แก้วใสทรงยาวในมือถูกง้างขึ้น ก่อนจะลอยว่อนไปในกลางอากาศอย่างแรง โดยเจ้าของใส่ความอัดอั้นไว้เต็มแรง เมื่อสิ่งบอบบางที่เปาะง่ายถูกส่งออกไปปะทะกับพื้นพรมนิ่มหยุ่น ก็ไม่เหลือรูปเดิมให้เห็น แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้คนที่ทุกข์หนักคลายความตึงเครียดลงได้
เศษแก้วกระจัดกระจายเต็มพื้น มันยิ่งสร้างความปวดเจ็บที่กำลังกรีดลงไปในร่องหัวใจห้องแล้วห้องเล่า
“ไอ้เด็กเวร ที่แท้แกก็เป็นลูกไอ้ นาธร บุญพิทักษ์ นี่เอง”
กรามหนาบดเบียด สีหน้าเครียดตึง เมื่อเขาลงทุนว่าจ้างนักสืบเพื่อหาข้อมูลนักธุรกิจหนุ่ม นายอณาธิป ธนเกียรติ และเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าไอ้เด็กเวรที่ตนเองเรียก เปลี่ยนมาใช้นามสกุลผู้เป็นแม่ จาก ‘บุญพิทักษ์’ เป็น ‘ธนเกียรติ’ และเขาไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นพูดจาแทงใจดำเข้าเต็มๆ หากเขารู้มาก่อนหน้านั้น อย่าหวังว่าเขาจะเดินเข้าไปให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างอีกฝ่ายถอนหอกเล่น!
“หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด” ริมฝีปากหนารุ่นลูกยกยิ้ม ปรายตามองผู้สูงวัยกว่าด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ยกลูกสาวให้เป็นนางบำเรอผม แลกกับการอยู่รอดของบริษัท ของคุณ...คุณกล้ามั้ยล่ะ”
คนฟังได้แต่กัดฟันกรอด ความรู้สึกเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ทับลงบนร่างจนแตกละเอียด ไร้ชิ้นดี
“ที่ผมมานี่ ไม่ใช่มาเสนอข้อตกลงแบบนี้ และเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะยกลูกสาวของผมให้เป็นนางบำเรอของคุณ” ชายสูงวัยหน้าแดงก่ำ แต่พยายามทำใจให้เย็นไว้ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เพิ่งขาดทุนไป เมื่องบหมดและสร้างไม่เสร็จตามกำหนด และนั่นหมายถึงอีกฝ่ายจะต้องเรียกร้องค่าเสียหาย งบหมดเงินหมุนเวียนไม่มี และโดนฟ้องร้องในที่สุด!
วิธีไหนที่พอจะยื้อบริษัทไว้ได้ เขาจึงทำทุกอย่าง และนั่นหมายถึงคนในครอบครัวด้วย ที่จะอยู่อย่างสุขสบายต่อไป
เสียงหึในลำคอถูกส่งออกมาเบาๆ หากแต่คนที่นั่งอยู่ใกล้ได้ยินชัดเจน
“แค่มาเสนอให้ผมช่วยถือหุ้นครึ่งหนึ่ง ในบริษัทที่ใกล้จะล่มเต็มที มันไม่เป็นความคิดที่ทำให้ผมสนใจหรอกคุณดิษกุล ณรงค์พล” น้ำเสียงหนักแน่น หากฟังให้ดีเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เอ่ยเรียกอีกคนเต็มยศ โดยไม่คิดจะถนอมน้ำใจคนสูงวัยกว่า
“เช่นกัน เพราะผมเองก็ไม่อยากรับข้อเสนอที่คุณตั้งขึ้น มันมากเกินไปสำหรับความรู้สึกของผม”
“หึ มากเหรอ นี่คุณยังมีโอกาสไตร่ตรองและถอนตัวได้ แล้วทีคุณทำกับคนอื่น ที่ไม่มีโอกาสคิดและแก้ตัวใดๆ มันมากเกินไปมั้ยล่ะ คุณดิษกุล”
“หมายความว่าไง” คนอาบน้ำร้อนมาก่อนถามกลับ สีหน้าขมวดมุ่น และรู้สึกวาบไหว เมื่อแววตามุ่งมั่นของชายหนุ่มคราวลูกนั้นเหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“คุณดิษกุลคงไม่เคยรู้ถึงรสชาติ ของคนที่ถูกบังคับและฝืนใจว่ามันทรมานแค่ไหน ...ที่สำคัญหากคนคนนั้นไม่มีความรับผิดชอบหรือเห็นแก่ได้ ก็ยากที่จะเข้าถึง” คำพูดนั้นทำเอาชายร่างท้วมถึงกับสะอึก
เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าถือดีท่าทางจองหองของนาย อณาธิป ธนเกียรติ ที่เคยฟังจากเพื่อนนักธุรกิจด้วยกัน การทำงานรุ่งเรืองข้ามหน้านักธุรกิจรุ่นเก่าๆไปหลายก้าว อีกทั้งแนวการตลาดส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องประดับไปยังต่างประเทศ ที่สำคัญยังเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ที่เบียดบริษัทรับเหมารายย่อยล้มไปหลายราย และรวมทั้งเขาเองด้วยที่ตอนนี้ไร้ที่ยืน แปลกที่อีกฝ่ายกับทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ธุรกิจขยายสู่วงกว้าง หรือจะเพราะชายหนุ่มเป็นคนละเอียดไม่ยอมเสียเปรียบให้ใคร แต่ก็นั้นล่ะ เขาเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครเช่นกัน แต่ทำไมนะ ถึงยื้อบริษัทไว้ไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะถูกตัดหน้าทุกครั้งไป
“ว่าไง...” อณาธิปถามย้ำเมื่อคนสูงวัยเงียบไป
“หากคุณไม่สนใจข้อเสนอของผมก็ไปหาที่อื่น เพราะธุรกิจของผมก็รายได้ดีมาก ถึงมากที่สุด จนผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาอย่างอื่นทำให้ยุ่งยาก”
คำพูดนั้น ทำให้ผู้สูงวัยถึงกับหันหลังให้ชายหนุ่มรุ่นลูกทันที โดยคิดว่าประตูห้องทำงานห้องนี้ คือทางออกที่ผู้สูงวัยอย่างเขาจะกลับไปตั้งหลักใหม่ โดยไม่หวนกลับมาที่นี่อีกเป็นอันขาด
ให้ตายเขาก็ไม่ยอมยกลูกสาวคนเดียวให้เป็นนางบำเรอใคร...! ดิษกุล ย้ำชัดกับตัวเอง ผละออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งและประดับไว้อย่างดี
และตอนนี้...คำพูดนั้นตามมาตอกย้ำอยู่ในโสตประสาทที่ทำงานปกติอยู่ ทุกคำพูด ทุกสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มรุ่นลูกรวมทั้งคำพูดถากถาง สร้างความเจ็บช้ำไม่คลาย
ใบหน้าผู้สูงวัยที่เคยเต็มไปด้วยความสุข ไม่เหลือร่องรอยเค้าเดิมไว้ให้เห็น ใบหน้าเครียดตึง บ่งบอกถึงเรื่องภายในสมองที่รวมตัวกันกดดันให้เขาต้องรีบหาทางออกให้เร็วที่สุด
สายตาหรี่แคบได้แต่มองขวดสีอำพันนิ่ง ตอนนี้ไม่มีอะไรดับทุกข์ได้ดีกว่าเจ้าสิ่งนี้ แก้วใหม่จึงถูกหยิบออกมาจัดการรินของเหลวใส่ลงไป กระดกขึ้นดื่มทีเดียวอย่างไม่รอช้า
นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน
“ถ้าเรียบร้อยแล้วอย่าลืมที่สัญญาให้ไว้นะคะ” สาวสวยทวงคำสัญญา พร้อมกับรายงานสิ่งที่ตนเองได้รับมอบหมายมาและทำสำเร็จไปด้วยดี
“ครับ ยังไงกลับไทยไปก่อนนะครับ”
“ไม่รอพบกันก่อนหรือ คิดถึงจะแย่แล้วนะ”
เสียงหวานโอดครวญมาจากปลายสาย ริมฝีปากหนายกยิ้มและกรอกเสียงกลับเข้าไป
“ผมติดธุระ ยังไงเจอกันที่ไทยนะ” น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้ปลายสายจำใจตัดสายไป หากแต่เธอจะทำตามหรือไม่นั้นมันอีกเรื่อง
เครื่องมือสื่อสารถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อให้เห็นกับตาและไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เขาก็มายื่นอยู่หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงนิวยอร์กเมืองแห่งแสงสีนักท่องราตรี
เจ้าของสายตาสีเหล็กกล้ามุ่งตรงไปยังเก้าอี้ว่าง แล้วกวาดสายตามองหาใครบางคนที่อยากเจอด้วยหัวใจระส่ำตามที่ได้รับข้อมูลมา โดยไม่ได้บอกให้สาวสวยที่ทำหน้าที่สืบหาข้อมูลได้รับรู้ ว่าตัวเขาก็อยู่ที่นี้เช่นกัน
“เอ้า ดื่มหน่อยสิ” เสียงเชียร์จากเพื่อนร่วมสถาบันหญิงชายหลายเชื่อชาติ ทำให้สาวสวยที่วางตัวดีมาตลอดส่ายหน้าดิก หากแต่เวลาผ่านไป เธอไม่อาจปฏิเสธเสียงเรียกร้องนับสิบไหว จึงกระดกน้ำสีอำพันในมือไปจนหมดแก้ว ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยวเพราะความไม่คุ้นชินกับรสชาติและกลิ่นฉุนของเครื่องเดิม ชายหนุ่มลูกครึ่งได้แต่ส่ายหน้าโดยไม่อาจขัดขวางอะไรได้
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องดื่ม เดี๋ยวผมดื่มแทนเอง” คำพูดที่ก้มลงมากระซิบใกล้ๆ ทำให้เธอเอียงตัวหลบเล็กน้อย ก่อนตอบกลับ
“ไม่เป็นไร ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย สาไม่เมาหรอก” ไม่เมาของเธอแต่เริ่มโอนเอน เพื่อนๆในกลุ่มที่จบการศึกษาด้วยกันยิ้มร่า เข้าใจในความพยายามของเพื่อนสาวชาวไทย ก่อนจะส่งสายตาจิกไปยังชายหนุ่มลูกครึ่งที่ดูเป็นห่วงหญิงสาวชาวไทยจนออกนอกหน้า
เมื่อแอลกอฮอล์เข้าไปผสมอยู่ในเส้นเลือดมากเข้า หนุ่มสาวเริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม โดยณริสาได้แต่นั่งมอง ตาพล่าเลือนกับภาพที่เธอชินกับวัฒนธรรมของชาวเมืองที่นี่ หากแต่วันนี้ ภาพนั้นกับทำให้เลือดลมในกายของเธอเดือดพล่านและรู้สึกกระดากอาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“โจ สาอยากกลับที่พัก” เธอบอกความประสงค์กับเพื่อนชายที่คิดว่ายังมีสติดีกว่าเธอมาก
“ครับ งั้นไปกันเถอะ” เขาเอ่ยบอกไม่ขัด ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนในกลุ่มให้รู้ไว้ เมื่ออีกฝ่ายรับรู้เขาจึงประคองร่างบางที่โอนเอนไว้ในวงแขน
แม้จะไม่ได้แต่งตัวเสื้อผ้าน้อยชิ้นโชว์เนื้อหนังมังสา หากแต่รูปร่างกะทัดรัดทรวดทรงสมส่วน บวกกับเครื่องหน้าจิ้มลิ่มปากนิดจมูกหน่อยหากแต่โด่งรั้น มีผมสีดำสนิทขับให้ผิวหน้างามโดดเด่นอย่างสาวเอเซียเด่นเตะตา จึงทำให้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวจ้องมองร่างบางตาเป็นมัน แต่นั่นก็ไม่พ้นสายตาของโจเซฟ
“บ้าจริง...” โจเซฟสบถหัวเสีย เมื่อเห็นชายผิวดำร่างยักษ์สองคนมีท่าทีแปลกๆ ตั้งแต่อยู่ในบาร์ และตอนนี้เขาสังเกตได้ว่า สองคนนั้นมองดูตนและเพื่อนสาวไม่ละสายตา วงแขนหนารีบโอบกระชับเอวบางที่ประคองตัวเองไม่อยู่ ไปยังรถที่จอดไว้อย่างรวดเร็ว
“มีอารายหรอ” เสียงหวานลากยานเอ่ยถาม เขาก้มมองดูเธอแล้วฉีกยิ้มกว้างตอบกลับ
“เปล่า ไม่มีอะไร” น้ำเสียงติดขันเอ่ยบอก พร้อมกับจ้องลึกในดวงตาคู่งามที่เริ่มปรือลอย ก่อนจะรีบเก็บความทรงจำบนใบหน้าหวานที่บัดนี้แดงเรื่อเพราะพิษน้ำเมาที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็น
“แต่ ฉาน หายใจไม่ออก” เธอประคองน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจ เพราะเพื่อนโอบรัดเอวเธอแถมกึงลากกึ่งประคองจนเธอก้าวตามไม่ทัน ที่สำคัญรู้สึกเจ็บจุก
“โอ๊ะ ขอโทษที” โจเซฟรีบคลายวงแขนที่ตนเองเผลอออกแรงรัดเอวคอดกิ่วแรงไป ก็คนมันห่วงนี่...
“ว่าแต่...เอ๊ะ หายไปไหน” โจเซฟมองซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง หากแต่ตอนนี้ไม่มีใครตามมาอีกแล้ว เขาจึงจัดการเปิดประตูรถ และดันร่างบางไปยังตำแหน่งที่นั่งของเธอ
“กาบที่พักนะ สาม้าย หวาย แล้ว” แม้ตาจะปิดอยู่รอมร่อ เธอก็ยังย้ำ คลายกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืม
“ครับผม หลับให้สบายเถอะ” สายตามุ่งมั่นเอ่ยหนักแน่น ริมฝีปากบางจึงคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง
เขาปรับเบาะนั่งให้ยาวราบลงไป เพื่อให้เพื่อนสาวที่ตนเองมีใจนอนหลับสบายขึ้น ก่อนจะมุดตัวออกมาแล้วปิดประตูเตรียมวิ่งไปยังตำแหน่งคนขับ ระหว่างนั้นมีรถเก๋งเร่งความเร็วดูน่าหวาดเสียวตรงเข้ามา ก่อนจะจอดเบียดประตูด้านฝั่งคนขับ
โจเซฟชักสีหน้า คิ้วหนานูนสูง หัวใจเต้นแรง พยายามคิดว่านี้ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง เพราะนั่นเท่ากับว่า เขาไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปประจำที่คนขับได้
โจเซฟรอจนรถคู่กรณีเดินลงมา และนั่นยิ่งทำให้เขาแปลกใจหนักขึ้น เมื่อเจ้าของรถเป็นชายผิวดำ แล้วอีกคนล่ะ...
คงไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญแน่... โจเซฟคิดอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบอกเจ้าของรถคันนั้น
“ขอโทษนะครับ ช่วยเว้นช่องว่าง ให้ผมได้เข้าไปในรถผมอีกหน่อยได้มั้ยครับ เพราะผม...”
“ฮะ นายว่าอะไรนะ” น้ำเสียงและสีหน้าฟังรู้ว่ากวนตอบกลับ ทั้งที่โจเซฟพูดยังไม่ทันจบประโยค
จากที่ไม่เคยวางตัวแข็งกร้าวกับใคร โจเซฟเริ่มฉุนขาด ใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงหญิงสาวในรถโดยเขาเหลือบมองอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าเธอจะโวยวาย
“ผมกับแฟนจะกลับที่พัก คุณชายเลื่อนรถให้ผมหน่อยได้มั้ย” โจเซฟตัดสินใจเอ่ยอ้างออกไป เพื่อให้คนผู้นั้นเลิกสนใจเพื่อนสาวของเขา
แต่คำตอบนั้นไม่ได้สะกิดความรู้สึกผิดแต่อย่างใด
“อ้อ ได้สิ”
ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์ หากแต่โจเซฟไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาจึงยิ้มรับแล้วเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณครับ”
“แต่...” คำว่า ‘แต่’ ทำเอารอยยิ้มโจเซฟหุบลงฉับพลัน
“แต่ อะไร!” โจเซฟเริ่มคิดส่อเค้าลางไม่ดี เอ่ยถามเสียงขุ่น เมื่อชายผิวดำเริ่มมองไปยังรถเขา ตรงตำแหน่งที่ณริสานอนอยู่
“นายเอารถนายไป ส่วนฉัน...” ชายผิวดำใช้นิ้วชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบหากเต็มไปด้วยแววตาคุกคาม
“เอาแฟนนายไป” คำตอบนั้นทำให้โจเซฟกระจ่างทันที ก่อนจะถีบไปยังท้องของอีกฝ่ายเต็มรัก จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งก้นจ้ำเบ้า
โจเซฟหมายจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีกครั้ง หากแต่มีใครบางคนล็อคคอเขาไว้ทางด้านหลัง
“เฮ้ย ปล่อยสิวะ” เขาร้องเสียงหลงก่อนจะเหลือบสายตาหันมองและใบหน้าคุ้นๆที่เขาจำได้ดี
“เล่นหมาหมู่หรือวะ” โจเซฟตะคอกถาม หากแต่คนตัวดำที่ล็อคคอเขาอยู่หัวเราะร่า โดยอีกคนรีบปัดแข่งปัดขาแล้วเปลี่ยนมาลูบหน้าท้องที่โดนถีบไปพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา สีหน้าถมึงทึง
“มึงทำเก่งไปแล้ว ไอ้เด็กอ่อนหัด” ว่าแล้วมันก็ปล่อยมัดเข้าไปเต็มซีกหน้าของโจเซฟ จนหน้าชาไปทั้งแถบแถมหยดเลือด หากแต่เขาไม่สนใจ และด้วยความแรงของน้ำหนักมัด วงแขนหนาที่จับไว้ถึงกับรั้งไม่อยู่ โจเซฟจึงล้มไปกระแทกกับกระโปรงด้านหน้ารถ แล้วเกิดการตะลุมบอนผลัดกันรุกผลัดกันรับ หากแต่หนึ่งหรือจะสู้ผู้ชายร่างยักษ์ถึงสองคนได้
ณริสาที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ดี ๆในความเงียบ ก็เหมือนมีอะไรฟาดลงมากระทบโสตประสาทอย่างจัง ตากลมโตจึงปรือขึ้นอย่างจำใจ ก่อนจะค่อยๆหายมึนเป็นปลิดทิ้ง
“โจ!...” เธอรีบเปิดประตูลงมา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหลมแผดดัง ไม่มียานคางอย่างก่อนหน้านี้ พร้อมกับจ้องสิ่งที่คาดไม่ถึงตรงหน้า ขณะที่ทั้งสามหยุดการคลื่นไหว
“ว้าว นางฟ้าตัวน้อยออกมาแล้ว” หนึ่งในสองของชายผิดดำเอ่ยขึ้น ก่อนจะปาดมุมปากที่รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะใช้สายตาโลมเลียร่างบางที่ตนเองหมายตาเอาไว้ตั้งแต่อยู่ในร้านบาร์
“พวกคุณไร้มารยาท ทำร้ายเพื่อนฉัน” เธอต่อว่าเสียงกร้าว สองรุมหนึ่งมันไม่แฟร์ หากแต่พวกนั้นจุ๊ปาก อย่างเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น
“นางฟ้าพูดจาไม่ไพเพราะ ผมจะทำโทษคุณ...” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาคว้าตัวนางฟ้าที่ไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะก้มใบหน้าลงไปใกล้ซอกคองามระหง หากแต่ณริสามึนงงไม่นานก็นึกได้ว่าเธอกำลังเจอกับอะไร เล็บคมยาวก็กางขึ้น
“โอ้ย!...” มันร้องเสียงหลงลูบใบหน้าที่บัดนี้แสบไปทั้งแถบ แถมเลือดอีกต่างหาก สายตาจ้องอาฆาต และความดิบเถื่อนทำให้ฝามือหนาถูกปล่อยออกไป
เพี้ยะ! ณริสาหน้าหันก่อนจะเซเหมือนลูกนกปีกหัก
“สา!” โจเซฟร้องเรียกด้วยความตกใจและคาดไม่ถึงว่าพวกนั้นจะทำร้ายผู้หญิงได้
“ไอ้บ้า ทำร้ายผู้หญิง” โจเซฟอฮึดสู้ สะบัดตัวเองหลุดจากวงแขนที่รัดแน่น ด้วยความโกรธเขาพุ่งทะยานเรี่ยวแรงที่กำลังหมดไป ถูกเรียกกลับมา เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนเองหลงรักเซซัดหมดท่า เขาพุ่งหมัดและเข่าไปยังเป้าหมายอย่างบ้าคลั่ง หากแต่หนึ่งแรงที่เหลือน้อยหรือจะสู้สองแรงที่กำลังตกมัน
สายตาพร่าเลือนที่มาพร้อมกับอาการปวดหนึบ ฝืนใจทนมองภาพชายหนุ่ม ‘สองคู่’ ชกต่อยกันอย่างดุเดือด ก่อนที่จะสายตาเริ่มพร่าเลือนๆไปทีละน้อยจนมืดสนิท หากแต่ภาพสุดท้าย ตามติดอยู่ในห้วงความทรงจำ ใครคนนั้น ใครกัน!