ชุดสีฟ้าสดรับกับใบหน้าใสกระจ่างตา เอวบางคอดกิ่ว สวยสะคราญ
พี่สาวนางหนึ่งในหอนางโลมเคยกล่าวว่า
"เฟิ่งหลิว หากจับนางมาขัดสีฉวีวรรณเสียหน่อย แต่งตัวด้วยอาภรณ์ดีดีเสียนิด นางจะสวยที่สุดในบรรดาเหล่านางโลมทั้งหลายที่นี่"เมื่อจับเฟิ่งหลิวให้หมุนตัวไปมาตรงหน้า
“ข้าว่าเราฝึกนางเสียหน่อย ตำแหน่งอี้จี เหมาะกับนางไม่น้อยเฟิ่งหลิวด้วยหน้าตาผิวพรรณ เหมือนชนชั้นสูงหาก แต่งองค์ทรงเครื่องฝึกมารยาทที่แข็งกร้าวของนางให้อ่อนหวานอีกนิด เกรงว่าต่อไปหอนางโลมของเราต้องมีอี้จีที่เป็นที่กล่าวขวัญแน่นอน”
ที่ผ่านมาเคยแต่สวมเสื้อผ้ามอมแมมหลวมโคลกจนมองไม่มีทรวดทรงองค์เอวแต่บัดนี้เฟิ่งหลิวเป็นสาวน้อยที่ผุดผาดน่ามอง นั่งเท้าคางคิดหาทางออก เสี่ยวหานเข้ามาด้านใน เสียงพูดคุยเบาๆ เฟิ่งหลิวย่องไปแอบฟัง
"นางอยู่ไหน"
"นางนั่งอยู่ห่างออกไป"
"นางตั้งใจยั่วยวนข้า ให้ตกหลุมพรางของนาง ดีที่ข้าไหวตัวทันหญิงงามแค่ไหนหากแสดงกิริยายั่วยวนในสายตาข้า เลือกที่จะไม่แตะต้องนางจะดีกว่า"เฟิ่งหลิวตาโตได้ยินทุกคำพูด หากยั่วยวนจะไม่แตะต้อง เป็นทางออกของเฟิ่งหลิวแล้ว อุตส่าห์กลัวแทบตายว่าเขาจะหักหาญน้ำใจ เช่นนั้นก็แค่ยั่วยวนเข้าก็จะผลักไสเฟิ่งหลิวออกมาเอง ยิ้มมุมปาก ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
"ฝ่าบาทให้นางออกไปอยู่ที่กระโจมอื่นดีหรือไม่"เสี่ยวหานหาทางออกให้
"ในกองทัพ มีแต่พวกห่างบ้านมานาน เกรงว่านางจะทำเรื่องงามหน้า นอกจากข้าเจ้าคิดว่านางจะไม่ยั่วยวนผู้อื่นหรือ” หมิงซื่อพูดกับเสี่ยวหาน เฟิ่งหลิวย่องออกไปเงียบกริบผลักประตูหน้าต่างออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
หลานซานเหลือบตามองมาตรงช่องหน้าต่างพอดี ภาพที่เห็นทำเอาชะงักงัน ร่างอ้อนแอ้นตรงหน้า กับอาภรณ์สีฟ้าขับผิวขาวให้ขาวเนียนยิ่งขึ้น ใบหน้าสดใสเหมือนบุปผาแรกแย้ม ทหารระดับล่างหลายคน เหม่อมองมาที่หน้าต่างกระโจมใหญ่เช่นกัน เฟิงหลิวหารู้ไม่ว่าตัวเองกลายเป็นอาหารตาของเหล่าทหารห่างบ้านมานาน หมิงซื่อที่สวมเพียงกางเกงแต่ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นมัดกล้ามแน่น เอื้อมมือกระชากไหล่บางแล้วดึงผ้าคลุมหน้าต่างไว้ตามเดิม
"คิดจะทำอะไร เจ้าจงใจยั่วยวนผู้คนมากมายเพื่ออะไรกัน"เฟิ่งหลิวเซถลาซบอกกว้างเปลือยเปล่า ยกมือเย็นเฉียบ ขึ้นลูบที่แผลงอกแน่นแผ่วเบา หมิงซื่อผลักร่างบางลงไปกองกับพื้น
"ไร้ยางอาย"
เฟิ่งหลิว แสร้งปิดปากหัวเราะคิกคัก เหมือนกิริยาเหล่าพี่สาวชอบทำกัน
