ไฉ่เฟิ่งหลิว

1875 คำ
...ใกล้จะถึงแคว้นใต้แล้ว ….. องค์หญิงสิบสี่อิงเผยในอาภรณ์ในแบบชาวบ้านธรรมดา เดินอยู่บนทางทอดยาวสู่ตัวเมืองหลวง เสียงตะโกนดังลั่นมาแต่ไกล "หลบไปหลบไป ..ฝ่าบาทยกทัพกลับมาแล้ว...วววว"ชาวบ้านที่เดินอยู่พากันแหวกช่องตรงกลาง แล้วนั่งคุกเข่าก้มหน้า "ฮ่องเต้ และองค์หญิงสิบสี่เสด็จจจมาแล้วว"เสียงฝีเท้าม้า และเสียงแซ่ซ้องดังลั่น เบื้องหน้านั่น หมิงซื่อบนหลังม้าองอาจหล่อเหลา พร้อมด้วยแม่ทัพหนุ่มอวิ้นกุ้ยและหลานซาน องค์หญิงสิบสี่อิงเผยแอบเหลือบตามอง ผ่านผ้าคลุมหน้าถึงกับนิ่งงัน "ก้มหน้าบังอาจ"เสียงตวาดจาก ทหารที่คอยอารักขา อิงเผยกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น คนผู้นี้นะหรือฮ่องเต้แคว้นใต้หมิงซื่อ ถัดจากขบวนม้า ในเกี้ยวเฟิ่งหลิวชะโงกหน้าออกมาโบกไม้โบกมือให้กับชาวบ้าน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สดใส อิงเผยกำหมัดแน่น อิงเผยหนีออกมาเผชิญความยากลำบากในหลายวันมานี้เพื่อให้ใครก็ไม่รู้ได้ชูคอกลับเข้าวังอย่างสง่างามเช่นนั้นหรือ เฟิ่งหลิวตื่นตาตื่นใจ กลับความยิ่งใหญ่ของวังหลวงจนแทบลืมหายใจ ความยิ่งใหญ่สวยงามดุจดังสรวงสวรรค์ "เสี่ยวหาน พวกเจ้าอยู่กันในที่ที่งดงามแบบนี้หรือ" "ใช่ ที่นี่ไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น ยังมีอาหารอร่อยผู้คนมากหน้าล้วนแต่งกายสวยงามแข่งขันกัน สนมนางในแต่งกายดุจเทพีสวรรค์เพื่อประชันความงาม เครื่องประดับและของมีค่าถูกประดับประดาตกแต่ง เดี๋ยวเจ้าเข้าไปข้างในกำแพงวังก็จะเห็นเอง" "สนมนางใน" "ใช่เหล่าสนมนางใน ของฝ่าบาทแต่ล่ะคนงดงามดังนางสวรรค์ แต่ข้าก็ว่าเจ้าก็ไม่เลว หน้าตาก็พอไปวัดไปวากับเขาได้"เฟิ่งหลิวยิ้ม อวิ้นกุ้ยแอบมองรอยยิ้มนั้น เฟิ่งหลิวร่าเริงสดใสช่างชักช่างถาม เสี่ยวหานก็ทำตัวเป็นผู้รู้อธิบายไม่หยุดปาก แคว้นใต้ ในตอนนี้ถือว่ารุ่งเรืองที่สุด ประชาชนมั่งคั่งราชสำหนักรุ่งเรืองอีกทั้งยังปลอดภาษี ค้าขายได้กำไรงาม หมิงซื่อกระโดดลงจากหลังม้า ก้มลงทำความเคารพ "หมิงซื่อถวายพระพรเสด็จแม่" "ไทเฮา"เสี่ยวหานกระซิบเบาๆ ข้างหน้านั่น เฟิ่งหลิวเห็นหญิงสูงวัยท่าทีน่าเกรงขาม แต่งกายด้วยอาภรณ์งามสง่ายืนรอท่าอยู่ก่อนแล้ว "แม่อยากจะเห็นองค์หญิงสิบสี่ผู้เลอโฉมเต็มทน"หมิงซื่อหลบตาต่ำ "ไม่มีองค์หญิงสิบสี่"เลือกที่จะพูดความจริง "แล้วใครนั่งอยู่บนเกี้ยวนั่นกัน"เฟิ่งหลิว รีบลงจากเกี้ยว คุกเข่าลงข้างหน้าหัวจรดพื้น "ไฉ่เฟิ่งหลิว ถวาย...