หนึ่ง
ชะตานางหงส์
ช่วงเวลาพลบค่ำเหล่านกกาขานเสียงร้องเรียกครอบครัวให้โผบินกลับรัง
แม้ท่านหญิงน้อยจะรักสนุกและแอบหนีออกไปเที่ยวนอกจวนอยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยสักครั้งที่นางจะพลาดเวลากินมื้อค่ำร่วมกับบิดามารดาและน้องๆ
ทว่า... บรรยากาศภายในจวนอ๋องยามนี้แปลกพิลึก
มู่เฟยเหลียนคิดพลางเชิดหน้าขึ้น จมูกทรงหยดน้ำสวยส่งเสียงฟุดฟิดเพื่อสูดหากลิ่นหอมของอาหาร
‘ไม่มีกลิ่น’
ผู้ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงลงมาเลิกคิ้วฉงนสงสัย ก่อนที่โสตประสาทอันฉับไวจะสัมผัสได้ถึงกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา
เด็กสาวในวัยซุกซนมองซ้ายแลขวา ครั้นไม่เห็นที่ซ่อนก็กระโดดขึ้นไปหมอบอยู่บนกำแพงตามเดิม
วันนี้บิดากำชับว่าไม่ให้นางออกไปข้างนอก ขืนถูกจับได้คงโดนตำหนิ ทั้งยังทำให้บิดากังวลใจอีกด้วย
“หลี่กงกง ข้าขอส่งท่านแค่นี้”
ใบหูของมู่เฟยเหลียนกระดิกเล็กน้อย เสียงนั่นย่อมเป็นของบิดาไม่ผิดเพี้ยน
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าวันนี้จะมีแขกมาเยือนที่จวนอ๋อง มิหนำซ้ำยังเป็นถึงข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้
มู่เฟยเหลียนชักสังหรณ์ใจไม่ดี ทุกครั้งที่คนจากวังหลวงเดินทางมาเยี่ยมเยียน นางก็มักถูกบิดามารดากักตัวมิให้ออกมาพบหน้าสักครั้ง
ความจริงนางรู้สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็หวังว่าสักวันหนึ่ง บิดามารดาจะมองว่านางโตพอ และพูดคุยปัญหาเรื่องนี้กับนางตรงๆ ได้เสียที
“ขอบพระทัย ท่านอ๋อง” หลี่จวงโค้งกายคารวะผู้มีศักดิ์สูงกว่าเขาอยู่หลายขั้น “น่าเสียดายนักที่วันนี้บ่าวไม่มีโอกาสได้พบหน้าท่านหญิงเพื่อส่งมอบของขวัญด้วยตนเอง”
“ก็แค่ของขวัญ ท่านไม่เห็นต้องจริงจังถึงเพียงนั้น” มู่หลิ่งเหวินกล่าวเสียงขรึม
“จริงด้วยๆ” คู่สนทนาเอ่ยพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผาก
แม้จะถูกกีดกันมากเพียงใด แต่ขันทีผู้รักตัวกลัวตายเยี่ยงเขาก็ต้องตั้งใจทำตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่
ปีนี้ท่านหญิงมู่เฟยเหลียนอายุสิบสี่ปีแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะถวายตัวเข้าวังเสียที
ด้วยบรรดาศักดิ์ ประกอบกับคำทำนายที่มีไว้ตั้งแต่แรกเกิด ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกใดๆ ก็จะมีเกี้ยวแปดคนหามมารับ ทั้งยังได้รับตำแหน่งฮองเฮา เป็นมารดาของแผ่นดิน อยู่ใต้เพียงคนผู้หนึ่งแต่อยู่เหนือคนทั้งมวล
นี่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของสตรีที่ไม่รู้ว่าต้องทำบุญสร้างบารมีมากี่ชาติถึงจะได้รับ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าไยท่านอ๋องกับพระชายาจึงยังไม่พอพระทัย เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับเรื่องการถวายตัวท่าเดียว
เรื่องนี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังรับตำแหน่งเป็นรัชทายาท จวบจนกระทั่งบัดนี้รับตำแหน่งเป็นโอรสสวรรค์ได้หนึ่งปีก็ยังไม่มีฮองเฮาข้างพระวรกาย
ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป... ย่อมกระทบต่อความมั่นคงของแว่นแคว้น
“ท่านอ๋อง มิใช่ว่าบ่าวไม่ทราบถึงความรักที่ทรงมีให้ท่านหญิง แต่ท่านหญิงมีชะตานางหงส์ อย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องเป็นฮองเฮา กลายเป็นพระมารดาของแผ่นดิน...”
“สรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน คำทำนายก็มาจากปากของมนุษย์ หาใช่เทพเซียนที่ไหน”
หลี่จวงเหงื่อแตกหนักกว่าเดิม “ท่านอ๋อง อย่าทรงทำให้ฮ่องเต้ลำบากพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจำเป็นต้องสนใจด้วยรึว่าเขาจะลำบากใจหรือไม่ลำบากใจ”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเปี่ยมด้วยบารมีอันน่าหวาดหวั่น หลี่จวงอยู่กับฮ่องเต้ทุกวัน ยังไม่รู้สึกกลัวหรืออึดอัดใจเท่าการเผชิญหน้ากับมู่หลิ่งเหวิน อดีตแม่ทัพใหญ่ซึ่งกรำศึกในสนามรบเพื่อแคว้นเยว่มานานกว่าครึ่งชีวิต
“บ่าวจะกราบทูลให้ท่านอีกแค่หนเดียวเท่านั้น แต่จะได้หรือไม่ได้ ฝ่าบาทจะเป็นผู้ตัดสินพระทัยเอง งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นงานใหญ่... ฝ่าบาททรงกำชับให้เปิดตัวท่านหญิงอย่างสมพระเกียรติ” ขันทีวัยกลางคนกล่าวพลางถอนหายใจน้อยๆ “บ่าวขอบังอาจแนะนำว่า อย่าทรงดื้อรั้นนักเลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่เฟยเหลียนซึ่งแอบฟังอยู่เงียบๆ เม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง แม้จะเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ แต่นางก็จำได้อย่างแม่นยำว่าฮ่องเต้ซึ่งอายุมากกว่านางเป็นสิบๆ ปีมองนางด้วยสายพระเนตรเช่นไร
ทรงมองนาง... เหมือนกำลังตีราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง!
บิดาของนางเกลียดขี้หน้าฮ่องเต้ผู้นั้น
มารดาของนางเองก็เกลียดขี้หน้าฮ่องเต้ผู้นั้น
ทั้งนางและท่านลุงหรงเสี่ยล้วนเกลียดขี้หน้าฮ่องเต้ผู้นั้น
มู่เฟยเหลียนเชิดหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด นัยน์ตาขุ่นมัวไม่ชอบใจอย่างยิ่ง
เพียงเพราะนางเกิดมามีชะตานางหงส์ คนรอบกายก็คิดจะจับนางขึ้นเขียง ส่งเข้าวังหลังเหมือนหมูหันจานหนึ่ง!
นางครุ่นคิดอย่างใจลอย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าบิดาได้ส่งแขกออกจากจวนไปเรียบร้อย
“เหลียนเอ๋อร์”
ผู้ถูกเรียกสะดุ้งโหยง ครั้นประสานสายตากับมู่หลิ่งเหวินผู้เป็นบิดาก็พลันหัวเราะแห้ง
“แหะๆ ท่านพ่อของข้า”
“ไยจึงไปเกาะอยู่บนกำแพง ไม่ลงมาบนพื้น” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงขรึม แม้อายุจะล่วงเลยวัยหนุ่มมานาน ทว่าอดีตแม่ทัพผู้เกรียงไกรกลับมีกลิ่นอายดุดันน่าเกรงขาม รูปร่างกำยำล่ำสันแข็งแรง ทะนงองอาจ เปี่ยมด้วยบารมีที่มิใช่ใครนึกอยากจะมีก็มีได้
มู่เฟยเหลียนภาคภูมิใจในตัวบิดาเสมอ บิดาของนางเก่งกล้าสามารถ ถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของแผ่นดิน
มิหนำซ้ำบิดาของนางยังรักเดียวใจเดียว ตลอดเวลาที่ผ่านมามีเพียงมารดา แม้จะมีสตรีมากหน้าหลายตาเสนอตัว หรือกระทั่งองค์เหนือหัวเป็นผู้พระราชทานให้ บิดาก็จะปฏิเสธอย่างหนักแน่นทุกครั้ง
เนื่องจากมีบิดามารดาเป็นแบบอย่าง นางจึงปรารถนาจะครองคู่กับบุรุษที่มีเพียงรักเดียว ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นโอรสสวรรค์ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในแว่นแคว้น นางก็จะไม่แบ่งปันของของตนเองร่วมกับผู้อื่นโดยเด็ดขาด!
