เรื่องที่ยังค้างคาเอ่ยไม่จบ คุณดิษกุลจึงเงียบไว้ แม้จะติดใจคำถามของคนเป็นภรรยาที่เอ่ยถามลูกสาวไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องจะไปจะมากับใคร เพราะมันเป็นเรื่องของหนุ่มสาว และมั่นใจว่าลูกสาวของตัวเองรักในความเป็นกุลสตรี จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวคงเป็นไปไม่ได้
ป้าพริ้มที่เดินนำคุณหนูของตนเองไปก่อนหน้านี้ รับกระเป๋าแล้วรีบกระวีกระวาดจัดเตรียมห้องนอน ด้วยใบหน้าปลื้มยินดีกับการกลับมาของคุณหนู ส่วนคนในครอบครัวก็ได้พูดคุยโอบกอดกันจนหายชื่นใจ และซักถามเรื่องราวต่างๆ ของกันและกัน โดยไม่ได้วกกลับไปยังเรื่องที่เธอเพิ่งได้ยินผ่านหูให้สะเทือนใจอีก
ทุกอย่างเหมือนจะเงียบลง ไม่มีใครเอ่ยอะไรกับเรื่องที่คุยกันจนเป็นประเด็นก่อนหน้า แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายในที่เงียบนิ่งยากที่จะหยั่งถึงในจิตใจของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จุดมุ่งหมายของแต่ละคนยากจะคาดเดา
“ตกลงลูกกลับมากับใคร” คำถามที่คนเป็นแม่ยังไม่ได้คำตอบจากลูกสาวจึงเป็นประเด็นหลัก หลังจากที่กินอาหารกลางวันเสร็จ
สิ้นคำถาม เสียงวางแก้วน้ำของคนเป็นพ่อดังขึ้น ทำให้คนสนทนาตั้งคำถามค้อนขวับไปมอง คนที่อยู่ใกล้มีอากัปกิริยาตอบรับ ทั้งป้าพริ้มและณริสา แต่คนที่เป็นมากที่สุดดูจะเป็นคนตั้งคำถาม เพราะทันทีที่หันมองก็ส่งสายตาออกไป ภายในสายตาบอกออกไปว่า หากไม่อยากรู้คุณก็ออกไปซะ!
ดิษกุลเหมือนรู้ตัวดี ขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ เก้าอี้ไม้ตัวงามถูกครูดไปกับพื้นเมื่อเจ้าของที่นั่งลุกขึ้น คนถูกถามได้แต่นั่งกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะมองแผ่นหลังของคนเป็นพ่อ ที่เดินออกไปเหมือนไม่อยากฟังคำตอบจากเธอ
ใบหน้าสวยคม ที่พกพาความเด็ดเดี่ยวอยู่บนใบหน้าเสมอ หันกลับมาสบตามารดาอีกครั้งด้วยความหนักใจ ตอนนี้เธอคงต้องตอบคำถามมารดาให้ได้ใช่ไหม
“ตกลงลูกกลับมากับใคร หากไม่กลับมากับใคร แล้วลูกได้เงินที่ไหนกลับมา” นางถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อคนที่อยู่ขวางลำในการตั้งคำถามของนางเดินออกไปแล้ว
“คะ...” หญิงสาวมองคนเป็นแม่อย่างแปลกใจ
“เอ่อ...” อโณทัยทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะนางเองที่มีชนักติดตัว
“ไหนๆ ลูกก็เรียนจบแล้ว หากมีฟงมีแฟนมันก็ไม่ผิดและไม่น่าเกลียดอะไร หากมีลูกก็เอามาให้พ่อกับแม่รู้จักบ้างสิ พ่อกับแม่ยินดี”
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะมีเพื่อนชายเข้าบ้าน
แต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้ชายคนที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่
“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้สาไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”
เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ
“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ แล้วหนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหนักกว่าครั้งก่อนๆ หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา
‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงทุ้มที่ฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับชายคนนั้น ที่เธอไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ที่สำคัญเขาได้เบอร์ส่วนตัวเธอไปได้อย่างไร...ณริสาครุ่นคิด คิ้วเรียวผูกปมตั้งคำถามให้กับตัวเอง แต่ก็ต้องหลุดจากภวังค์เมื่อคำพูดของมารดาดังขึ้น
“แกจะทำอะไรได้ ขนาดพ่อของแกอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายปี ยังไม่มีที่ไหนกล้าปล่อยเงินกู้ซักราย... มีทางเดียว หากแกจะช่วยจริงๆ ก็หาผู้ชายรวยๆ แล้วเอาเงินเค้ามาหมุน แค่นี้บริษัทพ่อแกก็ไม่ล้ม”
คำพูดแนะนำที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับคำเรียกที่ฟังดูข่มให้คนที่คิดหาทางจนมุม
“คุณแม่...” ณริสาเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ ก่อนที่ใบหน้างามจะตีหน้านิ่งและเอ่ยบอกออกไปว่า
“หากเค้ารู้ว่าทางครอบครัวเรากำลังมีปัญหา ผู้ชายที่ไหนเขาจะยอม”
ใบหน้าอวบที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ยิ้มรับด้วยความคิดของตัวเอง ไม่สนใจคำพูดและความคิดเห็นของคนเป็นลูกนัก และเอ่ยบอกเมื่อคิดว่าลูกสาวคงฟังคำพูดนางบ้าง
“ไม่ลองไม่รู้ คนที่สาคบอยู่น่ะ เขารวยไม่ใช่หรือ ลองพาเขามาที่บ้านสิ” นัยน์ตาฉายแววความหวังและดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“คุณแม่”
“เหอะน่า แม่รู้หรอกว่าแกคบกับลูกคนรวย” สุดท้ายก็เลือกพูดสิ่งที่ได้รับรู้มา หากทุกอย่างเป็นจริง หนทางที่จะยื้อบริษัทไว้ก็มีมาก
“แม่…” ตากลมโตเบิกกว้าง ไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากมารดา
“หรือไม่จริงบอกแม่มาหน่อยซิ อะไร โย โจ โจเซฟอะไรนั่นมันแฟนลูกสามั้ย” น้ำเสียงตื่นเต้นมากกว่าการเค้นเอาความจริง จ้องมองลูกสาวอย่างรอลุ้น
ณริสาได้แต่ก้มหน้าเงียบ รู้สึกอ่อนใจ นางหวังในสิ่งที่เธอไม่เคยคิด ครั้นป้าพริ้มที่ยืนรอจัดเก็บโต๊ะ รู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่เหมาะที่จะยืนฟังเจ้านายคุยกัน จึงเดินเลี่ยงออกไป
“สาไม่แน่ใจ แต่ยังไงสาต้องพึ่งพาตัวเองก่อน คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” เธอเลี่ยงคำตอบ มั่นใจว่าตัวเองต้องช่วยบริษัทได้
คนเป็นแม่ได้แต่เบะปากอย่างเหยียดๆ ในคำพูดถือดีของลูกสาว ที่ไม่ฟังความคิดเห็นตน
“แกมันก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อ อวดดี เจอผู้ชายรวยๆ ไม่รีบตะครุบไว้ คนอื่นก็เอาไปกินกันพอดี พ่อแกก็เหมือนกัน ลองคุณอณาธิปปฏิเสธ ก็ควรทำหน้าหนาไปขอร้องใหม่อีกครั้งก็ยังดี แต่นี่กลับมานั่งจมกับขวดเหล้า” สุดท้ายนางอดที่จะค่อนขอดสามีและลูกสาวไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นตีหน้ายักษ์เดินออกไปจากโต๊ะอีกคน
สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและหดหู่ มองแผ่นหลังของคนเป็นแม่ ก่อนจะคลายสีหน้านิ่งขึง ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ฉันจะไปพบคุณ ตามที่คุณต้องการ...’
หากผู้ชายคนนั้นคือคนคนเดียวที่จะช่วยให้บริษัทของบิดาอยู่รอด เธอก็พร้อมจะเดินไปหา ตามข้อเสนอที่ยังค้างคากันไว้...