ใบหน้าที่ตกแต่งไว้คมเฉียบดูดีไปตามวัยอย่างคุณนายอโณทัย วัย 48 ปี มองผู้เป็นสามีที่นั่งดื่มเหล้าเป็นน้ำ สายตาจิกมองอย่างเหยียดๆ ตอนนี้เธอเริ่มขัดสนเงินในมือที่สามีให้จ่ายประจำทุกเดือนและตอนนี้นางต้องการใช้ก่อนกำหนดที่ได้รับรายจ่ายจริงๆ ของเดือนที่จะถึง
“นี่คุณ กินแล้วมันจะได้เรื่องอะไรขึ้นมา เงินน่ะเงิน ฉันต้องการเงินนะ!” เสียงหวานแหลมเอ่ยอย่างไม่พอใจ และเธอเริ่มเอือมระอากับสภาพของสามีที่เป็นแบบนี้มาร่วมเดือน
“คุณก็เพลาๆ ลดรายจ่ายลงซะบ้าง” คนที่พอยังมีสติเอ่ยขึ้นบ้าง
“ได้ไง... ฉันต้องกินต้องจ่ายต้องออกสังสรรค์ จะให้อยู่เฉยๆ นั่งหลังขดหลังแข็งอย่างคุณได้ไง แล้วไอ้นั่นคุณจะกินให้ได้อะไรขึ้นมา”
นิ้วเรียวชี้ไปที่ขวดบรั่นดีอย่างดีและตั้งคำถามที่ขัดเคืองนัยน์ตา จากที่ไม่เคยเห็นสามีหยิบจับเจ้าสิ่งนั้นเข้าปากมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาของนางไม่ใช่สิ่งที่สามีกำลังกินอยู่ตอนนี้
“ก็คุณมันเป็นเสียอย่างนี้” น้ำเสียงตัดพ้อคล้ายตำหนิเอ่ยบอกคนเป็นภรรยา
“ชิ...!” คนโดนตำหนิไหวไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมสายตาเฉียวคมตวัดมองผู้เป็นสามีและตามมาด้วยคำพูดที่ค้างคาอยู่ในใจ
“แล้วที่ไปติดต่อนายอณาธิป เขาว่าไงบ้าง เขายอมมาร่วมหุ้นกับเราหรือเปล่า”
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน เขาต้องทนแค่ไหนที่ยอมบากหน้าเข้าหาชายหนุ่มซึ่งครั้งหนึ่งเขาเองที่ได้กระทำผิดต่ออีกฝ่าย
“ฮะ จริงเหรอ” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป
“คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง
“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย” น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจอย่างหนักกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญเขาไม่เล่าสิ่งที่ชายหนุ่มรุ่นลูกยื่นข้อเสนอมาให้ใครฟัง
“คุณว่าไงนะ!” อโณทัยตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง
“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”
‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืนน้ำลายลงคอที่มีอยู่น้อยนิด แล้วเลือกกระดกแก้วเหล้าสีน้ำอำพันลงคอรวดเดียว
เขาอยากพูดใส่ภรรยาให้เข้าใจถ่องแท้ถึงฐานะทางการเงินของครอบครัวตอนนี้ แต่นั้นล่ะ คำพูดนั้นมันเหมือนสิ่งที่เขาเองไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นจริง
“ไม่ได้! คุณต้องหาวิธีอื่นสิ มันหน้าที่ของคุณ” เสียงแหลมแข็งขึ้นกลายเป็นคำสั่ง
ดิษกุลหันขวับส่งสายตาเครียดกร้าว ใบหน้าตึงเขม่ง ก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง และเอ่ยขึ้น
“คุณจะหวังอะไรจากคนอื่น ที่เราเคยหักหลังคนที่รักของเขา” น้ำเสียงเหนื่อยล้า แค่คิดว่า ทุกวันนี้ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ เขาก็ไม่เป็นอันกินอันนอนครั้นยิ่งได้รู้ว่าหนทางที่เหลือ คือยอมบากหน้าเข้าไปหาสิ่งสุดท้ายตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมธุรกิจ ซึ่งนั่นเหมือนเขากำลังออกศึกทำสงครามกับหัวใจตัวเอง เขาทำไม่ได้
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงคุณก็ต้องหาหนทางให้ได้ เพราะมันคือหน้าที่ของคุณ!” นางกระชากเสียงด้วยความเอาแต่ใจ โดยลืมแม้แต่ความละอายในสิ่งที่เคยกระทำเมื่อหลายปีก่อน