"ฝ่าบาท กลัวว่าจะอดใจไม่ได้ไม่เป็นไร เฟิ่งหลิวยอม"ส่งสายตาเชิญชวนตามแบบที่พวกเหล่าพี่สาวในหอคณิกาสอนมา หมิงซื่อหันหน้าหนี นึกรังเกียจกิริยาของเฟิ่งหลิวเต็มทน สะบัดตัวเดินออกจากตรงนั้นไป
เฟิ่งหลิวถอนหายใจ ได้ผลอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนฟังคำดูถูกเหยียดหยามที่ผ่านมา แม้จะเป็นขอทาน หรือเด็กรับใช้ในหอนางโลมแต่เฟิ่งหลิวไม่เคยถูกใครใช้สายตาเหยียดหยามเท่าฮ่องเต้หนุ่มคนนี้เลย
ค่ำคืนที่ไร้แสงดาวเฟิ่งหลิวนั่งชันเข่า คิดถึงชะตากรรมตัวเอง ข้างนอกเงียบกริบ ไปไหนกันหมด ความคิดชั่ววูบขยับตัวย่องออกจากกระโจมใหญ่ ระหว่างนั้นเองที่หลานซาน หันหน้าไปคุยกับทหารพอดี เฟิ่งหลิวรีบวิ่งหลบออกจากตรงนั้นเร้นกายในเงามืด
"ฝ่าบาท อวิ้นกุยตามหาองค์หญิงสิบสี่ทุกหนแห่งแต่ไม่พบแม้แต่เงาขององค์หญิง ตอนนี้เร่งปิดประกาศไปทั่วแล้ว"
"ดีมาก องค์หญิงสิบสี่ตั้งใจซ่อนตัวท่านแม่ทัพคงลำบากหน่อย"
"ฝ่าบาท ยังต้องการที่จะให้เกล้ากระหม่อมตามหาองค์หญิงอยู่อีกหรือไม่ เกล้ากระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทบัญชา ให้นำ..นางคณิกาคนนั้นกลับวังหลวงแทนองค์หญิง"
"ใจข้าในตอนนี้ นางไม่มีค่าใดเทียบกับองค์หญิงสิบสี่ได้เลย"อวิ้นกุย ถอนหายใจ
"ฝ่าบาทเกล้ากระหม่อมกับหลานซานเห็นตรงกันว่าฝ่าบาทควรปล่อยนางไปเสีย หากนำนางกลับวังหลวงอาจเกิดความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น"
"เอาเป็นว่า ข้ารับฟังความคิดเห็นของพวกท่าน"
"ฝ่าบาท แม่นางเฟิ่งหลิวหายไป" เสี่ยวหานวิ่งหน้าตื่นเข้ามาพร้อมกับหลานซาน
หมิงซื่อขมวดคิ้ว อวิ้นกุ้ยประสานมือตรงหน้า
"ฝ่าบาทอวิ้นกุ้ยอาสาตามนาง" นำหลานซานและเสี่ยวหานออกไป
เฟิ่งหลิวถูกล้อมหน้าล้อมหลัง โดยทหารนอกแถวสองคน ที่ชายป่า ห่างค่ายออกมา ไม่เท่าไหร่
"อย่าเข้ามานะ" ในมือถือท่อนไม้เหวี้ยงไปมาข้างหน้า
"นางสวรรค์ สวรรค์ส่งนางมาให้พวกเรา”แสยะยิ้มน่าเกลียด คนหนึ่งอ้อมไปข้างหลังอีกคนหลอกล่ออยู่ข้างหน้าเจ้าคนข้างหน้าพยักหน้า คนข้างหลังกอดรวบร่างบางจากด้านหลังบีบข้อมือจนท่อนไม้หลุดจากมือ
"ปล่อยข้านะ ปล่อยเดี๋ยวนี้"คนข้างหน้าจู่โจมเข้าใส่ กดร่างบางให้นอนราบกับพื้นเฟิ่งหลิว ทั้งถีบทั้งกัด
"ช่วยด้วย อุ๊ป.."ปากบางโดนรวบปิดจนแน่นหมดหนทางต่อสู้ดิ้นรน ส่งเสียงอู้อี้ด่าทอ
อาภรณ์ ถูกเลิกขึ้นสูง ขาเรียวถูกตรึงไว้เฟิ่งหลิวยังคงดิ้น อีกคนจับไหล่อีกคนคร่อมร่างไว้ ดิ้นรนจนหมดเรี่ยวแรงกลัวจนแทบสิ้นสติ นึกหาหนทางที่จะเอาตัวรอด แต่ไร้หนทางเหนื่อยแสนเหนื่อย ดิ้นรนจนเหนื่อยหอบ ปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
เฟิ่งหลิวกัดฉับเข้าที่ไหล่ของคนที่คร่อมร่างอยู่
"โอ้ย"ยกฝ่ามือฟาดลงบนแก้มเนียนจนใบหน้าสะบัดไปตามแรงมือ น้ำตาไหลริน ด้วยความกลัวและความเจ็บปวด รอยฝามือแดงเป็นทาง
อวิ้นกุ้ย โผล่เข้ามาชักกระบี่จี้ไปที่คอยหอยของคนที่จับไหล่อยู่ ใช้เท้าถีบเข้าที่ คนที่คร่อมร่างของเฟิ่งหลิวอยู่
เฟิ่งหลิวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นทั้งๆ ที่อาภรณ์หลุดหลุย อวิ้นกุ้ยรับร่างบางไว้ทันก่อนที่เฟิ่งหลิวจะล้มลงกับพื้น หมดสติไปในอ้อมแขน
หมิงซื่อ ชักกระบี่จากฝักออกมาเสียบเข้าไปที่ยอดอกของทหารนอกแถวว่องไวปานสายฟ้า ล้มลงขาดใจตายทั้งสองคน
อวิ้นกุ้ย หอบเอาร่างบางไว้ในอ้อมแขนถอดเสื้อคลุมคลุมให้เฟิ่งหลิวซึ่งบัดนี้เสื้อผ้าหลุดหลุย บ้างแห่งก้ขาดวิ่น เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกให้ ใจเขาอ่อนโยนลงอย่างประหลาด ดวงหน้างามในอ้อมแขนทำเอาใจแม่ทัพหนุ่มสั่นไหว ริ้วสีแดงจากการถูกฟาดด้วยฝ่ามือใหญ่
หมิงซื่อ เดินมาตรงหน้า
“จัดการกับทหารนอกแถวพวกนี้เสียอย่าให้อุจาดตา
ออกคำสั่งอวิ้นกุ้ย อุ้มร่างหมดสติของเฟิ่งหลิวอุ้มพาเดินกลับกระโจมใหญ่
วางร่างอ้อนแอ้นลงบนแท่นนอน ใจนึกสงสารเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้า ยกมือขึ้นลูบรอยช้ำเบาๆ เหมือนกับอยากให้มันหายไป แต่อีกใจกลับสมน้ำหน้า นางคงชอบแบบนั้นอยู่แล้วบางทีพวกเขาอาจไปขัดจังหวะนางก็เป็นได้
"เจ็บ อย่าๆๆ ปล่อยข้า"ผวาสุดตัว กอดร่างใหญ่ของหมิงซื่อไว้แน่น มือใหญ่ยกขึ้น หมายจะลูบหลังให้ แต่กลับเปลี่ยนใจในทันที
ผลักร่างบางให้นอนลงกลับแท่นนอน
เฟิ่งหลิวลืมตาขึ้นช้าๆ หมิงซื่อลุกออกจากกระโจมไปทันที
นางรนหาที่เองเขาจะสงสารนางทำไม
อวิ้นกุ้ยกับหลานซานยืนรีรออยู่หน้ากระโจม เหมือนต้องการถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก หากอยู่กับหมิงซื่อมานานก็จะรู้ว่า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างดุดัน ไปชอบให้ใครทำตัวอ่อนแอหรือแสดงความสงสารออกมาให้เห็น แต่ตัวเขาเองก็มิเคยได้ระรานใครก่อนเพียงแต่การปกครองคนหมู่มากจำเป็นต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
"นางปลอดภัยแล้ว"ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกัน หมิงซื่อส่ายหน้าไปมานาง สร้างความวุ่นวายอย่างนั้นหรือหรือว่าจะมาสร้างความร้านฉาน ในหมู่พวกเขากันแน่ก็ในเมื่อสายตาห่วงใย และสายตาอ่อนโยนของอวิ้นกุ้ยและหลานซานที่เขา แน่ใจแล้วว่ามีให้เฟิ่งหลิวอย่างแน่นอน