อิงครัตน์ยิ้มน้อยๆ มองดูโทรศัพท์ที่มีการแจ้งเตือนการเข้าร่วมกลุ่ม โดยมีหนึ่งหนุ่มก็คือ เปรม และอีกหนึ่งสาวก็คือ ภัสสราที่กดเข้าร่วมกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว
“นายป๊อกล่ะสิ ต้นคิด” อิงครัตน์บ่นพึมพำนำโทรศัพท์มือถือเก็บเข้ากระเป๋าไว้ตามเดิม โดยไม่ได้ตอบรับการเข้าร่วมกลุ่มและรีบเข้า
บ้านทันที
กลิ่นกาแฟหอมๆ ลอยออกมาจากในบ้าน อิงครัตน์ส่ายหน้าเพราะรู้ว่าพัดชายังคงปรับเวลาของตัวเองอยู่ จึงดื่มกาแฟในช่วงเวลามืดค่ำ
“กาแฟไหมคะ คุณ” เสียงที่ได้ยินทำให้นึกถึงเมื่อครั้งที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมบ้านกัน
“ไม่ล่ะ เหนื่อยๆ ถ้านอนไม่หลับขึ้นมาแย่แน่ แก่แล้ว” อิงครัตน์พูดและก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่ศีรษะของพัดชา ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามปกติ
“เหนื่อยก็ไปอาบน้ำ หรือจะให้พัดอาบให้” พัดชาพูดยิ้มๆ
“ดื่มด่ำกาแฟไปเถอะค่ะ คุณขา” อิงครัตน์พูด หลังจากเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง
“บ้านหลังใหญ่ แต่มีห้องนอนเดียวทำไมล่ะ” พัดชายิ้มจางๆ หันไปมองสบตาอิงครัตน์ที่ไม่ได้ตอบมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ให้เท่านั้น
“เราไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวออกมาหาอะไรให้ทาน”
“จ๊ะ ขอดูรูปถ่ายบ้างได้ไหม พัดว่าจะเปิดดูตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่กลัวเสียมารยาท” พัดชาถามแล้วเดินไปนั่งที่คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดของหน้าจอค่อนข้างใหญ่ ซึ่งคาดว่าคงมีไว้สำหรับตกแต่งภาพถ่าย
พัดชายิ้มๆ กับภาพถ่ายที่ได้เห็น เพราะก่อนหน้าไม่ค่อยได้สนใจหรือแทบไม่ได้สังเกตเลยว่า อิงครัตน์มีฝีมือในการถ่ายภาพ เพราะยิ่งนานวันเข้ายิ่งทำให้รู้เลยว่า คนเราไม่ว่าจะใช้ชีวิตด้วยกันนานเท่าไร ก็ไม่มีวันเรียนรู้กันและกันได้ในทุกเรื่อง จากงานอดิเรกของคนที่ถ่ายภาพเล่นผ่านโทรศัพท์มือถือ จนกระทั่งถึงวันนี้กลายเป็นอาชีพที่ดูเหมือนจะทำให้เจ้าตัวมีความสุข แล้วตัวเธอล่ะมีความสุขอยู่หรือไม่ตั้งแต่เลือกที่จะไปลองใช้ชีวิต โดยไม่มีผู้หญิงที่มีรอยยิ้มและแววตาอันแสบอบอุ่น
ภาพจำนวนมากค่อยๆ เผยตัวออกมาให้เห็นถึงฝีมือของช่างภาพซึ่งเชื่อได้เลยว่าหากใครมาเห็นเข้าต้องคิดว่าเป็นมืออาชีพ แต่ทั้ง
หมดเกิดขึ้นเพราะความรักในการบันทึกสิ่งต่างๆ รอบตัวให้อยู่ในขอบเขตของภาพถ่าย
“สาวน้อยคนนี้น่ารักดีนะ คุณ” ภาพของภัสสราทำให้อิงครัตน์ยิ้มและเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ พัดชา
“ค่ะ” อิงครัตน์พูดเพียงแค่นั้น
“ถ่ายเหมือนเจ้าตัวไม่รู้ตัวเลย เก่งนะ คุณน่ะ” พัดชาพูดขึ้น โดยที่อิงครัตน์ทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรนัก เดินไปเปิดตู้เย็นว่าจะเตรียม
อาหารง่ายๆ ให้พัดชารับประทาน
“ลองชิมดูค่ะ” อิงครัตน์วางจานที่มีผลไม้หลากหลายชนิดหั่นเป็นชิ้นพอคำพร้อมกับถ้วยที่มีน้ำยำรสเปรี้ยวเค็มหวาน
“น่าอร่อย” พัดชายิ้มๆ อิงครัตน์มองดูที่หน้าจอยังเป็นภาพภัสสราที่ไม่รู้ทำไมพัดชาถึงได้สนใจ
“ลองชิมดูนิดหน่อยก่อนนะคะ คลุกเคล้าให้กลัวจะเผ็ดเกินไป”
“อืม อร่อยทีเดียว พอได้กลิ่นน้ำปลาจากอาหารก็รู้เลยเนอะว่าเราอยู่เมืองไทยแล้ว” พัดชาหัวเราะ ขณะตักป้อนให้อิงครัตน์
“น้ำปลาเขาส่งขายไปทั่วโลกไหม อยู่มาหลายประเทศก็เห็นมีขาย”
“แต่กลิ่นไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทย” พัดชาพูดขณะกุมมืออิงครัตน์เอาไว้และคนที่ถูกกุมมือมองไปที่มือของพัดชา
“ข้าวคลุกน้ำปลาก็อร่อยสิงั้น” อิงครัตน์หัวเราะเล็กๆ ไม่ใช่เพราะคำพูดของตัวเอง แต่นึกถึงคำพูดของเด็กขี้แกล้งมากกว่า
“ช่างพูดขึ้นนะ ไปติดมาจากไหน” พัดชาแกล้งถามเสียงเข้ม
“สงสัยทำงานกับคนอายุน้อยบ่อย เลยเด็กตามคนพวกนั้น”
“นึกว่าแอบคบเด็ก” พัดชาพูดขึ้น
“อยากไปเที่ยวไหนไหม” อิงครัตน์ชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ไม่ อยากอยู่กับคุณ แล้วก็เรื่อง” พัดชายิ้มจางๆ แต่ยังไม่ได้พูดคุยลงรายละเอียดมากนัก
“คุณคุยกับเราได้ทุกเรื่อง จำได้ใช่ไหมคะ” อิงครัตน์บอก
“หลักๆ ก็เรื่องบ้าน พัดต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น คุณต้องเซ็นเอกสารให้”
“ได้ แต่ไม่เห็นต้องมาเองเลย ส่งเอกสารมาก็พอ”
“ทำไมมีอะไรที่ไม่อยากให้รู้หรือไง” พัดชาถาม
“คุณก็เห็นๆ อยู่ เราไม่เคยมีอะไรปิดบังคุณเลย คุณนั่นแหละมีอะไรก็ควรบอกกับเราตามตรง” อิงครัตน์ถอนใจเบาๆ
“ยังชอบดุเหมือนเดิม”
“ที่นี่มีร้านกาแฟดีๆ เยอะเลย พรุ่งนี้ไปลองไหมล่ะ ถ้าคุณอยากไปไหนก็บอกได้” อิงครัตน์บอกกับพัดชาที่หันมาหอมแก้มทันที
“ขอบคุณค่ะ แต่ถ้าคุณมีงานก็ไม่ต้องห่วงนะ อยู่บ้านได้สบายมาก” พัดชาบอกแล้วแอบถอนใจ
