ตอนที่ 6 จดหมายจากสตรีนางนั้น

1443 คำ
ตำหนักเฉียนชิง ห้องทรงงานของฮ่องเต้ ในห้องอันเป็นระเบียบมีร่างสูงสมส่วนของชายสูงศักดิ์นั่งอยู่ท่ามกลางกองเอกสารด้วยใบหน้าดำคล้ำ สวีหมิงฉวนวางฎีกาในมือลงพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มหม่นหมองจากการนอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายคืน ตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ไม่มีครั้งไหนอาการหนักเท่ากับครั้งนี้ อาจเป็นเพราะคืนนั้นตนถูกวางยาในสุราจึงไร้สติจนเดินเข้าตำหนักจิ่งเหยินกงของเจาอี๋หนึ่งในพระสนมเอกและได้เข้าหอกันอย่างไม่คาดคิด เขาแทบจำไม่ได้เลยว่าคืนนั้นเกิดอันใดขึ้นบ้างกระทั่งตื่นเช้ามาพบร่างเปลือยเปล่านอนอยู่ข้างกาย สุดท้ายจึงเลือกกลับตำหนักโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่เลวทรามมาก แต่ยามนี้อำนาจในมือเขาไม่พอจะปกป้องใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะตัวเขาเองหรือหลานฝาแฝดทั้งสองก็ตามที หากดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอาจทำให้สตรีผู้นั้นถูกสังหาร ผ่านมาหลายวันแล้วทุกอย่างในวังหลังกลับยังเงียบจนน่าประหลาดใจ หวังว่าสนมคนอื่นๆ คงไม่เตรียมการเคลื่อนไหวเพราะเรื่องนี้หรอกนะ “ฝ่าบาท นางกำนัลคนสนิทของพระสนมเจาอี๋มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีหน้าห้องดังขึ้นดึงสติคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดให้กลับมา “นางมีธุระอะไร” ปกติแล้วเขาออกคำสั่งห้ามสนมคนใดมารบกวนที่ตำหนักหลักเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงวุ่นวายไม่เป็นอันทำงานทำการ “พระสนมทรงฝากจดหมายมาให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบนั้นทำให้หมิงฉวนฮ่องเต้อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ตั้งแต่คืนเข้าหอก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ไฉนเลยจึงเพิ่งอยากคุยกับเขาเอาตอนนี้ คราแรกนึกว่านางจะมาร้องห่มร้องไห้เรียกร้องความสนใจเสียอีก “ผู่กงกง ไปนำมันมาให้ข้า” มังกรหนุ่มออกคำสั่งกับข้ารับใช้คนสนิท “พ่ะย่ะค่ะ” ผู่เติ้งเชาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ นายเหนือหัวของเขาหาใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวังหลังไม่ ถ้าเป็นยามปกติคงไล่ตะเพิดนางกำนัลกลับไปหาเจ้าของแล้ว “คารวะผู่กงกง” หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มโค้งคำนับผู้มีฐานะสูงกว่าพร้อมยื่นซองจดหมายไปตรงหน้า “เรียนพระสนมเจาอี๋ว่าฝ่าบาทได้รับจดหมายแล้ว” นั่นหมายความว่ามันจะไปถึงมือของฮ่องเต้แน่นอนโดยไม่ถูกเผาทิ้งเสียก่อน “ข้าน้อยจะกราบทูลพระสนมตามนั้นเจ้าค่ะ” ฉู่หงรู้สึกเหมือนตนใช้โชคดีของทั้งชีวิตจนหมด นึกว่าจะถูกองครักษ์หน้าประตูตำหนักขับไล่เสียด้วยซ้ำ ผู่เติ้งเชาพยักหน้ารับก่อนกลับเข้าตำหนักเพื่อส่งของในมือให้เจ้านาย บุรุษสูงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่สนใจทั้งที่เก็บซ่อนความสงสัยไว้ และเมื่อจดหมายได้รับการตรวจสอบว่าปลอดภัยมันก็ถูกวางลงบนโต๊ะทรงงาน ฟึ่บ มือหนาวางพู่กันก่อนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว แต่หลังจากกวาดสายตามองตัวอักษรในนั้นได้ไม่นานบรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยความกดดันทันที “ผู่กงกง” “พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟันจนขันทีคนสนิทถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นไปตามขมับ “พลิกป้ายวันนี้ ข้าจะไปตำหนักจิ่งเหยินกง” ดวงตาคมหรี่มองเนื้อหาในจดหมายอีกครั้ง ‘กราบทูลฝ่าบาท ความจริงแล้วหม่อมฉันมิได้ต้องการมารบกวนแต่อย่างใด เพราะถึงยังไงเสียเราสองคนก็มิได้มีเรื่องที่จำเป็นจะต้องสนทนากัน เพียงแต่หากพระองค์ยังทรงต้องการปกป้องพระนัดดาทั้งสองให้พ้นภัย หม่อมฉันก็มีหนทางอยากจะเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะลองฟังข้อเสนอก่อนตัดสินใจ’ “นางกินดีหมีหัวใจเสือเข้าไปรึอย่างไร” ริมฝีปากหยักพึมพำออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น ตั้งแต่ประโยคแรกนางก็กล่าวประหนึ่งว่าเรื่องคืนนั้นไม่ได้สำคัญอะไร มิมีความจำเป็นต้องมาพูดคุยกับเขาเสียด้วยซ้ำ จากนั้นนางจึงพูดถึงส่วนสำคัญที่ต้องการ ราวกับรู้ว่าหากมีเพียงสักคำที่หวังจะโน้มน้าวให้เขาเห็นใจ จดหมายฉบับนี้คงถูกเผาทิ้งจนไม่เหลือซาก “กระหม่อมน้อมรับบัญชา” ผู่กงกงฉงนใจไม่น้อยกับท่าทีของนายเหนือหัว ดูเหมือนว่าวังหลังที่เคยเงียบสงบจะเต็มไปด้วยคลื่นลมอีกครั้ง ‘ถ้านางคิดจะลงเดิมพันในครั้งนี้ ข้าก็อยากรู้ว่านางจะเอาตัวรอดไปได้เช่นไร’ หลังจากคืนนั้นข่าวลือเรื่องที่หมิงฉวนฮ่องเต้เสด็จไปใช้ค่ำคืนแรกกับพระสนมเจาอี๋ก็โด่งดังทั่ววังหลวง แต่ที่ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวโจ่งแจ้งเป็นเพราะเขาไม่ได้พระราชทานของรางวัลไปที่ตำหนักจิ่งเหยินกงอย่างที่ควรกระทำ นั่นอาจหมายถึงคืนที่ผ่านพ้นไปนั้นไม่เป็นที่พอใจ ยิ่งไม่มีการพลิกป้ายเป็นครั้งที่สองหลายคนจึงยังรอดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ กระนั้นหากคืนนี้ยังคงเลือกพลิกป้ายตำหนักของพระสนมเจาอี๋อีก เกรงว่าสตรีในวังหลังคงอยู่เฉยกันไม่ได้แล้ว “เสด็จอา!” เสียงเล็กๆ สองเสียงประสานกันพร้อมร่างนุ่มนิ่มวิ่งเข้ามาในห้อง เด็กชายและเด็กหญิงวัยห้าหนาวผู้เป็นพระนัดดาของฮ่องเต้ยิ้มระรื่นโดยไม่สนธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งก็ไม่มีใครในห้องกล้าตักเตือน ในเมื่อคนที่มีอำนาจที่สุดยังไม่ตำหนิแล้วใครจะกล้า “เสี่ยวหยาง เสี่ยวเหยา วันนี้ก็มาหาขนมที่ตำหนักของอาอีกแล้วหรือ” คนตัวโตทักทายหลานฝาแฝดด้วยรอยยิ้มจาง “เพคะ หลานอยู่ที่ตำหนักเบื่อจะแย่แล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยทำหน้ายับยู่ ทั้งสองไม่มีอะไรให้ทำมากนักจึงชอบแวะมาก่อกวนเสด็จอาเสมอ “พวกเรารบกวนเสด็จอารึไม่พ่ะย่ะค่ะ” สวีมู่หยางเอ่ยถามด้วยความกังวล บางครั้งเขาก็ได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าเพราะมีพวกตนสองพี่น้องทำให้เสด็จอาจะพบปัญหาเกี่ยวกับทายาทสืบบัลลังก์ในอนาคต ทั้งที่เขาและน้องสาวไม่มีความสนใจเรื่องเหล่านั้นเลยสักนิด “ไม่หรอก มานั่งนี่สิ ขนมมาแล้ว” ผู่กงกงได้รับรายงานตั้งแต่แรกว่าพระนัดดาทั้งสองกำลังเดินทางมาจึงได้สั่งคนให้เตรียมขนมและน้ำชาเอาไว้พร้อมสรรพ “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าตัวกลมรีบนั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้กับผู้เป็นอา ขันทีคนสนิทมองภาพนั้นแล้วได้แต่สงสารเชื้อพระวงศ์ทั้งสาม ชีวิตที่เกิดมาบนเส้นทางอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของคนในตระกูล เหลือกันอยู่เพียงเท่านี้ก็มิได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต้องคอยดูทิศทางลมหลบเลี่ยงไม่ปะทะมาหลายปีเพื่อหวังว่าสักวันราชวงศ์จะมั่นคง ใช่ว่าฝ่าบาทไม่รู้ถึงความเสี่ยงจากการนำพระนัดดามาดูแลในตำหนักตนเอง แต่เพราะไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกแล้วจึงต้องทำเช่นนั้น การลอบสังหารเกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อคราที่ทั้งสองพระองค์ยังเป็นทารก หากไม่ย้ายเข้ามาอยู่ตำหนักเฉียนชิงเกรงว่าคงมิอาจรอดพ้นจนเติบใหญ่ เหล่าพระสนมเองก็เฝ้ารอวันที่จะได้ฉกฉวยแย่งชิงอำนาจในวังหลัง ขุนนางมากมายต่างหมายตาตำแหน่งที่เว้นว่างเพื่อส่งลูกหลานเข้ามากินส่วนแบ่งเนื้อชิ้นโตนี้ เรียกได้ว่าฮ่องเต้สวีหมิงฉวนต้องรับศึกทุกด้านจริงๆ “เสด็จอา หม่อมฉันมีเรื่องอยากถาม” ขณะที่แก้มขาวเคี้ยวตุ้ยๆ สวีมู่เหยาก็เกิดนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เจ้าสงสัยสิ่งใดงั้นหรือ” ชายหนุ่มละมือจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วมองหลานสาวตัวน้อยพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ “น้องของหม่อมจะเกิดมาเมื่อไหร่” พรวด! เสียงสำลักน้ำชาดังก้องไปทั่วห้อง บุรุษสูงศักดิ์ผู้สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ถึงกับไอออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้มาจากอาการสำลักหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เจ้าตัวน้อยกลับโดนซักไซ้ไล่เรียงขนานใหญ่ว่าเหตุใดจึงถามเช่นนั้น ...............................................................................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม