เลยได้แต่บอกให้ตัวเองหยุดร้องได้แล้ว นี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ตัวเองจะต้องแสดงให้จบ และต้องแสดงให้แนบเนียน เหมือนที่เขาเคยบอกและเขาเองก็กำลังทำอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
“เชิญที่โต๊ะได้เลยครับ”
พอแขกผู้ใหญ่คนสุดท้ายรดน้ำสังข์เสร็จ ผู้จัดการคนเดิมก็เดินมากระซิบให้ไปนั่งยังโต๊ะกลางห้อง ตรงหน้านั้นมีเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากี กำลังมองมาหาพร้อมกับยิ้มให้ มือบางจรดปลายปากกาลงในสมุดเคียงข้างเขา
“เป็นเจ้าสาวที่มีนามสกุลยาวมากเลยค่ะ แถมยังสวยราวกับเป็นเจ้าหญิงอีก เจ้าบ่าวโชคดีจริงๆ ค่ะ”
นั่นเป็นคำของเจ้าหน้าที่จากสำนักทะเบียน ไม่กี่นาทีต่อมาอาภาภัทรก็ได้รับกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาถือไว้แล้ว ก้มมองลงไปดูก็เห็นข้อความที่ประกาศว่าตัวเองเป็น ‘นางสาวอาภาภัทร ดิษยากรกุล ชไนเดอร์ เดชาโชติช่วง’ เรียบร้อยแล้ว ช่างภาพกดชัตเตอร์รัว เมื่อทั้งสองถือทะเบียนสมรสไว้คนละใบ ท่ามกลางเสียงปรบมือของแขกเหรื่อดังขึ้น
อาภาภัทรเงยหน้ามองบรรดาญาติทางฝ่ายตัวเอง ที่ต่างปรบมือพร้อมกับยิ้มมาหา ก็เลยยิ้มหวานๆ ให้ เป็นการตอบแทน ด้วยรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มของทุกคนนั้น ในใจต่างเต็มไปด้วยความอิจฉาหรืออาจจะค่อนไปทางริษยา แถมพร้อมจะมารุมดึงหรือทึ้งทันที เพียงแค่ได้กลิ่นของความผิดปกติเท่านั้น
“เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวตอนถือทะเบียนสมรสด้วยครับ”
ตากล้องร้องบอก ไม่ถึงอึดใจก็รู้สึกได้ว่าตรงแก้มมีจมูกของเขามาจ่ออยู่ อาภาภัทรเลยเอียงแก้มให้นิดๆ ปากก็ยิ้ม ตาก็มองไปยังคัทลียา ศรีสกุลชัยที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีชมพูหรูหราที่กำลังมองมาหา
ใบหน้าแต่งไว้สวยหมดจดและไร้ที่ตินั้น ถูกเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับเห็นสายตาที่มองมาหานั้น หาได้มีมิตรไมตรีอันดีไม่ แต่มันเต็มไปด้วยแววตาแห่งความเกลียดชังหรืออาจจะถึงขั้นเคียดแค้นก็เป็นได้
เลยรีบฉีกยิ้มกว้างให้ เป็นการบอกให้ผู้หญิงที่เป็นอดีตของเขารู้ว่า ใครคือคนที่ได้ชัยชนะมาครอบครอง แม้จะเป็นชัยชนะจอมปลอมก็ตาม แต่ตัวเองก็จะไม่มีวันปล่อยข่าวรั่วไหลให้ถึงหูใครได้ เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลดิษยากรกุล
ตอนถอนทุน
“เจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวไปเลยครับ เดินช้าๆ ด้วยนะครับ ขอเก็บภาพสวยๆ ไว้หน่อยครับ”
ในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม เป็นอีกครั้งที่ตากล้องคนเดิมร้องสั่ง หลังจากทักทายแขกโต๊ะสุดท้ายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปยังคฤหาสน์หรูหรา ซึ่งจะใช้เป็นที่ส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ
“ตากล้องบริษัทนี้ขยันสั่งจังเลยนะครับ”
ดรณ์บ่นน้อยๆ แต่ใบหน้านั้นยังคงเปื้อนยิ้ม เพราะมีแขกเหรื่อต่างจับตามองเป็นพันคู่ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเจ้าสาวแล้วช้อนตัวขึ้น พาเดินไปหาโรสรอยจอดรออยู่ด้านหน้า
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวตามหลัง เขาไม่วายพาเจ้าสาวหันกลับไปหาแขกเหรื่อแล้วโค้งให้เป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินออกไปหารถด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับหิ้วอะไรบางอย่างไปเพียงเท่านั้น
“อุ๊ย!”
“ยิ้มสิ! คุณไม่เห็นเหรอว่าคนมาส่งเรามากแค่ไหน อยากให้เขารู้หรือไง”
เจ้าสาวตกใจไม่น้อยเมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้วยังถูกช้อนตัวให้ขึ้นไปนั่งบนตักเขา แถมยังลดกระจกลงแล้วโบกมือให้แขกที่ตามมาส่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เลยจำต้องทำตาม กระทั่งรถแล่นออกไปช้าๆ แล้วเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ ถึงได้พยายามพาตัวเองลงไปนั่งเบาะ แต่ก็ดันถูกวงแขนแข็งแรงรั้งไว้
“ทำไม! กลัวจะอดใจไม่ไหวจนปล้ำเจ้าบ่าวก่อนได้ส่งตัวเข้าห้องหอหรือไง ถึงได้อยากจะลงจากตักผมขนาดนี้”
เลยถูกค่อนขอด และนั่นทำให้นึกเกลียดความหยาบของเขาขึ้นมา เลยพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
“โอ๊ย”
คนอุ้มเลยยกออกจากตัก แล้วโยนลงไปหาเบาะจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ถ้าไม่กลัวว่าคนขับรถซึ่งก็คือผู้ช่วยมือหนึ่งของเขากับทีมงานอีกคนที่นั่งคู่กันมาได้ยิน เชื่อแน่ว่าจะเหน็บกลับให้หนักๆ หรือไม่ก็อาจจะถึงขนาดใช้สองกำปั้นทุบไปไม่ยั้ง ยังดีที่สติอยู่ครบถ้วน เลยแค่ขยับไปนั่งอยู่อีกฟากเท่านั้น
ราวสี่สิบห้านาที รถก็มาจอดอยู่หน้าประตูไม้เนื้อดี ที่ค่อยๆ เปิดออกด้วยรีโมตคอนโทรล จากนั้นรถก็แล่นตามถนนคอนกรีตไปจอดยังคฤหาสน์หลังงาม ใหญ่โตโอ่อ่าสไตล์สแปนิช จำได้ว่าแม่ปลื้มใจมากในแรกที่ได้เห็น ยิ่งได้รู้จากปากของเขา ว่าราคารวมที่ดินแล้วสองร้อยกว่าล้าน แม่ยิ่งปลื้มมากกว่าเดิม
“ไม่น่าเชื่อนะว่าคุณดรณ์จะรอดหูรอดตาแม่ไปได้ เสียดายเวลาจริงๆ ที่มัวแต่ไปมองพวกเศรษฐีจอมปลอมพวกนั้นตั้งนานสองนาน”
แม่เข้ามากระซิบบอก ในวันที่เขาพามาบ้านนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่เขาก็กำลังยื่นแขนให้ยายเกาะเดินชมบ้านไปด้วยความอารมณ์ดี สายตาที่เขาหันกลับมามองในเย็นวันนั้น ช่างสร้างความอบอุ่นในหัวใจให้เหลือเกิน
จำได้ว่าตัวเองใจเต้นตึกตัก เมื่อความรักที่มีต่อเขาเพิ่มระดับขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ด้วยเขานั้นช่างหล่อเหลาเหลือร้าย ภายใต้ชุดลำลองสบายๆ คือกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายปิดบั้นท้ายสอบ ส่วนแขนเสื้อนั้นก็พับขึ้นไปสามทบ
“ทั้งหมดมีกี่ห้องนอนคะ”
แม่ถามเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง ตาก็มองบ้านไปเฉยๆ ราวกับเห็นข้าวของธรรมดา แต่อาภาภัทรรู้ดีว่าภายในใจนั้นแม่แทบจะกระโดดโลดเต้น
“ข้างบนห้าห้องนอนหกห้องน้ำครับคุณน้า”
เขาเองก็หันมาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้ายิ้มน้อยๆ ไปด้วย
“บ้านดูกว้างดีจังค่ะ”
ยายที่ยังคงเกาะแขนเขาเดินดูไปอย่างช้าๆ เอ่ยด้วยท่าทีเฉยไม่ต่างกัน และนั่นอาภาภัทรก็รู้ดีว่ายายเองก็เก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้อย่างมิดชิดไม่แพ้แม่ทีเดียว