สตรีในชุดแต่งกายของบุรุษกระโดดลงจากกำแพงแล้วตอบเสียงใส
“พอดีเหลียนเอ๋อร์เห็นท่านพ่อมีแขกจึงไม่อยากเข้ามารบกวน” นางก้มหน้าต่ำเพื่อซ่อนรอยยิ้มแสนทะเล้น
มู่หลิ่งเหวินรู้จักบุตรสาวมาตั้งแต่เกิด มีหรือจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายติดนิสัยนี้มาจากผู้ใด
ภรรยาของเขา เหอซิง มีสหายเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
เรื่องนี้มีเพียงเขากับคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ และด้วยความที่มู่เฟยเหลียนเป็นบุตรีคนแรก เจ้าปีศาจตนนั้นก็เหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ มันมักหาเวลาเข้ามาสุงสิงกับเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ปลูกฝังพฤติกรรมที่ไม่ดีให้แก่นาง
มู่หลิ่งเหวินรักบุตรสาว ทั้งยังเกรงใจภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงต้องยับยั้งชั่งใจไม่ใช้ดาบปราบปีศาจซึ่งเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลมาไล่ฟันพวงหางมันจนขาดวิ่น
ล่วงเลยมาหลายปี สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่จีรัง บัดนี้สังขารของเขาโรยราลงทุกวัน ผิดกับปีศาจจิ้งจอกตนนั้นที่ยังคงรูปร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าแอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกมาอีกแล้วใช่หรือไม่” บิดาหรี่ตามองชุดที่นางสวม มันใช่ชุดของสตรีเสียที่ไหน
“ลูก... มีเหตุให้ต้องไปช่วยเหลือท่านเจ้าเมือง” บุตรีตอบอ้อมแอ้ม
แม้จะเป็นการยื่นมือเข้าไปยุ่งโดยที่ท่านเจ้าเมืองไม่ได้ขอความช่วยเหลือโดยตรง ทว่าบทสรุปก็ถือว่านางได้ช่วยเหลืออีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการโกหก
ท่านลุงหรงเสี่ยเคยกล่าวไว้ ต่อให้เจตนาแรกเริ่มเดิมทีจะไม่ดี แต่ถ้าผลออกมาดีก็ถือว่าใช้ได้
“อ้อ” ท่านอ๋องเลิกพระขนง “เพิ่งรู้ว่าท่านเจ้าเมืองคนปัจจุบันจะไร้สามารถถึงเพียงนี้”
“ท่านพ่อ... มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยเพคะ”
“เจ้าไปรู้จักเจ้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อไร”
“มิตรภาพไม่เกี่ยวพันกับเรื่องของเวลา” มู่เฟยเหลียนกระแอมไอพลางปรี่เข้าไปเกาะแขนบิดาอย่างออดอ้อน “ท่านพ่อ ลูกหิวข้าว เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว เย็นนี้ท่านจะอยู่กินข้าวกับลูกและน้องๆ ใช่หรือไม่”
มู่เฟยเหลียนเพิ่งอายุสิบสี่ แม้ก่อนหน้านี้เหอซิง มารดาของนางจะมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เยาว์วัย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามารดากับบุตรจะต้องเหมือนกัน
เย็นวันนั้นพระชายาไม่ได้กลับมาเสวยมื้อค่ำที่จวนอ๋องเพราะติดงานด่วนที่โรงหมอ
มู่หลิ่งเหวินถอนหายใจยาว ยกมือลูบไล้เรือนผมนุ่มลื่นอย่างเอ็นดูรักใคร่ ทว่าแววตาที่มักจะทอดมองมาอย่างอบอุ่นกลับเต็มไปด้วยความกังวล
เขากำลังคิดถึงอนาคตของมู่เฟยเหลียน...
“อือ วันนี้พ่อจะอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
มู่เฟยเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างจนตาหยี เกาะติดบิดาไม่ยอมห่างตลอดยามร่วมโต๊ะอาหาร กระทั่งล่วงผ่านยามซวี[1] จึงได้กลับไปอาบน้ำและพาน้องๆ เข้านอน
พวกนางพี่น้องมีกันทั้งหมดสี่คน นางเป็นพี่สาวคนโต ส่วนที่เหลือเป็นชาย
น้องรอง มู่ชีหยาง อายุสิบขวบ
น้องสาม มู่ชีจ้าว อายุห้าขวบ และคนเล็กสุด มู่ชีซิว อายุสี่ขวบ
เนื่องจากนางชอบออกไปท่องเที่ยวข้างนอกกับหรงเสี่ย ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางซึ่งเป็นสหายของมารดา ไม่ก็ติดตามมารดาเดินทางไปต่างแคว้นเพื่อตระเวนช่วยเหลือรักษาผู้คน น้องชายทั้งสามคนจึงค่อนข้างสนิทสนมกันมากกว่า แต่มู่เฟยเหลียนรู้ดีว่าลึกๆ แล้วพวกเขาก็เป็นห่วงนาง บางครั้งเวลานางออกไปเที่ยวเล่นจนเลยเวลาอาหารเย็นแล้วถูกบิดาลงโทษไม่ให้กินข้าว พวกเขาก็มักจะแอบแบ่งอาหารที่เหลือมารวมๆ กันไว้ให้นางล่วงหน้า ไม่ปล่อยให้นางหิวโหย
[1] ยามซวี คือเวลาตั้งแต่ 19.00 – 20.59 น.