ตอนที่ 1
ดอมมินิค ไทเลอร์ ต้องทิ้งชีวิตสุขสงบในป่าสนโบราณเพื่อกลับมาดูแลกลุ่มบริษัทไทเลอร์ พาวเวอร์ กรุ๊ป ผู้นำและยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐเมื่อบิดาของเขาเสียชีวิตกะทันหัน เขากลับมาพบ รสิกา ลูกสาวของ กะรัต แม่บ้านคนสนิทซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนรู้เห็นในการตายของบิดา เขาตั้งข้อเกลียดชังและพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะบีบบังคับให้เด็กสาวคนนั้นคายความลับในสิ่งที่แม่เธอทำออกมาให้ได้
ร่างสูงสง่าในชุดสูทผ้าไหมเนื้อเป็นเงาสีดำสนิทยังคงยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างและมองออกไปยังทัศนียภาพเบื้องนอกของคฤหาสน์ ไทเลอร์ ซึ่งได้รับการตกแต่งภูมิทัศน์เป็นสวนดอกไม้แสนสวยแข่งกันเบ่งบานอวดความงามภายใต้ละอองแดดที่เริ่มบางเบาลงในช่วงใกล้อัสดงของเขตนอกเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา
เจ้าของใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักเสลาของเทพบุตรค่อย ๆ ดึงแว่นกันแดดสีชาออกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลัง
“ดอม...ลูกมาอยู่ที่นี่เองหรือ?”
ร่างสูงใหญ่หันกลับไปเบื้องหลังก็พบร่างบอบบางในชุดกระโปรงลูกไม้สีดำตัดกับผิวขาวผ่องและเรือนผมสีบลอนด์ทองของผู้สวมใส่ อิซาเบลก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า ดอมมินิค บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลไทเลอร์ซึ่งต้องรีบบินกลับมาจากเหมืองถ่านหินในเมืองเมดิสันของรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเพื่อร่วมงานศพของบิดาหลังข่าวการเสียชีวิตของอดีตผู้บริหาร ไทเลอร์ พาวเวอร์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานถูกเผยแพร่โดยสื่อไปทั่วสหรัฐ
อาจเป็นเรื่องปกติที่การเสียชีวิตของ เอ็ดมันน์ ไทเลอร์ ชายวัยห้าสิบห้าปีผู้ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลด้านพลังงานของอเมริกาจะเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมากกว่านั้นคือเอ็ดมันน์ ไทเลอร์ เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม
“ดอม...ลูกจะกลับเวสต์เวอร์จิเนียเมื่อไหร่?”
อิซาเบลถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ต่อหน้าบุรุษร่างสูงใหญ่ซึ่งนับเป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ดอมมินิค บุตรชายคนเดียวของเธอไปใช้ชีวิตสมบุกสมบันอยู่ในเหมืองถ่านหินแถบเทือกเขาแอปพาเลเชียน
ทว่าการตรากตรำทำงานท่ามกลางสภาวการณ์อันหนักหน่วงในฐานะทายาทผู้สืบทอดกิจการของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานอย่าไทเลอร์ พาวเวอร์ กรุ๊ป ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาและมีเสน่ห์ของบุตรชายคนเดียวที่หล่อเหลาเอาการลดน้อยถอยลงเลย
ตรงข้ามดอมมินิคยิ่งดูเข้มแข็ง ด้วยโครงสร้างด้านร่างกายที่ใหญ่โต ผิวสีแทนจัด ใบหน้าคมคายราวกับถอดพิมพ์ออกมาจากบิดาของเขาแทบทุกกระเบียด ทั้งเรือนผมน้ำตาลประกายทองแดงเข้ม คิ้วดกหนาและนัยน์ตาสีสนิมเหล็กกร้าวกล้า จมูกโด่งยาวเป็นสันและโครงหน้าคมเข้มด้วยสันกรามดูแข็งแกร่ง อิซาเบลรู้สึกราวกับว่าเอ็ดมันน์ยังมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเธออย่างไรอย่างนั้น
“ผมคงต้องรีบกลับไปที่เหมืองพรุ่งนี้”
“ลูกคงยังเป็นห่วงที่นี่ แม่รู้”
อิซาเบลกอดบุตรชายก่อนปล่อยเขาให้เป็นอิสระ เธอถอนหายใจหนักเมื่อเห็นสีหน้าเข้มเครียดของดอมมินิค ตั้งแต่กลับมาจากเมืองเมดิสัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนียและพิธีศพของเอ็ดมันน์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอก็เห็นว่าบุตรชายมักเข้ามาเก็บตัวอยู่ในห้องทางปีกขวาของคฤหาสน์ซึ่งหันหน้าออกไปทางฝั่งตะวันออก ที่ที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้งดงามและกระท่อมไม้หลังเล็กซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกล
“การตายของพ่อทำให้ทุกคนที่นี่ไม่สบายใจ แม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องสะเทือนขวัญ ใช่...เอ็ดมันน์ถูกใครก็ไม่รู้บุกเข้ามายิงถึงในห้องของเขา”
ซึ่งก็คือห้องที่เธอและบุตรชายกำลังยืนอยู่ในตอนนี้ มันเป็นห้องพักผ่อนอันโอ่โถงซึ่งได้รับการตกแต่งแบบแอนทีคอย่างงดงามและประณีตที่สุดจากทุกห้องที่มีในคฤหาสน์ไทเลอร์ พอมารดาพูดจบชายหนุ่มก็เหลือบไปมองกระท่อมไม้หลังน้อยที่อยู่ติดกับสวนดอกไม้ซึ่งเห็นไม่ไกล เขาขบกรามเบา ๆ ก่อนพูด
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับแม่ ผมทราบจากตำรวจว่าวันนั้นมีคนอยู่ในเหตุการณ์อีกคน เป็นแม่บ้าน ตำรวจพยายามสอบถามแต่เธอก็ให้การปฏิเสธบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่ผมสงสัยว่าแม่บ้านคนนั้นเข้าไปทำอะไรในห้องของพ่อในคืนที่เกิดเหตุ”
“กะรัตน่ะหรือ?” อิซาเบลพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เธอเป็นแม่บ้านของที่นี่”
ดอมมินิคขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นแม่บ้านคนนี้เลยล่ะครับแม่”
“นั่นเพราะลูกไม่ได้กลับบ้านมาเกือบสองปีแล้วถึงได้ไม่เคยเห็น กะรัตเป็นแม่บ้านชาวไทย เพิ่งเข้ามาทำงานอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปี มีลูกติดมาด้วยหนึ่งคนเป็นเด็กสาวอายุสิบแปดชื่อโรส นั่นเป็นบ้านที่พ่อให้กะรัตกับลูกสาวเข้าไปพักอยู่ตอนนี้”
อิซาเบลชี้ไปยังบ้านหลังน้อยซึ่งแวดล้อมไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ซึ่งดอมมินิคมองมันทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้ สายตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้จับจ้องไปยังภาพของบ้านหลังเล็กก่อนจะหันกลับมายังมารดาอีกครั้ง
“แม่ครับ ผมแค่คุยกับตำรวจเท่านั้นเรื่องคดีของพ่อ แต่ว่า...ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้คุยกับแม่เรื่องในบ้านของเราเลยสักครั้ง ผมรู้สึกว่าระยะเวลาปีกว่าที่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากและผมก็คิดว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้”
“ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอในทุกเวลาและทุกสถานที่ แม้แต่บ้านของเราก็มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่มีอะไรบางอย่างที่แม่ไม่เคยเล่าให้ลูกฟังตอนที่ลูกอยู่ที่เมืองเมดิสัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย แม่กลัวว่ามันจะทำให้ลูกไม่สบายใจ”
“ผมพบกับเรื่องหนัก ๆ มามากครับแม่ ยังมีอะไรที่หนักหนากว่าการต้องคอยดูแลเหมืองถ่านหินบนเทือกเขาแอปปาเลเชียนอีกอย่างนั้นหรือครับ”
“มีซิจ๊ะ” หญิงวัยห้าสิบโอบใบหน้าคร้ามเข้มไว้ด้วยอุ้งมือทั้งสอง “แต่มันไม่ใช่ปัญหาหนักของลูก มันเป็นปัญหาหนักสำหรับแม่ต่างหาก”
จบคำพูดชวนให้สงสัยอิซาเบลก็ลดมือทั้งสองลงและหันไปมองที่บ้านหลังเล็กนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ฉายประกายกล้าขึ้นมาเล็กน้อย