พระพรไทเฮา"คิ้วถูกขมวดเข้าหากัน "นางคือใคร เงยหน้าของเจ้าขึ้นมา"เฟิ่งหลิวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ฮองเฮาตกตะลึงจังงัง ใบหน้างดงามที่ละม้ายกันกับใบหน้าของเฟิ่งหลิวลอย เข้ามาสู่ห้วงสามัญสำนึก ปรับสีหน้าให้เป็นปกติรวมทั้งน้ำเสียง "นางเป็น หญิงสาวที่ลูกพบเจอระหว่างทาง.."หลีกเลี่ยงคำว่านางคณิกา "เพียงแค่เจอนางระหว่างทาง เจ้าถึงกลับต้องให้นางกลับมานี่ด้วยเชียวหรือ"หรือจะเป็นลิขิตสวรรค์ "ทูลไทเฮา ข้าอวิ้นกุ้ยทราบว่านางรู้เบาะแสขององค์หญิงสิบสี่ที่ระหว่างทางหลบหนีไป จึงได้แนะนำให้ฝ่าบาทกักตัวนางไว้"แม่ทัพหนุ่มรีบออกโรงจงใจออกรับแทน "อืม ดีให้นางรับใช้ที่ตำหนักของข้า"จริงใจหรือไม่ไม่อาจรู้ได้ "สวรรค์ คงกำหนดไว้แล้ว"ไทเฮาพึมพำเบาๆ "ต่อไปเจ้า รับใช้ข้างกายข้า” แววตาอ่อนโยนนางผู้นี้ ใบหน้างดงามผุดผาดทว่ากิริยาหยาบกระด้าง เห็นทีต้องขัดเกลากันอีกมาก “เฟิ่งหลิวขอบพระทัยไทเฮา” “อืม ต้านหยู๋ส่งนางที่ห้องพัก และช่วยอบรมนางให้มีกิริยาเช่นสาวชาววัง”เฟิ่งหลิวยิ้ม อย่างน้อยไทเฮาก็แสนจะใจดี ที่นี่ก็คือวังหลวงคงดีกว่าหอคณิกาอย่างแน่นอน ห้องพัก กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ต้านหยู๋ผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา กับแววตาดุดันหันมามองเฟิ่งหลิว “ห้องนี้เป็นของเจ้า ทุกวันในช่วงเช้าเจ้าต้องมาฝึกระเบียบและข้อปฏิบัติในการใช้ชีวิตในวังหลวง และช่วงบ่ายเป็นนาที่ต้องรับใช้ข้างกายฮองเฮา” “ทำไมต้องฝึกด้วย”ในเมื่อการจะเสแสร้งไม่ใช่เรื่องยากพวกพี่สาวสอนมาจนสิ้นแล้ว “การใช้ชีวิตในวังหลวงแม้แต่จะก้าวเดินหรือยิ้มแย้มก็ต้องมีระเบียบแบบแผน ใช่เจ้าจะมาทำตามใจได้ อีกอย่างเจ้ากล้าขัดบัญชาของไทเฮาหรือไร”เฟิ่งหลิวหัวหด จริงสิอย่างน้อยตอนนี้ก็มีที่พักกินมีที่คุ้มกะลาหัว เรื่องอย่างอื่นไว้ค่อยพูดกันทีหลังไม่แน่อยู่ที่นี่ทำตัวดีดี มีเงินเมื่อไหร่ค่อยกลับไปหามารดา เฟิ่งหลิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สวรรค์อาจจะเมตตาเฟิ่งหลิ่วก็ได้หากมองในแง่ดี ตำหนักฮ่องเต้หมิงซื่อ ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้อง นางกำนัลย่อตัวทำความเคารพเสี่ยวหานตามเข้าไปติดๆ ถอดเสื้อคลุมออกให้ หยิ่วเยว่เดินเข้ามาย่อตัวด้วยความอ่อนช้อย "ฝ่าบาท หยิ่วเยว่เตรียมน้ำอุ่นแช่สมุนไพรไว้ให้แล้ว"เสี่ยวหานออกไปนอกห้องปิดประตูลงกลอน หมิงซื่อดึงร่างบอบบางเข้ามากอด บดขยี้ริมฝีปากอย่างเร่าร้อน "ฝ่าบาท"ร่างบางอ่อนระทวยในอ้อมแขน กี่วันกี่เดือนแล้วที่ไม่ได้พบกันหยิ่วเยว่เป็นนางสนมที่หมิงซื่อโปรดปรานด้วยกิริยาอ่อนหวาน และน่าทะนุถนอม อีกทั้งยังไม่มีปากเสียงไม่เคยมีเรื่องเบาะแว้งกับใคร หมิงซื่อจึงเอ็นดูไม่น้อย เรียกหาบ่อยครั้งกว่าใคร สุดท้ายทุกอย่างจบลงที่บนแท่นนอน หยิ่วเยว่ลุกขึ้นแต่งกายเงียบๆ "เจ้าจะไปแล้วหรือ"หวังลึกๆ ว่าจะถูกรั้งไว้ "น้ำอาบที่เตรียมไว้เย็นหมดแล้ว หยิ่วเยว่จัดการเสียใหม่"หมิงซื่อเพียงแต่ผงกศีรษะขึ้นดู แล้วก็ปิดเปลือกตานอนคว่ำหน้าหลับใหล …..ตำหนักไทเฮา….. "ไฉ่เฟิ่งหลิว มานี่สิ"เฟิ่งหลิวคลานเข่าเข้าไปหาไทเฮา "อาภรณ์สีนี้เหมาะกับเจ้า"ยื่นส่งอาภรณ์สีชมพูที่ถูกพับไว้กรุ่นกลิ่นหอมจากการอบด้วยกลิ่นพฤกษาเฟิ่งหลิวยิ้มกว้างแสดงความดีใจจนออกนอกหน้า ยื่นมือรับพับผ้าด้วยความเร่งรีบ "ขอบพระทัยไทเฮา"มือเหี่ยวตีมือบางอย่างแรง ต้าหยู๋ส่งสายตาดุดุ "ต้องค่อยๆ มิใช่หุนหันแบบนี้ รอยยิ้มของเจ้าเปิดกว้างจนเกินงาม เผยรอยยิ้มแค่เพียงบางๆ ไม่จำเป็นต้องฉีกยิ้มให้เห็นไรฟัน"เฟิ่งหลิวตาโต พวกพี่สาวสอนมาไม่เหมือนอย่างนี้ คนพวกนั้นสอนให้แสร้งทำเป็นดีใจอย่างที่สุด เมื่อได้รับของกำนัลและไม่ได้ห้ามไม่ให้ยิ้มกว้าง แต่ให้ พูดเหมือนกับว่าเกรงใจที่เขาให้มา "ก็ เฟิ่งหลิวรู้สึกขอบพระทัยไทเฮาจริงจัง"บางอย่างคล้ายกัน บางอย่างต่างออกไป "แค่ยิ้ม แล้วขอบคุณไม่จำเป็นต้องทำเหมือนว่าดีใจจนออกนอกหน้า ต้องสงวนท่าทีไว้ เราเป็นหญิงหากเผยความนัยเสียหมดจะไม่งาม มิใช่เสแสร้งอย่างที่เจ้าคิดแต่เป็นการ สะกดกลั้นกิริยาหยาบกระด้างเกินงามให้นุ่มนวลน่ามอง ต้าหยู๋ตามหยิ่วเยว่มาที่นี่"ต้าหยู๋รีบถอยห่างออกไป เฟิ่งหลิวนั่งคอตก "เจ้ามีความสามารถด้านใด"เฟิ่งหลิวทำหน้าเลิ่กลัก "ค่อยๆ คิดอย่าแสดงกิริยาว่าวิตก หรือกำลังหาคำโกหกอยู่"เฟิ่งหลิวถอนหายใจ "เดินหมาก กับเพลงพิณและกู่เจิ้งเพคะ" "พูดช้าๆ ชัดๆ แต่ไม่จำเป็นต้องตะเบ็งเสียเจ้าคงเคยอยู่กับคนหมู่มากจึงต้องตะเบ็งเสียงที่นี่เราพูดกันค่อยๆ เพราะๆ ในวังหลวงแห่งนี้แม้กระทั่งเสียงลมพัดผ่านยังได้ยิน"จะไม่หมู่มากได้อย่างไรในเมื่อที่เฟิ่งหลิวอยู่มีเสียจ้อกแจ้กจอแจทั้งวันพูดกันค่อยๆ ไม่ได้ยิน นอกจากพวกพี่สาวจะแสร้งจีบปากจีบคอพูดอ่อนหวานกับแขกก็เท่านั้น นอกนั้นก็ตะเบ็งเสียงใสกันตลอดเวลา "เดินหมากก็ดี