อิงครัตน์ยิ้มจางๆ มองดูคนที่หยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน จึงเป็นฝ่ายยิ้มให้ก่อนไม่ได้ต่างจากครั้งแรกที่ได้พบกัน ภัสสราถอนใจถึงอย่างไรคงต้องเข้าไปทักทายแม้อิงครัตน์ไม่ได้นั่งอยู่ลำพังก็ตาม รอยยิ้มกับแววตาคู่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนั่นยิ่งทำให้เลือกที่จะไม่สบตาด้วยสักเท่าไรนัก
“สวัสดีค่ะ” ภัสสราทักทายและพนมมือไหว้อิงครัตน์
“มาหาที่นั่งทำงานหรือ” อิงครัตน์ถาม หลังจากภัสสราพนมมือไหว้พัดชาด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการแนะนำแต่อย่างใด
“ค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ” ภัสสราพูดขึ้น อิงครัตน์พยักหน้าให้โดยไม่ได้สังเกตเลยว่า พัดชามองตามภัสสราแล้วขมวดคิ้ว
“น่าเอ็นดูดี แทนตัวเองว่าหนูด้วย” พัดชาพูดขึ้น
“เด็กไทยแทนตัวเองแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
“ไม่เด็กแล้ว คุณ สวยสะพรั่งขนาดนั้น” พัดชาพูดและเริ่มจิบกาแฟ แต่ยังคงมองไปทางภัสสราซึ่งเลือกที่จะนั่งหันหลังให้
“เคยไปเป็นนางแบบให้เรา”
“อ๋อ คนที่มีรูปแอบถ่ายเยอะๆ ถึงว่าเคยเห็นที่ไหน” พัดชายิ้ม
“ที่แอบถ่ายหรือ” อิงครัตน์ถาม
“ก็เห็นแยกเอาไว้ต่างหากจากงาน” พัดชามองสบตากับอิงครัตน์
“อ้อ”
“ยังไงกัน” พัดชาถาม แต่อิงครัตน์เพียงแค่ยิ้มๆ ให้เท่านั้น
“ไม่ยังไง จะไปเดินดูเสื้อผ้ากันหรือยังล่ะคะ” อิงครัตน์ถาม
“ก็ดี กาแฟหมดแก้วพอดี ไปค่ะ” พัดชาเห็นภัสสราหันมามองจึงควงแขนอิงครัตน์ที่ยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
พัดชามีความสุขกับการเดินเข้าร้านโน้นร้านนี้ แม้ไม่ได้ซื้อมากนัก แต่การได้เห็นของสวยงามถือว่าเป็นความชื่นชอบมาแต่ไหนแต่
ไร ซึ่งต่างกับอิงครัตน์ที่จะมาเดินซื้อของก็ต่อเมื่อมีของที่ตัวเองต้องการหรือจำเป็นต้องซื้อเท่านั้น
“เราเดินไปดูร้านเสื้อฝั่งตรงข้ามนะ คุณเดินเล่นตามสบายเลย”
“จ้ะ” พัดชาพยักหน้าให้และมองดูอิงครัตน์เดินไปยังร้านฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันมาดูกระเป๋าถือหลากหลายแบบที่กำลังสนใจอยู่
อิงครัตน์เดินดูไปเรื่อยๆ จนเหลือบไปเห็นภัสสราเดินเข้าไปบริเวณที่เป็นห้องลองเสื้อผ้า จึงรีบเดินตามไป
“ป้า ตามเข้ามาทำไม” ภัสสราพูดเสียงดัง หลังจากโดนดันหลังให้เข้ามาในห้องลองเสื้อ ตอนแรกรู้สึกตกใจแต่เมื่อเห็นว่าเป็นอิง
ครัตน์ จึงหันมาพูดคล้ายต่อว่า
“ทำไม คนในร้านเห็นคงคิดว่าแม่พาลูกมาลองเสื้อ ไม่มีใครสนใจหรอกมั้ง” อิงครัตน์พูดขึ้น
“เข้ามาแล้วจะลองเสื้อได้ไง ออกไปเลย” ภัสสราพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยดีนัก อิงครัตน์รู้สึกอย่างนั้น
“ขอคุยด้วยแป๊บเดียว”
“ไม่ว่างคุย ออกไปได้แล้ว” ภัสสราพูดพึมพำ
“ฉันแต่งงานแล้ว คนที่เธอเห็นนั่นแหละ” อิงครัตน์บอกทำเอาคนที่ได้ยินนิ่งไปและจ้องเขม็ง
“แต่งงานกับผู้หญิง” ภัสสรารำพึงออกมาเบาๆ
“ถ้าเรียกให้ชัด คือ มีภรรยาแล้ว” อิงครัตน์บอก
“บอกหนูเพื่อ” ภัสสราถาม
“นั่นสิ เพื่อ” อิงครัตน์ยิ้มจางๆ
“ป้าชอบผู้หญิงมานานแล้ว”
“ไม่เคยชอบผู้ชาย”
“ต่างกับหนูเนอะ ไม่เคยชอบผู้หญิงเลย” ประโยคหลังภัสสราไม่กล้าที่จะมองสบตากับอิงครัตน์ เพราะตัวเองไม่ได้พูดความจริง
“ก็ดีแล้ว ฉันออกไปได้แล้วสินะ” อิงครัตน์พูดขึ้นและทำท่าจะเดินออกไป แต่ถูกดึงแขนเอาไว้จึงหยุดหันมามองสบตากับคนที่มีน้ำตารื้นและขยับเข้าใกล้ทาบทับริมฝีปากเบียดเข้าหาอย่างแผ่วเบาจนกระทั่งแนบชิด
ความอ่อนหวานนั้นเย้ายวนเสียจน แม้จะเตือนตัวเองไม่ให้ตอบรับ สัมผัสนั้น แต่หัวใจก็ปลดปล่อยกรอบทางความคิดที่คอยเตือน
อยู่ว่าตัวเองยังคงมีพันธะอยู่กับผู้หญิงที่เพิ่งบอกออกไปว่าเป็นภรรยา อิงครัตน์กำลังจะถอยห่างออกมา แต่ชายเสื้อถูกดึงรั้งเอาไว้แม้จะไม่แรงมากนักยังสามารถเหนี่ยวรั้งให้หยุดนิ่งอยู่ ภัสสราก้มหน้าเล็กน้อยขยับเข้าหาจนหน้าผากทาบทับอยู่ที่ไหล่ของอิงครัตน์
“อยู่กับหนูก่อน แค่สองสามนาทีก็ได้” อิงครัตน์ยืนนิ่งอย่างที่บอกรู้สึกเจ็บปวดที่ทำให้ภัสสราเป็นแบบนี้ จุมพิตเล็กๆ ที่ทาบทับไปที่ศีรษะทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่มีน้ำตาไหลรินออกมา และไม่กล้าเงยหน้ามามองสบตาด้วย
“เธอเป็นคนดี สักวันก็จะเจอคนดีที่พร้อมดูแลเธอ”
“ป้าก็เป็นคนดี ทำไมถึงไม่อยู่ดูแล” ภัสสราเงยหน้ารีบเช็ดน้ำตาของตัวเองทันที
“ฉันมีพันธะ ความรู้สึกมันเพิ่งเริ่ม ถ้าหยุดตอนนี้เดี๋ยวก็จางไปเองนั่นแหละ เป็นเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือ” อิงครัตน์พูดขึ้น ขณะช่วยเช็ดน้ำตาของภัสสราที่ยังคงไหลรินออกมา
“งั้นบอกหนูหน่อย ว่าป้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เมื่อกี้ที่ไม่ผลักไสเพราะสงสารกลัวหนูเสียใจ อย่างนั้นหรือเปล่า” ภัสสราจ้องเขม็ง
“รู้สึกสิ รู้สึกมาตลอด” อิงครัตน์ยิ้มน้อยๆ ให้
“ไอ้ป้าบ้า แล้วยังจะไปอีก เกลียดแล้ว” ภัสสราโผเข้ากอดเอาไว้แนบแน่นและกระชับให้แน่นสุดแรง