“ผมทำหน้าที่ของผู้นำของครอบครัวมาโดยตลอด แล้วคุณล่ะ ทำอะไรให้ครอบครัวบ้างหรือเปล่า” น้ำเสียงเยือกเย็นมาพร้อมอาการพิษสุราเล่นงาน ทำให้คนที่เคยเงียบนิ่งกล้าที่จะเอ่ยวาจาบาดใจเมียรัก ทำเอาคนฟังหน้าชาดิก
“คุณ... คุณจะมาถามหาหน้าที่อะไรกับอิฉันตอนนี้ หน้าที่ของฉัน คุณก็รู้มาแต่ไหนแต่ไร นึกยังไงถึงอยากจะขุดคุ้ยหน้าที่ตอนอิฉันอายุปูนนี้” อโณทัยเถียงให้ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกกับคำกล่าวของสามี
“หึ...รู้ตัวแล้วรึ ว่าตัวเองอายุปูนไหนแล้ว” สามีตอกกลับไปอีกครั้ง ทั้งที่อีกคนเหมือนจะพ่นพิษเข้าใส่เต็มที่
“คุณ กรี๊ดด...” คำตอกกลับของสามีเหมือนการตบหน้านางดีๆ นี่เอง
คนเป็นสามีได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเถียงไม่ได้ ผู้หญิงต่อให้อายุเท่าไหร่ ทำได้ก็แค่ส่งเสียงกรี๊ด... ชายสูงวัยคิดอย่างระอา
กระเป๋าล้อลากที่ลากมาจนเกือบสุดทาง แค่ผ่านห้องทำงานของคนเป็นเป็นพ่อที่เธอวิ่งเข้าออกตั้งแต่เด็กๆ ก็จะถึงที่หมายคือห้องนอน หากแต่เท้าเรียวบางต้องหยุดชะงัก โดยมีแม่บ้านคนเก่าแก่ที่เดินตามมาด้วยความปลาบปลื้ม ที่อยู่ๆ คุณหนูเจ้าของบ้านกลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็หยุดชะงักตาม
คำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากช่องประตู เหมือนไม่ได้จงใจเปิดอ้า แต่คงเป็นเพราะความรีบของคนภายใน จึงไม่ทันได้สังเกต ทำให้คำพูดทุกอย่างเล็ดลอดออกมาอย่างชัดเจน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อยๆ โดยพยายามยื่นมือผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป
“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมพริ้ม หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ตวงตาฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
ณริสาพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน
“ยัยสา/ลูกสา” สองสามีภรรยาประสานเสียงพร้อมกันอย่างแปลกใจ คนเป็นพ่อลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ประหนึ่งเก้าอี้เกิดความร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คุณพ่อ คุณแม่...” เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก ร่างบางโผเข้าหาบุคคลทั้งสอง โอบกอดร่างอวบอัดของคนเป็นแม่อย่างรักใคร่และซบอกอุ่น สูดกลิ่นกายที่เธอเคยคุ้นชินมาหลายปี ก่อนจะผละออกไปซบอกหนาของคนเป็นพ่อ น้ำตาเม็ดใสไหลริน มือเรียวรีบปาดทิ้งทันที
“ทำไมเพิ่งกลับมา พ่อให้แม่ส่งเงินไปให้ตั้งนานแล้ว” คนเป็นพ่อเอ่ยถามเสียงสั่นรัว สีหน้าเคร่งขรึมมองลูกสาวคนเดียวด้วยความแปลกใจ และดีใจในคราเดียว แต่สำหรับคนเป็นพ่ออย่างเขา ลูกมาช้าดีกว่าลูกไม่กลับมาเสียเลย แต่อีกด้าน คนเป็นแม่กลับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“....” คำถามของพ่อทำเอาณริสาคิ้วขมวดมุ่นหันมองผู้เป็นแม่ที่หลบสายตาต่ำ แค่นี้เธอก็พอเดาได้ แม่เธอไม่เลิกนิสัยเดิม...
“ลูกกลับมาแล้วก็ดีใจแล้วล่ะ... แล้วลูกกลับมากับใครหรือเปล่า”
ตาคมวาววับมองคนเป็นแม่ตาปริบๆ จะให้ตอบตอนนี้ เธอไม่ไว้ใจคนเป็นแม่นัก...