหลียนเอ๋อร์ ยังไม่เข้านอนอีกหรือ นี่ก็ดึกมากแล้ว” คราวนี้เป็นเสียงหวานของสตรีเอ่ยขึ้น
เหอซิงเลิกม่านไข่มุกซึ่งกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องโถงเดินตรงมาหาบุตรสาวอย่างแช่มช้อย แม้วัยจะล่วงเข้าสามสิบสาม ทว่าใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ราวกับยี่สิบปลายๆ
นอกจากเหอซิงจะมีตำแหน่งเป็นพระชายาแล้ว นางยังเปิดโรงหมอชื่อว่า ‘หอเมตตา’ บ่มเพาะหมอฝีมือดีไว้มากมาย นำความรู้ทางการรักษามาช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน เป็นที่รักใคร่ของราษฎร ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายเป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่ส่งเสริมให้จวนอ๋องแห่งนี้แข็งแกร่ง ทำให้ผู้คนในราชสำนักไม่กล้าแตะต้อง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า... จะไม่มีผู้ใดจับจ้อง รอจังหวะที่จะทำลายตระกูลผู้ทรงอิทธิพลนี้
“ท่านแม่”
มู่เฟยเหลียนวิ่งเข้าไปกอดมารดา นางตัวเล็กกว่าเหอซิงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่พลาดโอกาสในการออดอ้อนออเซาะ
มู่หลิ่งเหวินหรี่ตามองแผ่นหลังบุตรสาวคนโตพลางส่ายหน้า นางติดนิสัยไม่ดีมาจากเจ้าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นอีกแล้ว
ด้านหมอหญิงลูบไล้ศีรษะของบุตรสาว เอ่ยเสียงหวานถามไถ่อย่างอ่อนโยน “เหลียนเอ๋อร์ เจ้ารีบร้อนมาหาพ่อกับแม่กลางดึกเช่นนี้... เป็นเจ้าไม่สบาย หรือว่าฝันร้าย”
“ไม่ใช่” เด็กสาวส่ายหน้าพลางผละตัวออกจากอ้อมกอด “ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ทำให้พวกท่านทั้งสองต้องมาทะเลาะกันเพราะข้า...”
เหอซิงได้ฟังเช่นนั้นก็หันไปสบตาผู้เป็นสามี
ต่อให้พวกเขาไม่พูด มู่เฟยเหลียนก็ต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“หลิ่งเหวิน”
แม้ไม่เอ่ยปาก ทว่าผู้เป็นสามีซึ่งใช้ชีวิตร่วมกับภรรยามาหลายปีย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด
“ข้ามั่นใจว่าบุตรสาวของเราโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้”
พระชายาแห่งจวนอ๋องทอดพระเนตรมองคู่ชีวิตอย่างซาบซึ้ง จูงมือของบุตรสาวเดินไปยังตั่งไม้ใหญ่ซึ่งประดับด้วยไข่มุกสามสี
มู่หลิ่งเหวินมองสตรีสองนางซึ่งเขารักมากที่สุดในชีวิต ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเมื่อนึกถึงคำเตือนของขันทีที่มาเยือนเมื่อตอนกลางวัน
ความจริงเขาไม่เคยปรารถนาลาภยศสรรเสริญ ที่เขารักษาอำนาจในมือก็เพื่อปกป้องราษฎรและความสงบสุขของชายแดน หากคนในครอบครัวพูดออกมาคำเดียวให้เราสละยศและตำแหน่ง เขาก็พร้อมที่จะทำทันที
แต่มู่เฟยเหลียนคงไม่ยอมรับการตัดสินใจเช่นนั้นแน่... คนจิตใจดีเช่นนางมิอาจปล่อยให้คนที่รักต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง และเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวแบกรับความรู้สึกผิดนั้นไปชั่วชีวิต
“เหลียนเอ๋อร์” อดีตแม่ทัพวางมือลงบนไหล่บาง “พ่ออยากให้รู้ว่าสาเหตุที่พ่อปิดบังเจ้า ไม่ใช่เพราะต้องการส่งเจ้าเข้าวังหลวง แต่เพราะพ่ออยากให้เจ้าเติบโตอย่างไร้ความกังวล มีชีวิตวัยเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนคนทั่วไป”
เด็กสาวกุมมือบิดา “เหลียนเอ๋อร์ทราบดี”
เหอซิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเลือดเนื้อเชื้อไขที่ใกล้จะโตเป็นสาวเต็มตัว พร้อมเข้าพิธีปักปิ่นในปีหน้า
“เหลียนเอ๋อร์ ในวันที่เจ้าเกิด ท้องฟ้าพลันบังเกิดเรื่องอัศจรรย์ รุ้งกินน้ำสองเส้นพาดผ่านผืนฟ้า เมฆาย้อมเป็นสีทองเรืองรอง ชาวบ้านเล่าลือกันว่าเห็นวิหคตัวใหญ่โผบินวนรอบเมืองสามครั้ง ดังนั้นโหรหลวงจึงทำนายว่าเจ้าเป็นสตรีที่เกิดมามีชะตานางหงส์ สวรรค์ลิขิตให้เจ้าเป็นมารดาของแผ่นดิน”
ผู้เล่าเคลื่อนมือมาแนบแก้มนวลอย่างทะนุถนอม ขณะที่มู่เฟยเหลียนพยักหน้าช้าๆ นางเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากผู้อื่นมาหลายครา แม้จะไม่เคยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตาตนเองก็ตาม
“หลังจากแม่ทราบคำทำนาย แม่ก็เตรียมจะพาเจ้าหนีไปจากที่นี่”
คราวนี้ดวงตากวางของผู้ฟังเบิกโตอย่างตื่นตะลึง
...นางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“ตอนนั้น... พ่อเจ้าเป็นคนห้ามข้าเอาไว้ ทั้งยังสู้กับท่านลุงหรงเสี่ยของเจ้าจนบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายเพราะพ่อเจ้าให้สัญญาว่าจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจึงตัดสินใจอยู่ต่อ”
“แต่ข้าก็ยังทำได้ไม่ดีพอ...” เสียงทุ้มเข้มทรงอำนาจของบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังแฝงความเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด
ท่านอ๋องผู้ทะนงตนและน่าเกรงขามในสายตาผู้อื่น กลับกลายเป็นคนธรรมดาต่อหน้าฮูหยินกับบุตรสาว
“ท่านทำดีที่สุดแล้วต่างหาก” เหอซิงแย้ง
เด็กสาวมองบุพการีสลับกันไปมา เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่นางยังเด็ก ไม่แปลกที่นางจะยังไม่รู้ความ “ท่านแม่ ความจริงเรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่เพคะ”
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อน มีศักดิ์เป็นพระปิตุลา[1] ของพ่อเจ้า ในระหว่างที่ครองราชย์ เพราะเห็นแก่หน้าหลิ่งเหวินจึงทรงรับปากว่าจะไม่เร่งรัด หรือบังคับให้เจ้าต้องเข้าวังหลวง”
มู่เฟยเหลียนสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดนางจึงมีอาจารย์พิเศษมาสอนที่จวนอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนร่วมกับองค์ชายหรือบุตรขุนนางคนอื่นเหมือนกับมู่ชีหยาง ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ที่จะกลายเป็นมารดาของแผ่นดินในอนาคตเช่นนางควรได้รับการศึกษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น
มิหนำซ้ำนางยังได้รับอิสรภาพให้ติดตามบิดาไปค่ายทหารนอกเมือง หรือติดตามมารดาไปรักษาผู้คนในต่างแคว้น กระทั่งดินแดนโพ้นทะเลก็เคยไปได้อย่างง่ายดาย
มารดาพูดถูก บิดาทำตามคำพูด เขาปกป้องนางอย่างดีที่สุดแล้ว
“ที่แท้... ก็เป็นเพราะท่านพ่อ”
เด็กสาวเอนกายพิงร่างใหญ่กำยำของบิดาซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ภาพของสองพ่อลูกที่เอนกายพิงกันอย่างอบอุ่น ส่งผลให้รอยยิ้มงดงามระบายขึ้นบนใบหน้าของผู้มอง
ทว่ารอยยิ้มดังกล่าวก็จางหายไปในเวลาเพียงไม่นานเมื่อเหอซิงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“หนึ่งปีก่อน อดีตฮ่องเต้สวรรคต องค์รัชทายาทเข้ารับตำแหน่งเป็นโอรสสวรรค์ ภายในราชสำนักเกิดความวุ่นวายหลายอย่าง แต่เพราะมีจวนอ๋องมู่แห่งนี้เป็นเสาหลักค้ำจุน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จึงสามารถครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น แต่...” เหอซิงคิดถึงใบหน้าของผู้ที่กล่าวถึงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หวงผู๋อี๋มีอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ เก่งกาจเรื่องใช้คนเป็นหมากเพื่อเดินตามแผนการของตน นอกจากจะอายุพอๆ กับแม่แล้ว สนมนางในยังมีมากกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนถึงสองเท่า ล้วนถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อคานอำนาจและเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง”
มู่เฟยเหลียนได้ฟังก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อยๆ
นางไม่อยากแต่งบุรุษผู้นั้นเป็นสามี
“เหลียนเอ๋อร์ ต่อให้เจ้าไม่ได้เกิดมามีชะตานางหงส์ บุรุษผู้นั้นก็ปรารถนาจะเกี่ยวดองกับจวนอ๋องมู่ ดังนั้นแม่จึงไม่อยากให้เจ้าโทษตนเอง เป้าหมายของฮ่องเต้มิใช่เจ้า แต่เป็นอำนาจในมือของตระกูลมู่ซึ่งกุมอำนาจทางการทหารไว้ต่างหาก”
มู่หลิ่งเหวินซึ่งวางมือลงบนบ่าบางรับรู้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของบุตรสาว
ที่ผ่านมามู่เฟยเหลียนเป็นเด็กฉลาด แต่เพราะนางถูกเลี้ยงมาอย่างอิสระมากเกินไป อีกฝ่ายจึงไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็น ‘หมาก’ มาก่อน
ทว่าเพื่อก้าวผ่านเรื่องนี้ บุตรสาวของเขาจำเป็นต้องเติบโต
ตั้งแต่เด็ก เขาจำได้ว่าเหอซิงมีความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย นางเองก็คงปรารถนาให้มู่เฟยเหลียนเห็นความจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวให้มากขึ้น
ราวกับนางกำลังเตรียมพร้อม... เพื่อเส้นทางอนาคตที่มู่เฟยเหลียนจะตัดสินใจเลือกเดิน
“เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” เหอซิงทอดสายตามองเลือดเนื้อเชื้อไข “ว่าภาระที่เจ้าแบกอยู่บนบ่า ทั้งในฐานะคนของสกุลมู่และสตรีผู้มีชะตานางหงส์นั้นหนักอึ้งเพียงใด”
มู่เฟยเหลียนหลุบตามองต่ำ ตำแหน่ง ‘ท่านหญิง’ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งนางเคยรู้สึกภาคภูมิใจ กลับเป็นเพียงป้ายแขวนคออันหนึ่งที่ไม่ได้พิเศษ มิสามารถนำมาฉุดดึงนางออกจากสถานการณ์ดังกล่าวได้เลย
ร้ายแรงกว่านั้น คือตำแหน่งพระธิดาของจวนอ๋องมู่ กับสตรีชะตานางหงส์ที่มอบอำนาจและสิทธิพิเศษให้แก่นาง ยังกลายเป็นโซ่พันธนาการที่ล่ามนางไว้ในกรงทอง...
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ได้มาโดยเปล่า ทุกอย่างย่อมมีการแลกเปลี่ยน
คำกล่าวชมสรรเสริญมีค่าเพียงน้ำลาย ทว่าคำตักเตือนสั่งสอนมีคุณค่าดุจทองพันชั่ง
วันนี้มารดาของนางช่วยให้นางเรียนรู้และเติบโต มู่เฟยเหลียนสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาเหอซิง
“ขอบพระคุณท่านแม่”
สีหน้าของอีกฝ่ายอ่อนละมุนขึ้นอีกหลายส่วน เคลื่อนสองมือมากุมมือบุตรสาวไว้หลวมๆ “เหลียนเอ๋อร์ คราวนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะเลือกเส้นทางใด”
เด็กสาวเบิกตาโต ปากอ้ากว้างอย่างแตกตื่นตกใจ
“แม่กับพ่อให้กำเนิดเจ้าก็จริง แต่พวกเราจะไม่ตัดสินชะตาชีวิตของเจ้า เจ้ามีอยู่สองทางเลือก คือก้มหน้ายอมรับชะตากรรมจากห่วงโซ่ที่ผูกมัดเจ้า หรือสยายปีกหนีไปให้ไกลที่สุด”
[1] พระปิตุลา หมายถึง ลุงหรืออา (พี่น้องผู้ชายฝ่ายพ่อ)