“ฉันไม่อยากให้เธอมาเสียเวลากับคนแก่ที่มีพันธะ เธอต้องเข้าใจ”
“แล้วมาทำให้รู้สึกดีทำไม ถ้าป้ารู้อยู่แล้วจะเป็นแบบนี้” ภัสสรากอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฉันขอโทษ ฉันนึกว่าฉันตัวคนเดียว แต่เขากลับมา”
“ใจร้าย คนแก่นิสัยไม่ดีจะไปไหนก็ไปเลย” ภัสสราบ่นพึมพำ
“สักวันเธอก็จะเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจ ไม่ต้องมาทำดีอะไรอีกด้วย ไอ้งานที่กระทรวงที่ฝากให้หนูไม่ไปทำ ไม่อยากให้มีบุญคุณอะไรมากไปกว่านี้อีก ไม่ว่าไมตรีอะไรหนูจะไม่รับจากป้าอีก” ภัสสราพูดด้วยรู้สึกไม่พอใจที่โดนผลักไส
“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ ไอ้ที่ฉันทำไปฉันเต็มใจ ฉันชอบเธอ ชอบมากพอใจหรือยัง แต่ฉันก็มีหน้าที่ ฉันผิดฉันรู้ที่ปล่อยใจไปจนทำให้เธอโกรธ ฉันก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าเธอนักหรอก”
“ต้องดุเสียงดังขนาดนี้เลย” ภัสสราพูดเสียงอ่อยๆ
“ก็เราน่ะ ต้องให้ดุอยู่เรื่อย”
“ก็ป้านั่นแหละ ถ้ารักกัน แล้วตั้งหลายปีทำไมไม่เห็นมาหากันเลย”
“นั่นมันเหตุผลของเขา ฉันไม่รู้หรอก เรื่องมันยาว ฉันต้องไปแล้วล่ะ” อิงครัตน์ถอนใจ
“เราต้องคุยกันให้มากกว่านี้” ภัสสราพูดขึ้น
“จะมาเสียเวลากับคนแก่อย่างฉันทำไมกัน” อิงครัตน์ถาม
“เสียเวลาตรงไหน ป้าพูดเองว่าป้าชอบหนู ชอบมากด้วย หนูอยากรู้แค่นั้นแหละ ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องของใครก็ต้องไปจัดการเอาเอง”
“เอ๊าอะไรของเธอเนี่ย”
“อย่ามาพูดว่ารักหนูล่ะ หนูจะไม่ยอมปล่อยป้าไปไหนอีกเลยคอยดู” ภัสสราพูดพึมพำ
“ยอมเป็นภรรยาน้อยหรือไง” อิงครัตน์ออกจะแปลกใจกับท่าทีของสาวที่คราบน้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง แต่ดูขึงขังทั้งๆ ที่เพิ่ง
ร้องไห้ไป
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน ต้องเล่าเรื่องเมียป้ามาก่อนว่าสองสามปีที่ผ่านมาเขาหายไปไหนมา ทำไมถึงปล่อยป้าให้ถูกหนุ่มสาวแทะโลมอยู่
เมืองไทยนานขนาดนี้ ถ้าไม่อยากดูแล หนูรับอาสาแทน ตกลงตามนี้ไปออกไปเลยจะได้ลองเสื้อเสียที ยังๆ ป้ายังจะมายืนงงอะไร ไปได้แล้วเดี๋ยวภรรยาก็ตามหานึกว่าสามีหายหรอกไปเลยไป๊” ภัสสราดันตัวอิงครัตน์ให้ออกไปทันที
“เป็นภรรยาน้อยของผู้หญิงด้วยกัน จะบ้าตาย” ภัสสราถอนใจแต่เมื่อนึกถึงจุมพิตอันแสนหวานทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง