“แล้วทำไม ไม่ชอบเหรอได้คู่หมั้นหล่อๆ อย่างฉันเนี่ย”
“เฮอะ!”
“เฮอะอะไร”
“ก็เฮอะคือเฮอะไง”
ใยไหมพูดพลางสาดน้ำใสบาดลึกอารมณ์ใส่ลำคออีกครั้ง และก็คว้าแก้วที่สองจนเขาต้องรั้งมือไว้
“เลิกดื่มได้แล้ว จะพากลับบ้าน”
“ไม่กลับอะ แล้วไม่ต้องมายุ่งด้วย”
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่แต่งตัวยั่วผู้ชายทั้งโลกแบบเนี้ย กลัวจะไม่ถึงบ้าน”
“ยั่วยังไง”
ใยไหมก้มมองหน้าอกหน้าใจของตัวเองที่แทบล้นทะลักออกมาเกยอยู่กับขอบโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ พร้อมกางฝ่ามือซ้ายขวากระชับเต้าอิ่ม เขย่าน้อยๆ แบบภูมิใจ
“อ๋อ... ก็แค่นมใหญ่ ใครๆ ก็ชอบผู้หญิงนมใหญ่ทั้งนั้นแหละ แล้วแม่ก็ให้มาเยอะ จะเรียกว่า ‘ยั่ว’ ได้ไง ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด แค่เกิดมานมใหญ่และสวยมากก็เท่านั้นล่ะ”
อังกูรส่ายหน้ากับคำพูดอ้อแอ้เหมือนคนลิ้นจะพันกัน ถ้าเป็นในยามที่ใยไหมยังมีสติเต็มร้อย เขาคงได้ด่าหล่อนเปิงแน่ที่กล้าหาญชาญชัยพูดคำทุเรศๆ แบบนี้ออกมาได้ แต่เพราะรู้ว่าเวลานี้กระแสเลือดของหล่อนคงมีแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ไม่น้อย คำพูดเหล่านี้เลยกลายเป็นคำขำๆ สำหรับเขา เพราะถ้าเป็นใยไหมยามปกติ คงไม่กล้าอวดอ้างสรรพคุณว่าตัวเองนมใหญ่ซะขนาดนั้น เพราะทุกครั้งที่เห็นก็คือหล่อนจะใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งช่วยอำพรางนมขนาดใหญ่ให้ดูปกติสมส่วน
แต่เห็นกันแบบชัดๆ จัดเต็มแบบนี้ ก็ต้องเรียกว่าผิดปกติไปมาก เพราะคนอะไร ‘ตัวเล็กแต่นมใหญ่มากกกกก...’
คิดได้ดังนั้นอังกูรจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปส่งสัญญาณให้บริกรเช็กบิลโต๊ะนี้ ก่อนจะถอดเสื้อสูทสีฟ้าเทาซึ่งเป็นธีมเดียวกันกับชุดเดรสที่ใยไหมสวมใส่อยู่เพราะเป็นชุดของเพื่อนเจ้าบ่าว นำไปคุมไหล่เปล่าเปลือย เพื่อให้ตัวเสื้อช่วยปิดบังเนื้อเนียนและอำพรางความนูนใหญ่นั้นได้บ้าง แต่มันก็แทบจะปิดไว้ไม่มิด
“อะไรเนี่ย... ก็บอกว่ายังไม่กลับ พูดไม่รู้เรื่องเหรอ”
ใยไหมพยายามจะปัดสูทออกจากตัว แต่เขาไม่มีทางยอม พาตัวเองเข้าไปนั่งแนบชิดและโอบประคองร่างเล็กเอาไว้ จะไม่ยอมให้หล่อนถอดออก ก็ถ้าถอดออกได้มีคนเห็นนมใหญ่ๆ อีกนะสิ
“ต้องกลับเดี๋ยวนี้”
“กลับเองได้ ไม่ต้องยุ่ง!”
“จะไปส่ง”
“ทำไม...”
คนหน้าสวยและหอมกรุ่นเรียกอารมณ์ห่ามๆ หื่นๆ ไปทั้งตัวหันมาถาม ดวงตาปรือหน่อยๆ นั้นมันกำลังเพิ่มแรงยั่วเย้า และริมฝีปากที่ขยับพูดก็ทำเอาอังกูรต้องกลืนน้ำลายกันทีเดียว
“อย่าบอกนะ ว่านมใหญ่ๆ เนี่ย มันยั่วพี่กูรขึ้น ไม่ได้นะ... ไม่ได้จริงๆ”
คนร่างเล็กที่ชูนิ้วชี้ขึ้นมาจนชิดปากก่อนจะส่ายไปมาเสียดสีพร้อมพูดว่าไม่ได้ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ทำให้อังกูรอึ้งไปชั่วครู่ที่ใยไหมทำแบบนั้น ก่อนจะยิ้มเหี้ยมเพราะพยายามสะกดกลั้นตัวเองสุดฤทธิ์
‘ทำไมนะ’ เขาถึงได้เห็นว่าใยไหมน่ารักมากมายขนาดนี้ ท่าทางเมาปลิ้น พูดเอ๋อๆ อ๋องๆ แบบความคิดไม่ได้ผ่านสมอง พร้อมทั้งแตะเนื้อต้องตัวของเขาไปด้วยแบบไม่ได้มีทีท่ารังเกียจหรือมีกำแพงอะไรบางอย่างกั้นกลางระหว่างสองเรา กำลังสร้างอารมณ์หนึ่งบังเกิด และเขาก็ไม่คิดจะยั้งไว้
“ทำไมไม่ได้”
ถามแบบยั่วเย้าตอบกลับไป อยากให้หล่อนต่อปากต่อคำ แต่ใยไหมกลับขืนตัวเองออกจากอ้อมกอด ท่าทางโอนเอนไปมาจะพับลงกับอกของเขา แต่แล้วหล่อนกลับขืนตัวไปพิงพนักเบาะ เหมือนคนสติมาๆ ไปๆ เดี๋ยวเขม่นมองเขา สะบัดส่ายใบหน้าแบบไม่แน่ใจ เดี๋ยวทำหน้าบึ้งใส่แบบเง้างอน เดี๋ยวก็มีแววยินดีปนเศร้า แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ใยไหมสับสนกับความรู้สึกนานกว่านี้แน่ เพราะสายตาจากโต๊ะข้างเคียงกำลังมองตรงมา นั่นคือสงสัยว่าเขาจะทำอะไรกับใยไหมกันแน่
อังกูรจับหล่อนซุกลงมาหาอกเขาเสียเลย เพราะประกาศตัวว่าเป็นคู่หมั้นต่อหน้าผู้ชายกลุ่มนั้นไปแล้ว ก็ต้องสมจริงสมจังกันหน่อย และเขาจะป้อนคำถามที่อยากรู้ให้ใยไหมตอบ
ว่ากันว่า ‘คนเมามักไม่พูดโกหก’ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะจริงไหม เพราะส่วนตัวก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมาปลิ้นสักครั้ง แต่วันนี้เขาจะพิสูจน์กับใยไหมนี่แหละ เพราะเมื่อหล่อนคว้าแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เขาไม่ยั้ง จากนั้นก็กระชับอ้อมกอดพร้อมป้อนคำถามทันที
“ว่าไง ทำไมไปส่งไม่ได้”
“ก็ไม่อยากยุ่งด้วยไง”
“ทำไมไม่อยากยุ่งล่ะ”
“ก็คนเลวไง ไม่อยากยุ่งด้วย ไม่อยากให้กอด ปล่อย... อย่ามาถูกตัว ไปนั่งไกลๆ เลย”
คำตอบงุ้งงิ้งกับอกพร้อมร่างแบบบางพับไปพับมา ยังพยายามดิ้นรนด้วยแรงน้อยนิดให้เขาปล่อย แต่เขาไม่ปล่อยแน่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ‘คนเลว’ นั่นใยไหมหมายถึงเขาเหรอ
“ใครคือคนเลว”
“คนนี้”
นิ้วน้อยๆ จิ้มอกเขา เล่นเอาหัวใจอังกูรไหววูบ เขาเหรอคนเลว เลวยังไง แบบไหน แล้วอะไรที่ทำให้ใยไหมคิดแบบนั้น แต่คนเลวต้องเอ่ยชื่อสิ
“คนเลวชื่ออะไร”
“ชื่อ…”
ถามเจาะจงเพราะต้องการคำตอบชัดเจน ใยไหมกลับขืนตัวออกแบบเนือยๆ เงยหน้ามองเขา ดวงตาปรือแบบหลับๆ ตื่นๆ สะบัดศีรษะไปมา แต่ศีรษะก็ยังไม่เล่นด้วยเอาแต่จะเอนพับไปซ้ายขวา ใยไหมจึงเปลี่ยนเป็นเคลื่อนฝ่ามือประคองใบหน้าเขา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“คนนี้ล่ะ ชื่อพี่กูร… คนเลวอะ ไม่อยากยุ่งด้วยเลย คนเลว ไม่อยากยุ่งด้วย”