Chapter 3 - เลือกเอา

2797 คำ
บทที่ 3 ปัจจุบัน @ALAN MODERN-LIFE "คุณลินณ์ขา ได้เวลานัดแล้วค่ะ" เสียงเรียกของแคทเลขาส่วนตัวเอ่ยขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากหน้าจอแท็ปเล็ตและหันไปมองยังคนข้างกายที่ตอนนี้กำลังหอบหิ้วแฟ้มเอกสารไว้ในมืออย่างพะรุงพะรัง "นั่นอะไรคะ ทำไมเยอะแยะจังแค่ดีลงานกับคุณฌอนไม่ใช่เหรอ" ฉันถามออกไปพร้อมกับมองด้วยความแปลกใจ วันนี้ฉันมีนัดกับคุณฌอนที่เป็นลูกค้าคนสำคัญ เรื่องที่จะคุยก็มีแค่อธิบายงานคร่าว ๆ และก็โครงร่างที่ดีไซเนอร์ออกแบบให้ดูเท่านั้นไม่เห็นจะต้องใช้เอกสารอะไรมากมายเลย "พอดีว่าคุณอลันเพิ่งแจ้งมาน่ะค่ะว่าจะคุยเรื่องงานประมูลเครื่องเพชรของบริษัทคุณพอร์ชต่อด้วย คุณเวลตันก็มาด้วยนะคะคุณลินณ์ขา สามหนุ่มสามทหารเสือมารวมตัวกันแบบนี้พนักงานได้หัวใจวายตายกันพอดี" เธอพูดพร้อมกับทำหน้าเพ้อฝันจนทำให้ฉันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ "แล้วทำไมพี่ลันถึงไม่แจ้งลินณ์เองล่ะคะ อยู่ ๆ มานัดกะทันหันแบบนี้ได้ยังไง ไม่มืออาชีพซะเลย" ฉันบ่นอุบพร้อมกับกอดอกนึกถึงใบหน้าของพี่ชายอย่างพี่อลันที่พอจะนึกถึงสีหน้าและคำพูดออก "ขี้เกียจแจ้งมีอะไรไหมล่ะ" เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้นแทรกอย่างเสียมารยาททำให้ฉันถึงกับกลอกตาไปมาเพราะรู้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร มันจะเป็นใครได้ล่ะถ้าไม่ใช่พี่อลัน! "ทำไมพี่ลันไม่เคาะประตู เสียมารยาท!" "แหมยัยลินณ์ เดี๋ยวนี้มีมารยาทกับเค้าด้วยเหรอ" ร่างสูงของคนเป็นพี่ชายเอ่ยขึ้นและรีบเดินตรงปรี่เข้ามาหาฉันก่อนจะหยิกที่แก้มของฉันแรง ๆ จนฉันต้องรีบผลักคนตรงหน้าออก "ฮึ่ย! ลินณ์เจ็บนะพี่ลัน!" "เจ็บสิดี เดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้ายนะเราน่ะต้องโดนทำโทษ!" "ลินณ์จะฟ้องแด๊ดว่าพี่ลันชอบแกล้งลินณ์!" ฉันแลบลิ้นใส่ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปที่ประตูขืนอยู่ต่อมีหวังโดนพี่ชายคนนี้แกล้งอีกแน่ ทว่า...จังหวะที่ฉันกำลังเปิดประตูออกไปกลับมีร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดีทำให้ใบหน้าของฉันตอนนี้อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร ฉันชะงักและรีบถอยหลังแต่จังหวะนั้นกลับทำให้ฉันเสียหลักจะล้มลงแต่ก็ถูกวงแขนแกร่งของเขารวบเอวของฉันเอาไว้ได้ซะก่อน "ไม่ระวังเลยนะตัวแสบ!" เสียงทุ้มนุ่มหูของคนคุ้นเคยทำให้ฉันเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าก็พบว่าคน ๆ นั้นคือพี่พอร์ช และตอนนี้เขาก็กำลังโอบเอวฉันอยู่แถมยังเป็นท่าที่เหมือนในละครหลังข่าวไปอีก! "โอ้! สามหนุ่มมารวมตัวกันแบบนี้ดิฉันหัวใจจะวายเอานะคะ" สามหนุ่มที่ว่าน่ะก็คือพี่อลัน พี่เวลตัน และก็พี่พอร์ช ทั้งสามคนนี้เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คบกันมาหลายปีแล้วซึ่งฉันเองก็เห็นพวกเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะ ใคร ๆ ก็ต่างอิจฉายัยเฌอลินณ์ที่ถูกล้อมรอบด้วยพี่ชายสุดหล่อทั้งสามกันทั้งนั้นเพราะถูกดูแลเอาใจใส่จนกลายเป็นคนเอาแต่ใจจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ * 'อลัน' เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฉันเอง เขาหล่อและดูดีมาก แน่นอนว่าพี่ชายหล่อน้องสาวก็ต้องน่าตาสวย^^ พี่อลันเป็นเจ้าของธุรกิจ ALAN MODERN-LIFE ก็คือบริษัทนี้ที่ฉันทำอยู่นี่แหละ ส่วนธุรกิจอีกอย่างก็คือไนท์คลับหรู ตอนนี้เขาก็กลายเป็นคุณพ่อไปแล้วแถมภรรยาก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉันไปอีก โลกกลมชะมัด ** 'เวลตัน' มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลในฮ่องกง เขาหล่อ รวย และโหดเหี้ยมเกินใคร ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีเหล่าชายชุดดำเดินตามติดอยู่ตลอด เพราะวงการมาเฟียอันตรายมาก ตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อไปแล้วเหมือนกัน แต่ระดับความโหดยังคงเหมือนเดิมเพิ่มเติมก็คือความหล่อโฮก ๆ หล่อลากดิน 'พอร์ช' เอ่อ...ไม่รู้จะอธิบายยังไง อย่างที่รู้ตอนนี้พี่พอร์ชมีสองหน้าที่ในชีวิตฉันก็คือเพื่อนสนิทของพี่ชายกับคู่นอนที่นอนด้วยกันแทบทุกคืน พี่พอร์ชเป็นเจ้าของธุรกิจร้านเครื่องเพชรอันดับหนึ่งของประเทศ ถึงเขาจะนิ่ง สุขุม และเก็บตัวเองแต่จริง ๆ แล้วเขาน่ะเสือร้ายอย่าบอกใคร! "แล้วมาทำอะไรที่ห้องทำงานลินณ์เนี่ย นี่ไม่ใช่ห้องนั่งเล่นนะมันเป็นห้องทำงาน!" ฉันแกล้งโมโหกลบเกลื่อนมองผู้ชายทั้งสามคนที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ในห้องของฉันด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด "ห้องทำงานอะไรขนมเต็มเลย ดูโน่นเครื่องเล่นวีดีโอมีแต่การ์ตูนกับซีรี่ย์ ถามจริงทำงานบ้างไหมเนี่ย" ประโยคนั้นทำเอาฉันรีบหันขวับมองไปยังต้นเสียงอย่างไม่พอใจทันที "เฮีย! นั่นมันมุมพักผ่อน คนทำงานก็ต้องพักผ่อนบ้างไม่เห็นจะแปลก" ไอ้มาเฟียบ้า! กล้ามาว่าผู้จัดการอย่างเฌอลินณ์ได้ยังไงเนี่ย เรื่องทำงานฉันก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ถึงจะไร้สาระไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทำให้งานเสียหาย "เออ เรื่องงานลินณ์ไม่เคยผิดพลาดกูรับรองได้" ฉันรีบหันขวับไปมองยังต้นเสียงซึ่งเสียงนั้นก็คือพี่พอร์ชที่พูดขึ้นมา ฉันเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่ ๆ เขาก็ออกปากชมฉันแบบนี้ ปกติน่ะเหรอมีแต่จะดุจะบ่นมากกว่า "แล้วสรุปจะตอบลินณ์ได้ยังคะว่ามาทำอะไรที่ห้องทำงานของลินณ์" "นั่งดิ ยืนทำไม" "อะไรเนี่ย ลินณ์ถามว่ามาทำอะไรที่นี่" "ก็ประชุมไง ไอ้พอร์ชมันจะสั่งของจากเราไปใช้ในงานประมูลเครื่องเพชรที่กำลังจะจัดขึ้นครั้งหน้า" พี่ลันบอกย้ำพลางขมวดคิ้วยุ่งเหมือนกับว่ากำลังดุฉันอยู่แบบนั้น "แต่ลินณ์มีธุระต้องไปคุยกับลูกค้า พี่ลันก็จัดการให้เพื่อนรักไปแล้วกัน" ฉันส่ายหน้าพลางหมุนตัวและหันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อจะเดินออกจากห้องไปแต่ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเข้มของพี่พอร์ชเอ่ยขึ้นมา "คนอื่นไปคุยแทนแล้ว เราน่ะนั่งลงจะได้คุยงานสักที" คำนี้มันควรเป็นพี่ลันพูดไม่ใช่หรือไง จะมายุ่งทำไมก็ไม่รู้! "เริ่มเลยแล้วกันนะ จะได้เสร็จไว ๆ กูอยากกลับไปหาเมียหาลูกแล้ว" "เออกูด้วย คิดถึงลูกเมียโว้ย!" ทั้งพี่ลันและเฮียเวลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันทำให้ฉันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ พอจอมเจ้าชู้อย่างสองคนนี้แต่งงานก็แทบเปลี่ยนเป็นคนละคน เรียกได้ว่ายกย่องบูชาเมียแทนศาสนาที่นับถือเลยก็ว่าได้ "น่ารำคาญว่ะ รีบ ๆ ประชุมสักที" พี่พอร์ชแทรกขึ้นและปรายตามองเพื่อนสนิททั้งสองคนอย่างนึกหมั่นไส้ การประชุมเริ่มต้นขึ้นซึ่งฉันเองก็รับหน้าที่จดรายละเอียดทั้งหมดเนื่องด้วยตำแหน่งผู้จัดการและคนประสานงานจะต้องเก็บรายละเอียดของงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับลูกค้า จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าสามชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จหรือจะยุติข้อตกลงได้สักที ลูกค้าอย่างพี่พอร์ชที่สุดแสนจะเรืื่องมากสั่งเปลี่ยนของไปมา อันนี้ก็ไม่เอา อันโน้นก็ไม่ชอบ อันใหม่ก็ยังไม่ถูกใจจนฉันปวดหัวไปหมด ทั้งยังปวดท้องเพราะยังไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้ามัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาพัก หิวชะมัดเลย ฮือ! "ถ้าเจอลูกค้าอย่างมึงสักสิบคนมีหวังกูปวดหัวฉิบหายแน่" พี่ลันบอกพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับและพิงกายไปกับโซฟา ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจพยายามเปิดแท็ปเล็ตหาสินค้าตัวใหม่มาเสนอเผื่อว่าเขาจะสนใจดูบ้างเพราะถึงบ่นยังไงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ "อันนี้ล่ะคะพี่พอร์ช ชอบไหม" "พี่ว่ามันธรรมดาไป" "อืม...แล้วอันนี้ล่ะ" "ไม่ชอบ" เป็นอีกครั้งที่ต้องได้ยินคำปฏิเสธจากปากของเขา เวลาทำงานเขาเองก็จะจริงจังแถมยังอยู่ในโหมดบอสขาโหด ถึงฉันไม่ได้ทำงานใกล้ชิดกับเขาแต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเรื่องงานสำหรับเขาสำคัญมากแค่ไหน "โอ๊ย! พอ! พอแล้ว! กูไม่ไหวแล้ว" เป็นฝ่ายเฮียเวลที่โพล่งขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนเมื่อทนไม่ไหว "เออ กูก็พอแล้ว หัวจะระเบิด" "งานของกูก็ไม่ใช่ทำไมกูต้องมานั่งปวดหัวด้วยวะเนี่ย" "มึงเสือกตามไอ้ลันมาเอง" "ก็กูคิดว่าจะคุยกับไม่นานนี่หว่า ป่านนี้ลูกร้องหิวนมแล้วเนี่ย" เฮียเวลถึงกับส่ายหน้าพลางหันไปออกมองวิวด้านนอกกระจกด้วยความหงุดหงิด ปกติเขาเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นอยู่แล้วพอมาอยู่รวมตัวกันสามคนยิ่งน่าปวดหัว เพราะแต่ละคนก็นิสัยต่างกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าคบเป็นเพื่อนกันได้ยังไงนานขนาดนี้ "ลูกร้องหิวนมแล้วเกี่ยวอะไรกับมึง มึงมีน้ำนมให้ลูกหรือไง" "โอ๊ย! ลินณ์ปวดหัวกับพวกพี่มากเลย ถ้าไม่คุยงานก็รีบกลับไปได้แล้วค่ะ" ฉันตัดสินใจเอ่ยออกไปเสียงดังทำให้ทั้งสามคนเงียบลง ขืนนั่งอยู่ต่อมีหวังไส้ขาดพอดี หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย! "โห่ ไล่พี่เลยเหรอ" "ใช่! รีบกลับไปได้แล้วค่ะ ลินณ์จะไปกินข้าว ลินณ์หิว!" ฉันบอกขณะที่กำลังเดินไปยังโต๊ะทำงานเพื่อหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาเลขาส่วนตัว ไม่ไหวแล้ว! อีกห้านาทีฉันได้กินทุกอย่างตรงหน้าแน่ถ้าไม่มีอะไรตกถึงท้อง "คุณแคทคะ ช่วยเอาคุกกี้กับชาลูกเดือยเข้ามาให้ที่ห้องทีนะคะ ขอด่วนเลยนะคะ" ฉันบอกกลับปลายสายก่อนจะวางสายไปในที่สุด แต่ทุกสายตากลับมองมาที่ฉันเป็นตาเดียวราวกับว่าจับผิดอะไรบางอย่าง "เพิ่งจะสี่โมงเย็นทำไมหิวเร็ว" ฉันกลอกตาไปมา อยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ ให้พี่ชายสุดที่รักได้ยินว่ายัยเฌอลินณ์คนนี้ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าค่ะ!! "รีบกลับไปเถอะน่าพี่ลัน พวกพี่สองคนด้วย ไม่มีการมีงานทำหรือไง" "น่าตีนัก เดี๋ยวเถอะนะยัยตัวแสบถ้าไม่ติดว่าลูกเมียรออยู่พี่ไม่กลับหรอกจะอยู่ป่วนให้ปวดหัวเข้าโรงพยาบาลไปเลยเป็นไง" ให้ตาย...อย่างเฮียเวลนี่เป็นมาเฟียได้ไงเนี่ย บทจะต๊องก็ต๊องเกินใคร "เฮ้ย ๆ นินทาพี่ในใจอะพี่ได้ยินนะ" "รีบกลับไปเลยชิ่ว ๆ" ฉันทำท่าไม่สนใจนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหมุนมันเพื่อหันหลังให้กับพวกเขาทั้งสามคน "เออ กลับกันเถอะว่ะ ไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าขอคุณผู้จัดการเขา" ฉันรีบหันขวับไปมองยังต้นเสียงจนกระทั่งทั้งสามคนเดินออกจากห้องไป ถ้าฉันมีแรงเหลือก็อยากจะต่อปากต่อคำเถียงกับพวกเขาอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้มันไม่ไหวจริง ๆ เพราะหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว! "ฮือ เมื่อไหร่จะมา หิวจะตายแล้วเนี่ย" ฉันนั่งคอตกพิงศีรษะกับเก้าอี้รอให้คุณแคทเอาของว่างมาเสิร์ฟ อย่างน้อย ๆ ทานคุกกี้รองท้องก็คงจะช่วยได้หน่อย พลั่ก! เสียงประตูถูกเปิดออกทำให้ฉันยิ้มร่ารีบหมุนเก้าอี้หันไปมองยังต้นเสียงด้วยความดีใจทันที แต่ทว่ากลับต้องรีบหุบยิ้มนั้นและขมวดคิ้วยุ่ง เพราะคนที่เข้ามาไม่ใช่เลขาของฉันแต่เป็นพี่พอร์ช! "พี่พอร์ช" "เอาข้าวมาให้" มือหนาวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะตรงหน้าฉันด้วยความเรียบนิ่งผิดกับฉันที่กำลังตกใจจนทำตัวไม่ถูก "อะ...อะไร" "ก็หิวไม่ใช่เหรอพี่เอาข้าวมาให้นี่ไง รีบกินซะ" คนตัวโตเอ่ยก่อนจะนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามฉันพร้อมกับกอดอกมองไม่วางตาซึ่งฉันเองก็ได้แต่แปลกใจในเมื่อเอาข้าวมาให้ก็ควรจะรีบกลับไปสักทีสิจะมานั่งมองหน้าฉันเพื่ออะไร "แล้วมองหน้าลินณ์ทำไม" "พี่รอให้ลินณ์กินหมดก่อน" "กลับไปได้แล้วน่า อยากให้คนอื่นรู้นักหรือไง" ถ้าเขาอยู่นานคนอื่นก็คงสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทของพี่ชายถึงเข้ามาอยู่ในห้องทำงานเธอแบบนี้ "ทำไมไม่กินข้าว จะรอให้ปวดท้องไส้บิดก่อนหรือไง" เขาไม่ตอบคำถามของฉันแต่กลับแทรกเรื่องอื่นขึ้นมาแทนแถมตอนนี้ยังมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่องเหมือนว่าฉันทำเรื่องผิดนักหนา "ก็ลินณ์ต้องทำงาน ไม่ใช่ไม่อยากกิน ไม่ใช่ไม่หิว แต่ลินณ์ไม่มีเวลา" "ก็พี่ซื้อมาให้แล้วไง รีบกินซะ" "ไม่กิน" ฉันกอดอกและหันหน้าหนีไปอีกทาง หิวอยู่หรอกแต่หยิ่งมากกว่า เขาตั้งใจเข้ามาดุฉันชัด ๆ เลย! "ลินณ์ รีบกินข้าว" เสียงเข้มทุ้มต่ำเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมกับแววตาคมที่จดต้องมาที่ฉันนิ่ง "ไม่กิน ลินณ์สั่งเองได้พี่พอร์ชไม่ต้องมายุ่ง" "ถ้าลินณ์ไม่กินพี่ก็จะเอาลินณ์ตรงนี้" "พี่พอร์ช!" ประโยคนั้นของเขาทำให้ฉันเบิกตากว้างรีบหันขวับไปหาเข้าอย่างไม่พอใจ นี่มันห้องทำงานนะไม่ใช่ห้องนอนไม่รู้ว่าตั้งใจจะขู่ให้ฉันกลัวหรืออะไรแต่บอกได้เลยว่า ฉัน กลัว มาก! เพราะฉันรู้ว่าเขากล้าทำแบบนั้นที่นี่จริง ๆ คนอย่างเขาน่ะไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำหรอก โดยเฉพาะเรื่องอย่างว่า "เลือกเอาว่าจะกินข้าวหรือจะทำอย่างอื่น" ไม่ว่าเปล่าคนตัวโตยังค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้ามาหาฉันราวกับว่าจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ "จะขู่ทำไมนักหนา" ฉันทำท่าฟึดฟัดหยิบกล่องข้าวตรงหน้าออกมาทำตามที่เขาสั่ง "พี่ไม่ได้ขู่ พี่พูดจริงแล้วก็จะทำจริง ๆ ด้วย" "ฮึ่ย! คนบ้าอำนาจ" ฉันหันไปอีกทางเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก รีบกินเขาจะได้รีบกลับไปสักที ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไรชอบออกคำสั่งเก่งยิ่งกว่าผู้บังคับบัญชาการซะอีก! "คืนนี้พี่คงไม่ได้ไปหาที่คอนโดฯ นะพอดีว่าติดธุระ" "อืม" ฉันตอบรับอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต่อไป "ไม่ถามหน่อยเหรอว่าไปไหน" "ไม่อะ เรื่องส่วนตัวของพี่ลินณ์ไม่อยากยุ่งหรอก" "ลินณ์มีสิทธิ์ยุ่งนะเพราะลินณ์เป็น..." "แค่คู่นอนไม่มีสิทธิ์มากขนาดนั้นหรอกพี่พอร์ช พี่จะทำอะไรมันก็เรื่องของพี่ลินณ์ไม่อยากยุ่ง" ฉันเงยหน้าขึ้นเอ่ยออกไปพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งเช่นกัน ตามปกติแล้วพี่พอร์ชจะมาหาฉันที่คอนโดฯ แทบทุกวันแต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้มาสักเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะงานยุ่งหรือติดธุระอะไรฉันเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามเขามาก มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายหรือยุ่งเกี่ยว ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้แต่เราก็ตกลงกันอย่างชัดเจนในสถานะว่าจะไม่ล่วงล้ำอะไรที่มันเกินเลย ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิต หากวันนั้นมาถึง...วันที่ความสัมพันธ์บ้า ๆ นี้จบลงก็จะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องและต้องยอมรับทุกการตัดสินใจของกันและกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม