สาเหตุที่ทำให้รุ่นหลังต้องรับไป
แฟ้มเอกสารถูกโยนลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง พร้อมกันนั้นสิ่งที่วางเป็นระเบียบอยู่ก่อนแล้วก็ตกกระเด็นออกจากจุดเดิม บางอย่างหล่นกลิ้งหลุน ๆ ไปไกล เจ้าของโต๊ะได้แต่แปลกใจ มองสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้าก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ และถามคำถามออกไป
“เป็นอะไร ทะเลาะกับเมียแล้วมาลงที่โต๊ะของฉัน” คำเย้าแหย่นั้น ทำเอาคนหงุดหงิดสะดุ้งก่อนจะปรับสีหน้านิ่ง
“ทำเป็นเล่น” คนไม่ตอบคำถามย้อนกลับเสียงขรม
มือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก บ่งบอกว่ายอมจำนน
“เออ ว่ามา อะไรทำให้นายเป็นแบบนี้” เจ้าของโต๊ะเอ่ยคำถามจริงจัง แล้วจ้องมองคนแสดงอาการหงุดหงิดอย่างรอฟัง
“นายทำแบบนี้เท่ากับฆ่าบริษัทตัวเอง” เพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัทว่าเสียงกร้าว ขณะที่คนบนเก้าอี้ผสานนิ้วมือเข้าหากัน สีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจครุ่นคิดจ้องตอบ เพื่อค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงบนใบหน้าเพื่อนรักที่เรียนมาด้วยกันจนเวลาล่วงเลยต่างคนต่างมีครอบครัว แต่ความสัมพันธ์ยังแน่นแฟ้น ไว้ใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีพี่น้องคลานตามกันมา เพื่อนที่มีจึงเสมือนญาติสนิทก็ว่าได้ กระทั้งตัดสินใจจูงมือกันมาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ผ่านมาเกือบปีทุกอย่างกำลังไปได้สวย กระทั้งวันนี้...
“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก นายอย่าคิดมากสิ”
นาธรเอ่ยเสียงเรียบแต่คนฟังกลับไม่รู้สึกดี
“ไม่ให้คิดมากได้ไง ราคาต้นทุนสูง แต่ประมูลวงเงินต่ำ เห็นยัง ว่าไม่มีใครให้ราคาต่ำขนาดนั้น เพราะเขาดูแล้วว่าหากประมูลรอบนี้ได้ มีเข้าเนื้อกันชัวร์” ดิษกุลว่าหน้าเครียด
เจ้าของโต๊ะทำงาน ยังมีใบหน้าเรียบนิ่งผิดจากนิสัยขี้เล่นยามอยู่ด้วยกัน ต่างจากบุคคลที่ยืนอยู่ ที่ปกติเป็นคนสุขุม แต่วันนี้กลับมีสีหน้าถมึงทึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นาธรมั่นใจว่าเพื่อนรักต้องมีเรื่องกับภรรยามาก่อนเป็นแน่ เพราะเขาเองได้ยินข่าวซุบซิบเรื่องที่นางทำตัวเป็นสาวโสด ทิ้งลูกวัยสามขวบเศษให้อยู่กับคนใช้ เที่ยวเตร่กลับดึกค่อนคืน จ่ายเงินเป็นเบี้ย ส่วนสามีเป็นคนเงียบนิ่ง ทำแต่งาน รักครอบครัว มุ่งมั่นสร้างฐานะ เมื่อเหนื่อยทั้งงานเหนื่อยทั้งใจ คงสะสมปัญหาไว้จนเต็มที่จนหาที่ระเบิด และนั่นเขาไม่ถือสา หากเพื่อนจะระบายใส่เขา
แต่เรื่องงานเขายอมรับว่าการประมูลครั้งนี้วงเงินต่ำสุดหากเทียบกับการประมูลครั้งอื่นเมื่อหักลบกันแล้ว
“ฉันขอโทษ แต่คงไม่ทำให้เราถึงกับเข้าเนื้อหรอกเชื่อฉันสิ”
นาธรเอ่ยเสียงเครียดเมื่อเพื่อนรักสีหน้าไม่คลายลง เพราะครั้งนี้เขาเองก็ผิดที่เปลี่ยนแผนในมติประชุมในราคาประมูลที่ตกลงกันไว้ แต่พอถึงวันยื่นซองประมูล เขากลับเปลี่ยนตัวเลขเพียงลำพังเพื่อให้ได้งานครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ ก็อยากได้เช่นกัน และมีแววว่าจะแพ้หากยื่นราคาตามที่มติประชุมลงความเห็นกัน
แต่ครั้งนี้ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ กระทั้งทำให้เพื่อนรักไม่คิดฟังเหตุผลจากเขา
จากที่คาดคะเนไว้ว่าไม่ขาดทุนเป็นแน่ก็เป็นจริง เมื่อโครงการก่อสร้างสำเร็จ แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่าง ๆ ที่เหลือหารสองก็ได้น้อยกว่าครั้งไหน ๆ แต่ดิษกุลก็ยังมีทีท่าห่างเหินไม่ทักทายเพื่อนรักอย่างเคย เจอกันก็ต่อเมื่อมีการประชุมร่วมกันเท่านั้น
นาธรเริ่มหวั่นวิตก...เพราะอะไร หากเขาอยู่แล้วสร้างความลำบากใจ เห็นทีต้องแยกเพื่อความสบายใจของเพื่อนรัก
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นาธรเก็บความคิดไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้ยินมา อาจจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง...
เกือบสี่ทุ่ม หลังจากยืนมองจนสามีเอารถจอดเข้าที่ พักนี้เขากลับดึกทุกวัน ปรางวลัยเข้าครัวยกน้ำเพื่อเอาใจสามีอย่างเช่นทุกวัน
“ที่ทำงานมีปัญหาหรือคะ”
เธอถามในสิ่งที่เธอคิดไว้เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมยื่นแก้วน้ำที่เตรียมไว้รอรับก่อนแล้วให้สามี มือหนารับไว้แล้วดื่มน้ำจนเหลือค่อนแก้วแล้ววางลง
“ผมมีปัญหากับดิษกุลนิดหน่อย” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบไม่คิดปกปิด พร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คล้ายคนหมดแรงแม้จะได้น้ำเย็นชื่นใจแล้วก็ตาม
“เล่าให้ฟังได้มั้ยคะ” เธออยากช่วยแบ่งเบาสิ่งที่สามีแบกรับเช่นกัน
นาธรพยักหน้ารับ เธอจึงนั่งลงใกล้ๆ และเรื่องทุกอย่างที่ถูกเก็บเงียบไว้ตลอดหลายเดือนก็ถูกระบายออกมาเหมือนทำนบแตก
เมื่อฟังที่สามีเล่ามาและกับสิ่งที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เธอพบว่ามันคนละเรื่องเดียวกัน
“แต่แปลกนะคะ ทำไมคุณอโณทัยถึงไปพูดอีกอย่าง”
“ทางไหน” ใบหน้าอิดโรย เพราะเครียดกับเรื่องนี้อยู่แล้วถามหน้าตื่น
“เอ่อ ก็...” เธอไม่มั่นใจว่าหากพูดไปแล้วสามีจะคิดมากอีกหรือไม่
“เล่ามาเถอะ เพราะผมก็พอรู้มาบ้าง แต่คิดว่าเป็นเพียงกระแสสร้างความร้าวฉานกันเท่านั้น”
“ก็ประมาณว่า คุณโกงบริษัท ประมูลราคารับเหมาอีกอัตราแล้วเอาเข้าไปยื่นในบริษัทอีกอัตรา พูดแบบนี้เรียกว่าหมิ่นประมาทได้นะคะ”
เธอเล่าด้วยน้ำเสียงตัดพ้อบุคคลที่เอ่ยแบบไม่มีมูล
“เฮ้อ ผมทำพลาดจริง ๆ แต่ผมยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ใจและสิ่งที่ผมยื่นไปเป็นตัวเลขที่ถูกต้อง”
“ปรางเชื่อคุณค่ะ” มือเรียวยื่นออกไปกุมมือสามีและบีบเบาๆ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หากแต่สีหน้าภรรยามีแววกังวลให้เห็น เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ลูกหลับแล้วเหรอ” ครั้นได้ยินน้ำเสียงสดชื่นขึ้นของสามี เมื่อถามถึงลูกทั้งสองคน อนาธิปและธาริณี วัยแปดขวบและขวบเศษ ปรางวลัยจึงยิ้มได้และตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ หลับกันหมดแล้ว...”
ก่อนจะลงมา เธอแอบเปิดประตูดูลูกทั้งสองและเห็นว่าหลับสนิทดีแล้ว “คุณก็อาบน้ำแล้วลงมากินข้าว เดี๋ยวปรางจะอุ่นกับข้าวให้ใหม่”
นาธรพยักหน้าแล้วรีบทำอย่างที่ภรรยาบอกโดยไม่เกี่ยงงอน พร้อมกับความคิดบางอย่างที่เขาต้องตัดสินใจ...
‘คุณดิษกุล คุณอโณทัย งั้นเหรอ’
สมองทวนชื่ออยู่ในใจคล้ายจดจำเอาไว้ ก่อนคนที่แอบฟังคนทั้งคู่คุยกันได้สักพักจะเดินออกจากที่ซ่อน ในมือถือกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมไว้แนบอก สายตาจับจ้องแผ่นหลังหนาที่เดินทิ้งห่าง ออกไป แล้วก้มมองใบเกียรติบัตรในมือ สีหน้าหม่น จำใจเก็บความตั้งใจนั้นไว้ แล้วเดินกลับเข้าห้องเงียบๆ