อณาธิปคว้าข้อมือเรียวไว้ได้ สายตาและริมฝีปากคลี่ยิ้มเย้ยหยัน จับจ้องใบหน้างาม โดยเฉพาะริมฝีปากอวบอิ่มบางนุ่มนิ่มนั้น ที่บัดนี้ริมฝีปากฉ่ำสีเพิ่มขึ้นด้วยการกระทำของเขาเอง
“หากคุณไม่อยากเห็นแก่ตัวเหมือนผม ก็เซ็นซะ เพราะคุณคือความหวังของพนักงานทุกคน และที่สำคัญคุณคือความหวังของพ่อคุณด้วย”
“....ไม่!” หล่อนค้านสายตากร้าวอย่างไม่กลัว
“ผมรู้ว่าคุณดื้อ...” น้ำเสียงเยือกเย็นประคองใบหน้าหล่อเหลาให้ดูจริงจังมากขึ้น ก่อนจะกดข้อมือเรียวลงช้าๆ และสะบัดปล่อยออกไปไกลตัว อีกฝ่ายยังคงเงียบนิ่ง เขาจึงผ่อนลมหายใจเข้าออกเหมือนต้องการผ่อนคลายอารมณ์บางอย่าง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ด้วยเนื้อหาที่หนักแน่นกว่า
“เซ็นซะ คุณคนสวย คุณอาจจะดื้อกับผมได้ แต่ผมรู้ว่าถึงคุณจะดื้อกับผมแค่ไหนก็ไม่ชนะผมหรอก...เพราะทางเลือกของคุณไม่มีเลย ไม่มีแหล่งเงินกู้ที่ไหนปล่อยเงินให้บริษัทที่ของเก่ายังไม่เคลียร์ คุณรู้อะไรไหม ตอนนี้แม้แต่เงินเดือนก็ไม่มีให้พนักงาน ผมอยากให้คุณตัดสินใจทำซะ ก่อนที่พนักงานจะออกมาประท้วงขอค่าเงินเดือนที่ยังค้างคาให้ขายขี้หน้า และนั่นเท่ากับตอกย้ำให้เห็นว่าบริษัทของคุณ ถึงวาระสุดท้ายแล้ว”
เหตุผลเนื้อๆ ทั้งหมดคือเรื่องจริง แม้พนักงานบางคนไม่กล้าเปิดเผยสถานการณ์ภายในบริษัท แต่เงินก็ซื้อข้อมูลมาได้เยอะ พอให้คนอย่างเขารู้อะไรมากขึ้น พนักทุกคนได้เงินเดือน โดยจ่ายแค่ครึ่งเดียวมาเกือบสามเดือน และเป็นไปไม่ได้ที่พนักจะอยู่ด้วยเงินไม่กี่พันในสังคมที่ค่าครองชีพสูงแบบนี้...
“...”
ความจริงที่ไม่เคยรู้ ทำให้ณริสาเกือบหมดแรงยืน ร่างกายเกือบรับน้ำหนักไม่ไหว แค่ความจริงที่เธอรับรู้ไม่กี่นาทีมันเจ็บปวดเหมือนโดนบีบรัดด้วยของแข็งจนหายใจแทบไม่ออก แข้งขาเกือบทนยืนต่อไม่ไหว
แล้วพ่อที่แบกรับภาระมานาน จะเจ็บปวดแค่ไหน...
แววตาที่เคยแข็งกร้าว อ่อนแสงลง ก่อนจะจ้องมองไปยังกระดาษ เอ4 ที่โดนเหวี่ยงทิ้งไปก่อนหน้านี้ แล้วสิ่งที่ชายหนุ่มหวัง เริ่มเป็นจริง เมื่อเธอก้มลงไปหยิบกระดาษบนพื้นแผ่นนั้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วเดินไปยังเก้าอี้ที่นั่งก่อนหน้า จับปากกาเซ็นตรงช่องว่างที่เว้นไว้...
ปากกาจรดลากเขียน สายน้ำไหลเวียนอยู่ในหน่วยตา ถูกส่งกลับที่เดิมอย่างขื่นขม!
“พรุ่งนี้ให้พ่อของคุณกลับไปทำงานตามปกติ แล้วผมจะส่งคนไปจัดการทุกอย่างให้” เขาเอ่ยบอกอีกครั้ง เมื่อเห็นหลักฐานแน่ชัดอยู่ตรงหน้า
ใบหน้าไร้รอยยิ้มมองสบตาคนที่ทำให้เธอช่วยพ่อได้สำเร็จอย่างใจหวัง แต่ทำไมเธอกลับไม่รู้สึกดีใจ…
ภายในห้องเหมือนหยุดเวลาให้คนสองคนได้หยุดชั่งใจ แล้วเจ้าของห้องก็ทำลายความเงียบลง ด้วยประโยค ที่อีกฝ่ายถึงกับอึ้งอีกครั้ง
“กินอะไรด้วยกันก่อนดีมั้ย”
“ไม่ดีกว่า” เธอปฏิเสธเสียงเรียบ พร้อมยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดู นั่นเท่ากับเป็นการแสดงออกอีกทางว่าเธอไม่มีเวลาให้เขาตามที่ขอ
“เวลาอื่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของเราอีกแล้วนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง พยายามสื่อให้อีกคนคล้อยตาม เพราะแค่เซ็นสัญญาใช่ว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ โดยเฉพาะเขาและเธอต้องมีเรื่องตกลงกันอีกยาว...
“รู้ค่ะ...” ตากลมโตแน่วแน่จ้องตอบ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทุกอย่างคงเปลี่ยนกลับอย่างเดิมไม่ได้ วันนี้ขอแค่ตกลงกันเข้าใจก็พอ...
“แต่วันนี้ไม่ได้จริงๆ ขอสากลับบ้านก่อน ยังไงหากคุณต้องการอะไรโทรบอกสานะคะ” เธอเดาใจเขาได้ไม่ยาก หากจะเริ่มต่อความสัมพันธ์ให้สนิท ในเวลานี้ขอเธอกลับไปตั้งหลักก่อน
ได้ฟังคำหนักแน่น ใบหน้าคมเข้มยิ้มบางๆ ในหน้า หากเขาจะไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้ปรับตัว คงโหดร้ายเกินไปละ... “ครับ อย่างนั้นผมจะโทรหา หวังว่าสัญญาเป็นสัญญา”
เขาย้ำทั้งที่จริงไม่จำเป็นเลย เพราะเขารู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนจริงแค่ไหน เขาเริ่มยอมรับในความใจเด็ดของหล่อนเข้าแล้ว เขาอยากได้ผู้หญิงแบบนี้อยู่เคียงคู่และเป็นแม่ของลูก หากแต่หล่อนคงเป็นได้แค่นางบำเรอชั่วคราว จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จริงหรือ...
อณาธิปมองแผ่นหลังบอบบางก้าวเดินออกจากห้อง เขายอมรับว่าหล่อนทำให้หัวใจเต้นแปลกๆ ไปตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก และยิ่งได้สัมผัสแนบชิดยิ่งทำให้หัวใจของเขาเกือบไม่อยู่กับร่องกับรอย
ใบหน้าหล่อเหล่าหันกลับไปสนใจกระดาษสีขาวที่อีกฝ่ายเซ็นทิ้งไว้และเก็บเข้าที่ ก่อนจะหันไปสนใจกองเอกสารที่แม่เลขาหน้าห้องเอามาทิ้งให้เขาตรวจสอบและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
เลขาหน้าห้องผุดลุกขึ้นเรียกเมื่อร่างบางนางหนึ่งเดินลิ่วผ่านโต๊ะทำงานไป และที่สำคัญมุ่งตรงไปยังห้องผู้บริหารโดยไม่ถามไถ่ “เดี๋ยวค่ะ คุณคะ มาหาใครคะ” เสียงแหลมโพล่งถามออกไป หากแต่คนถูกเรียกกลับไม่สนใจตอบและเป็นจังหวะที่ณริสาเดินออกจากประตูห้องได้ไม่ถึงห้าก้าว ก็รีบเอี้ยวตัวหลบเมื่อสาวสวยร่างปราดเปรียวเดินเฉียดผ่านไป โดยที่เธอมองหน้าไม่ถนัดนักและตามมาด้วยแม่เลขาหน้าห้อง ที่รีบแทรกตัวเพื่อกั้นอีกคนไว้ โดยไม่สนใจว่าแขกอย่างเธอเกือบจะเสียหลักเพราะแรงกระแทกหรือไม่ แต่ดีที่เธอหลบทันเสียก่อน แล้วรีบเดินเลี่ยงออกไป
สองแขนอ้ากว้างกั้นหน้าประตูห้องได้สำเร็จ อีกคนหยุดกึก จับจ้องคนขวางทางตาลุกวาว
“เดี๋ยวค่ะคุณผู้หญิง ไม่คิดสอบถามก่อนหรือคะ ว่าคนที่คุณต้องการมาพบอยู่หรือติดธุระอะไรที่ไหนอย่างไร” คิ้วที่กันไว้อย่างสวยงามเลิกขึ้นอย่างรอคอยคำตอบอีกฝ่าย
ปากเรียวอวบอิ่มด้วยลิปสติกสีสดเบะออกอย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันรู้ของฉัน หลีก ฉันจะไปพบพี่ธิป” คำเรียกขานทำให้คนที่ได้ยินรับรู้ถึงความสนิทสนมของคนทั้งคู่ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่เลขาอย่างเธอจำเป็นต้องซักถาม
“หึ…”ณริสาครางเสียงออกจากลำคอรับประโยคที่ไม่ได้ตั้งใจได้ยิน อดหยันด้วยใจระอาเมื่อนึกถึงใครบางคนในห้อง
เหอะ ‘พี่ธิป’ งั้นเหรอ
ผู้ชายจะอะไรมากมาย เห็นผู้หญิงเป็นของหาง่ายและเธอก็คือหนึ่งในผู้หญิงพวกนั้นเหมือนกันน่ะหรือ... ณริสาคิดพลางรีบก้าวเท้าพาตัวเองออกจากที่นี่ก่อนที่จะรู้สึกแย่ไปกว่านี้
“คุณรู้จักมารยาทหน่อยมั้ยคะ” เลขาหน้าหวานยังไม่ยอมปล่อยหากไม่ได้ข้อมูลตามหน้าที่
คนที่ไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการส่งเสียงแปร๊ดออกมา
“อ๊าย นี่เธอว่าฉันไม่มีมารยาทหรอ?...” ใบหน้าแต่งแต้มไว้อย่างดีเชิดหน้าชูคออย่างมั่นใจในมารยาทของตัวเอง “ฉันจะฟ้องพี่ธิป”
สีหน้าหนักใจของเลขาสาวสวย วัย 30 ต้นๆ มองตอบและพยายามส่งยิ้มบางๆ เพื่อมิตรไมตรีให้ ด้วยมารยาทที่ถูกอบรมมา