ตำหนักจิ่งเหยินกง ยามห้าย (สามทุ่ม-ห้าทุ่ม)
ร่างสมส่วนในชุดคลุมลายมังกรทองเดินตรงไปยังที่พักของพระสนมเจาอี๋ด้วยท่วงท่าสง่างาม ขบวนเสด็จมีทั้งขันทีและนางกำนัลเดินตามไม่มากนักเนื่องจากเจ้าตัวไม่ค่อยชอบความวุ่นวายเท่าไหร่
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เหล่านางกำนัลตำหนักพระสนมเจาอี๋ล้วนคุกเข่าลงพื้นเพื่อทำความเคารพผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปด้านในไม่ได้สนใจใครจนกระทั่งพบร่างอรชรกำลังลุกขึ้นทำความเคารพเช่นกัน
“ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าออกไปให้หมด” กายกำยำสะบัดชายเสื้อคลุมพลางนั่งลงตรงโต๊ะน้ำชา
“เพคะ” เมื่อข้ารับใช้ทั้งหลายไม่อยู่แล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษนั่งมองกันอย่างไม่ลดละ
“เจ้าคงไม่เกรงอาญาเลยสินะ” แม้นางจะจ้องหน้าเขาแต่กลับทำตามธรรมเนียมที่รอให้ผู้มีระดับชั้นสูงกว่าเอ่ยวาจาก่อน
“เหตุใดหม่อมฉันจึงต้องกลัวเล่าเพคะ” หย่าจือแย้มยิ้มหวานรับแขกอย่างที่ใช้ประจำยามต้องออกไปพบลูกค้าในชีวิตก่อน
“เนื้อหาในจดหมายของเจ้า หากข้ามาดหมายใส่ความยัดข้อหาคิดลอบปลงพระชนม์หลานทั้งสองของข้า เจ้าและตระกูลถังคงถูกประหารเก้าชั่วโคตร” ดวงตาคมลอบมองท่าทางนิ่งเฉยของสตรีตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปร่งแปลกเหมือนว่าอีกฝ่ายดูมีแววตาเปลี่ยนไป
“พระองค์คงไม่อยากใช้อำนาจในตอนนี้หรอกเพคะ” เขายังต้องเก็บเขี้ยวเล็บไว้ใช้กับพวกขุนนางชั่วมากกว่าหาเรื่องตระกูลเล็กๆ เช่นตระกูลถัง
“เจ้าคิดว่าจะต่อรองกับข้าได้อย่างนั้นหรือ” พระสนมเจาอี๋ที่สินเดิมติดตัวยังมีน้อย ไร้คนหนุนหลัง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่มีสิ่งใดมาใช้เป็นหมากในกระดานสักนิด
“เพคะ หม่อมฉันอยากยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสองคน” มือบางขาวผ่องรินน้ำชาหอมกรุ่นใส่ถ้วยที่หมดให้ชายหนุ่ม เขาช่างหล่อเหลายิ่งกว่าที่คาดไว้ ไม่แปลกใจเลยหากวังหลังแห่งนี้จะร้อนเป็นไฟจากความริษยาของบรรดาเหล่าสนม
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้น ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้พูด” นั่นหมายความว่าหากมันไร้สาระ นางอาจไม่มีทางได้พูดอีก
“เป็นพระกรุณาธิคุณยิ่งเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา การที่พระองค์ซุกซ่อนพระนัดดาทั้งสองไว้ในตำหนักเฉียนชิง มันเป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น เพราะสุดท้ายตราบใดที่ยังไม่มีคนรับหน้าที่ดูแล ก็มีโอกาสเป็นเป้าหมายในการโจมตีสูง โดยเฉพาะกับ ‘หนู’ ในตำหนักที่พระองค์ยังไม่สามารถจับตัวมันได้” จากเนื้อหาในนิยายแม้ไม่ได้บอกว่าสายลับคนนั้นคือใคร แต่ถ้าเดาไม่ผิดย่อมต้องเป็นคนใกล้ชิดที่สามารถเป่าหูเด็กน้อยให้คล้อยตามโดยง่าย มิเช่นนั้นมีหรือหลานในไส้จะหมายปองบัลลังก์ผู้ที่เลี้ยงดูตนมา
“เจ้า…” ไม่คิดเลยว่าสตรีตรงหน้าจะล่วงรู้ไปถึงจุดนั้น เพราะเขาเองก็ยังควานหาตัวคนที่ปล่อยให้มือสังหารลอบเข้ามาไม่ได้เช่นกัน
“แม้ยามนี้ตระกูลถังจะไร้ซึ่งอำนาจ และพระองค์ก็ไม่สามารถพระราชทานตำแหน่งขุนนางสุ่มสี่สุ่มห้าได้ หม่อมฉันจึงไม่คิดจะวอนขอในเรื่องนั้น เพียงแต่….หากหม่อมฉันสามารถสร้างอำนาจให้ตระกูลถังได้ภายในสามเดือน พระองค์จะทรงยอมมอบตำแหน่งหนึ่งในสี่พระสนมขั้นเฟยพร้อมสิทธิ์ในการดูแลพระนัดดาทั้งสองให้หม่อมฉันได้รึไม่เพคะ โดยแลกกับ ‘สัญญาเลือด’ ที่ตระกูลถังจะเป็นโล่คานอำนาจบรรดาเหล่าขุนนางให้กับพระองค์ พร้อมทั้งดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพระนัดดาจวบจนกว่าจะพบคู่ครองที่เหมาะสม และ…หม่อมฉันสามารถช่วยแนะนำเรื่องการปกครองได้ด้วยซึ่งนั่นอยู่ที่ว่าพระองค์จะใจกว้างพอรับฟังคำแนะนำจากสตรีรึไม่”
กระดาษห้าหกแผ่นถูกวางลงตรงหน้าร่างสูงที่ยังคงจ้องมองคนพูดไม่ละสายตาไปไหน ท่วงท่ามั่นอกมั่นใจต่อการเจรจาช่างดึงดูดให้คนคล้อยตามยิ่ง โดยเฉพาะยามเอ่ยถึง ‘สัญญาเลือด’ มันมิใช่สัญญาทั่วไป แต่เป็นสัญญาที่เขียนด้วยเลือดของทั้งสองคน ก่อนทำพิธีกล่าวปฏิญาณต่อสวรรค์ หากใครละเมิดผิดคำสัญญา สายเลือดของพวกเขาจะพบหายนะไปจวบจนชั่วลูกชั่วหลาน มันมิใช่สิ่งที่จะกล่าวออกมาลอยๆ ได้
สวีหมิงฉวนหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านทีละแผ่น ดวงตาเฉี่ยวคมดุจพญาอินทรีไล่กวาดสายตาไปทีละตัวอักษร ยิ่งอ่านไปเท่าใดความคับข้องใจกลับเพิ่มขึ้นจนมิอาจเก็บเอาไว้ได้ ทันทีที่อ่านจบกายแกร่งก็ผุดลุกคว้าสองแขนนุ่มนิ่มของพระสนมเอาไว้แน่น
“เจ้าเป็นใคร” เสียงทุ้มกดต่ำจนบรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกน่าหวาดหวั่น ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้ทำให้โฉมสะคราญแสดงสีหน้าตกใจออกมา นางคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“แล้วพระองค์คิดว่าหม่อมฉันคือผู้ใดเล่าเพคะ” จะทำการใหญ่หากยอมปล่อยให้ถูกกดข่มโดยง่ายก็มีแต่แพ้กับแพ้ ถังหย่าจือมีประสบการณ์ต้องต่อรองกับผู้ถืออำนาจมากกว่ามาหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาน่ากลัวอยู่มากทีเดียว
ไม่ว่าจะมองมุมไหนหญิงสาวนางนี้ก็เป็นเพียงบุตรีจากตระกูลขุนนางระดับกลางมิผิดตัวแน่ ก่อนพระสนมทั้งเก้าคนจะเข้าวังย่อมมีการตรวจสอบที่เข้มงวด รวมไปถึงองครักษ์ของฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบขุดเบื้องลึกเบื้องหลังว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับขุมอำนาจใด ดังนั้นย่อมไม่มีทางเกิดการสวมรอยขึ้น สุดท้ายคำตอบย่อมมีเพียงข้อเดียว นางคือถังหย่าจือ สตรีที่ได้ครอบครองตำแหน่งพระสนมเจาอี๋
“เจ้าซ่อนความสามารถมาตลอดเลยสินะ” สิ่งที่เขียนในกระดาษเหล่านั้นนอกจากแผนการปกครองโดยทั่วไปแล้วยังมีการแก้ปัญหาหน้าแล้ง รวมไปถึงปัญหาการจัดงบประมาณด้วย
“หม่อมฉันมิได้ซ่อนมันไว้ เพียงแต่นกที่สวยงามย่อมถูกจ้องมองอยู่แล้ว และถ้ามีความสามารถโดดเด่นด้วยคงโดนเพ่งเล็งยิ่งกว่าเดิมเพคะ” พระสนมเปรียบเสมือนนกในกรงทอง เพียงความงดงามก็ทำให้หลายคนพากันอิจฉาอยู่แล้ว
“เพราะเช่นนั้นเจ้าจึงไม่คิดเสริมอำนาจของตระกูลถังตั้งแต่แรก แม้นจะทำได้อย่างนั้นรึ” นางช่างมองไกลเกินกว่าสตรีทั่วไปนัก ทำเอาชายหนุ่มอดที่จะให้ความสนใจไม่ได้
“ถ้าหม่อมฉันมีคนหนุนหลัง คงอยู่ในตำแหน่งเจาอี๋ได้ไม่เกินหนึ่งปีหรอกเพคะ” วังหลังเต็มไปด้วยสารพัดสัตว์มีพิษ มีหรือที่นางจะรอดได้โดยง่าย
“เจ้ามั่นใจหรือว่าจะทำให้ตระกูลถังเรืองอำนาจขึ้นมาทัดเทียมตระกูลใหญ่ได้” ความแคลงใจยังคงฉายชัดในดวงตาคมกริบคู่นั้น
“พระองค์คิดว่าอำนาจแสนหอมหวานมาจากสิ่งใดเพคะ ยศฐา ชาติตระกูล กองกำลัง เปล่าเลย เงินต่างหากที่เป็นอำนาจอย่างแท้จริง” ริมฝีปากสีสวยฉีกยิ้มกว้างจนเต็มใบหน้า มันช่างตราตรึงเสียจนใจแกร่งเผลอวูบไหวไปครู่หนึ่ง
“ไม่ว่าจะยศฐา ชาติตระกูล หรือกองกำลัง ขอเพียงมีเงินก็คงได้มาไม่ยาก มิคิดเลยว่าคุณหนูในห้องหอเช่นเจ้าจะมีความคิดแบบนี้” นางหาได้เกิดในตระกูลคหบดีไม่ อีกทั้งเท่าที่จำได้ตระกูลถังก็มิได้มีการค้าขายใด ฐานะทางการเงินนั้นนับได้ว่าพอมีพอกินเท่านั้น
“แล้ว….คำตอบของพระองค์เล่าเพคะ” ดวงตาคู่สวยทอประกายระยิบระยับเหมือนจิ้งจอกตัวน้อยกำลังรอสิ่งที่หมายปอง
“หากภายในสามเดือนเจ้าสามารถผลักดันตระกูลถังขึ้นสู้กับอำนาจของตระกูลใหญ่ได้ ข้ารับปากจะลงนามในสัญญาเลือดของเรา”
หมิงฉวนฮ่องเต้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขากำลังต้องการผู้ที่ไว้ใจได้มาเป็นหมากในมือเพื่อสู้กับคนพวกนั้น และคิดว่าอีกฝ่ายก็คงต้องการใช้ฐานะฮ่องเต้ของเขาเป็นเกราะคุ้มภัยเช่นกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีสิ่งที่ต้องการ ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลองดู ซึ่งสำหรับหย่าจือแล้วนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย
...............................................................................................