และเขาก็ทำให้หล่อนจินตนาการไปไกลว่าหากหล่อนกับเขามีลูกด้วยกัน จะน่ารักได้มากมายแค่ไหน ในเมื่อเขาหล่อเหลาปานเทพบุตร ส่วนหล่อนน่ะแม่ก็ชมเสมอ ‘ถ้าไหมลดความกระโดกกระเดกลงหน่อย แม่ว่าหัวกระไดไม่แห้งแน่ รู้ไหมลูก นารีมีรูปเป็นทรัพย์’
หล่อนรู้สิ รู้ตัวดีว่า ‘นารีมีรูปเป็นทรัพย์’ และรู้ตัวด้วยว่าหน้าตาหล่อนไม่ได้ขี้ริ้วเลย แต่หล่อนไม่อยากให้หน้าตานี้ไปต้องใจใคร
แม้ตอนเริ่มแตกเนื้อสาวหล่อนเคยคิดแบบสาวน้อยวัยเพ้อฝันว่าอยากมีลูกกับเขา เพราะสายตาเขาที่เมียงมองมามันคือคนคิดแบบเดียวกัน แต่เขาก็แผดเผาความฝันที่เพิ่งจุดติดในใจหล่อนไม่เหลือ
ใยไหมแค่นยิ้มพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่ ความฝันเพ้อๆ ของหล่อนถูกเขาแผดเผามอดไหม้เป็นจุณ เพราะเขาก็เป็นผู้ชายที่หล่อปานเทพบุตรแต่หัวใจกลับไม่ต่างจากซาตาน
ผู้ชายใจร้ายใจดำอย่างเขา ใครจะไปกล้ามีลูกด้วย
โชคดีแค่ไหนแล้วที่หล่อนรู้เรื่องทุกอย่าง เพราะหากหล่อนถลำลึกลงไป มีหวังเขาคงให้หล่อนไปเอาเด็กออกเหมือนอย่างที่เขาเคยทำไง
‘ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้ เขา… ก็คงไม่หันมามองพี่’
เสียงคร่ำครวญร้าวรานของคนหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือด แม้จะมาแล้ว 10 ปีกว่า แต่เสียงนั้นยังเหมือนดังก้องอยู่ในหัวจนสลัดไล่ไม่ได้
ใยไหมกระดกเหล้าเข้าปากตามอารมณ์ ไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย
“เอ่อ...”
แต่ผู้ชายหล่อๆ ที่ทำเสียงอึกอักก็ทำให้ใยไหมต้องหันมองเขาอีกครั้ง ยิ้มน้อยๆ แบบเป็นมิตรก่อนจะค่อยๆ ขยับปากพูดสิ่งที่คิด ทั้งที่ปากหนักๆ ช่างไม่เป็นใจ
“ชะ…”
“รอนานไหมไหม โทษที กว่าพี่จะออกมาจากงานได้ตั้งนาน”
ใยไหมมองผู้ชายที่พรวดพราดมาที่โต๊ะของหล่อนอย่างกระหืดกระหอบ ดวงตาหนักอึ้งปรือๆ พยายามเบิกให้กว้างขึ้น เพราะเสียงนี้หล่อนจำได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่เหรอ ทว่าใบหน้าหล่อจัดที่ส่งยิ้มกว้างมาให้นี้ หล่อนก็ว่ามองไม่ผิดนะ
ใบหน้าสวยสะบัดส่ายไปมา เป็นอังกูรจริงๆ แต่หล่อนรอเขาเหรอ?
“ฮะ… พี่กูร”
“ก็เออดิ! อะไร ให้นั่งคอยแค่นี้ งอนจนดื่มไม่ยั้งเลยเหรอ”
ผู้ชายตรงหน้ากวาดสายตามองแก้วเหล้าบนโต๊ะ ก่อนจะมองผู้ชายอีกคนที่ทำท่าอึกอักกว่าเดิม
“เอ่อ… คุณ… เพื่อนไหมเหรอ”
เขาถามมองหน้าหล่อนและมองหน้าผู้ชายหน้าตี๋นั่นไปมา แต่หล่อนยังไม่ทันอ้าปากพูด เพราะริมฝีปากราวจะอ้าช้ากว่าที่ใจหล่อนคิด อังกูรก็ยื่นมือให้ผู้ชายอีกคนจับ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอังกูร เป็นคู่หมั้นของไหมครับ”
“คู่หมั้นเหรอครับ”
อังกูรมองชายหนุ่มตรงหน้าที่ทวนคำพูดของเขา ใบหน้าอึกอักไปกว่าเดิมก่อนจะหันมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่พยักพเยิดให้กลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่โดยมารยาทก็ควรคุยให้จบ แต่คนคุยน่ะเป็นเขาและต้องจบ
“ครับ เอ… ถ้าผมจำไม่ผิด นี่คุณพีชหรือเปล่าครับ ลูกท่านพิชิต”
“ครับ คุณรู้จักคุณพ่อผม”
น้ำเสียงดีขึ้นแบบรู้ว่ารอดหมัดแน่ นั่นยิ่งทำให้อังกูรยิ้มกว้างแบบเป็นมิตรมากขึ้นอีก หน้าตาทางธุรกิจคือสิ่งที่เขาต้องรักษาและตลอดระยะเวลาหลายปีที่ออกงานแทนพ่อแม่ รับหน้าที่เป็น ‘นายหัวอังกูร’ เต็มตัว เพื่อให้พ่อกับแม่ได้ใช้ชีวิตส่วนตัวด้วยกัน เขาก็เรียนรู้แล้วว่า น้ำขุ่นอยู่ในน้ำใสอยู่นอกนั้นเป็นอย่างไร
แต่เวลานี้น้ำข้นๆ ที่อยากอยู่ในมันกำลังส่งผลให้เขาแทบจะสะกดกลั้นความกราดเกรี้ยวไว้ไม่ไหว ยามฝ่ามืออีกฝ่ายสัมผัส เขาอยากบีบมันให้แหลก อยากจิ้มตาที่มันมองความอวบ อึ๋ม นวล น่าขยำขยี้นั้นด้วย
“ครับ ผมรู้จักดีเลยล่ะครับ วันเสาร์นี้เรามีนัดประชุมกลุ่มผู้ผลิตปาล์มน้ำมันที่บ้านท่านด้วยกันด้วยนะครับ”
“อ้าวเหรอครับ ธุรกิจเดียวกัน อ๋อ… ผมรู้จักคุณ ไม่สิ ผมรู้จักนายหัว นายหัวอังกูร ของ AA ปาล์มกรุป ถึงว่าสิ ชื่อคุ้นๆ เอาเป็นว่าผมไม่กวนดีกว่า นายหัวจะได้คุยกับ... เอ่อ… คู่หมั้นด้วย”
“นี่ใยไหมครับ คู่หมั้นผมเอง อยู่กลุ่มผู้ผลิตปาล์มเหมือนกันครับ ถ้าวันเสาร์นี้คุณพีชไปร่วมประชุมด้วยก็จะได้เจอกัน แต่ตอนนี้เธอน่าจะไม่พร้อมคุย”
อังกูรพูดติดตลกแกมเอ็นดูหญิงคนรักกับท่าทางเมาๆ อ๋องๆ ที่หันหน้ามองเขาทีมองพีชที และนิ้วของหล่อนก็ชี้ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจะพูดแต่ปากก็ไม่ตามใจหล่อน นั่นทำให้ลูกชายท่านพิชิตยิ้มแหยก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับไปที่โต๊ะ ท่ามกลางสายตาห่วงใยของผองเพื่อน
ดวงตาคมกร้าวมองตามไป เขารู้ว่าท่าทางและน้ำเสียงแบบนี้สามารถจัดการผู้ชายให้ห่างไกลจากใยไหมได้ ไม่เพียงเฉพาะพีชและผู้ชายทั้งกลุ่ม แต่จะเป็นผู้ชายทั้งจังหวัดที่รู้จักกลุ่มเพลย์บอยหนุ่มโสดพวกนั้น
คำพูดปากต่อปากกันไปว่า ‘นายหัวอังกูรเป็นคู่หมั้นกับใยไหม’ ใครมันจะกล้ามาขายขนมจีบอีก ก็ให้รู้ไป
นั่นสิ ‘ให้รู้ไป’ เขาต้องการให้คนอื่นรู้เหรอ ที่แอบอ้างออกไปแบบนั้นช่างเป็นความคิดที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองในสมอง เพราะเขาควรจะบอกว่าเป็นพี่ชายที่มารับน้องสาวกลับบ้าน ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดก็เป็นนายตัวเอง ทำให้เขาต้องไหลไปเรื่อย แก้สถานการณ์ไปให้ตลอดรอดฝั่ง
“พูดแบบนั้น... ทำไม”
อังกูรนั่งลงตรงหน้าคนที่พูดอ้อแอ้ ชี้หน้าเขาแบบคาดโทษ
“แบบนั้นแบบไหน”
“ก็เรื่องคู่หมั้นไง”