ฝ่าบาทชอบเดินหมากเพลงพิณกับกู่เจิ้งข้าก็พอจะชอบฟังยามบ่าย เช่นนั้นวันนี้เจ้าเห็นทีต้องเล่นเพลงพิณให้ข้าฟังเสียแล้ว"หยิ่วเยว่เดินเข้ามาย่อตัวอย่างสวยงาม "ไทเฮาหยิ่วเยว่ถวายพระพร"ย่อตัวลงสวยงามอ่อนหวาน "มาพอดี เฟิ่งหลิวนางคงอายุน้อยกว่าเจ้าหลายปี ให้เจ้าช่วยขัดเกลานางกิริยายังหยาบกระด้างไม่เหมาะกับวังหลวง"เฟิ่งหลิวมัวแต่ตกตะลึงกับความงดงามอย่างสมบูรณ์แบบของหยิ่วเยว่จนเผลออ้าปากค้าง คนอะไรจะสวยและกิริยาอ่อนหวานได้เพียงนี้ "ต้าหยู๋สั่งสอนนางแล้วหยิ่วเยว่ก็คงมิบังอาจ เพราะที่หยิ่วเยว่มีทุกวันนี้ได้เพราะต้าหยู๋สั่งสอน"คงจะคุยกับต้าหยู๋ระหว่างทางมานี่ "นางเดินหมากและเล่นเพลงพิณกับกู่เจิ้งได้ หวังจะให้นางช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าที่ต้องปรนนิบัติฝ่าบาทเพียงลำพัง ท้้งขับกล่อมทั้งเดินหมากทั้ง ….ปรนนิบัติยาม ค่ำคืน ยกให้เฟิ่งหลิวทำแทนเจ้าเสียสักเรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่าให้เฟิ่งหลิวเดินหมากกับฝ่าบาทแทนเจ้า ในวังหลวงแห่งนี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานและรู้ใจฝ่าบาทที่สุด เช่นนั้นจ้าจึงคิดว่าเจ้าช่วยขัดเกลานางก็จะดีไม่น้อย"หยิ่วเยว่โล่งใจเมื่อได้ยินว่า เดินหมาก หยิ่วเยว่ยิ้มบางๆ หันมองเฟิ่งหลิวอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มของหยิ่วเยว่ทำเอาเฟิ่งหลิวอดยิ้มตามไม่ได้ "เจ้าไปได้แล้ว ฝ่าบาทเพิ่งจะกลับมาเจ้าคงต้องเหนื่อยปรนนิบัติฝ่าบาท ไว้เจ้ามีเวลา ค่อยมาช่วยข้าขัดเกลานาง"เฟิ่งหลิวยิ้ม หยิ่วเยว่นางค่อนข้างเป็นมิตรแม้ดวงตาจะเศร้าสร้อยไปหน่อยก็ตาม "หยิ่วเยว่นางอ่อนหวาน เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเจ้าต้องเรียนรู้จากนาง" "เฟิ่งหลิว เกรงว่า" "ข้าให้เจ้าแบ่งเบาภาระนาง นางน่าสงสารไม่น้อยวันๆ ต้องคอยปรนนิบัติฝ่าบาทจนร่างกายซูบผอม ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปอุ่นเตียงให้ฝ่าบาทแทนนางเสียหน่อย แค่คอยเดินหมากให้ความสำราญฝ่าบาทก็เท่านั้น"เฟิ่งหลิวหัวหด พิณถูกยกมา วางตรงหน้าเฟิ่งหลิวมองตาไม่กะพริบ "ข้าจะพักสายตา เสียหน่อยเจ้าเล่นเพลงพิณหวานๆ ขับกล่อมข้า หากถูกใจมีของกำนัลให้แน่นอน"ไทเฮาหลอกล่อด้วยขนมหวาน เหมือนกับมีแรงจูงใจ เฟิ่งหลิวนั่งในท่าสบาย นิ้วเรียวยาวบรรจงกรีดสายพิณ เรียงร้อยจนเป็นเสียงเพลงหวานเศร้าสร้อยขับกล่อมไทเฮา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม