Chapter 1
‘คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่’
มันเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจฉันมาตลอด จนฉันอายุย่างเข้าสามสิบปี ซึ่งตัวฉันเองก็พยายามหาความหมายของมัน หรือแม้แต่ความหมายของความรักก็ตาม
พรหมลิขิตจะมาหาเราในตอนไหน เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันคือพรหมลิขิต มันเกิดจากการกระทำของเราเอง หรือคนบนฟ้าเป็นคนลิขิตเราไว้แล้ว
แต่ฉันไม่ได้เชื่ออย่างนั้น
มนุษย์เราก็มี ความรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหา นี้แหละคือโลก ฉันท่องเที่ยวอยู่ในโลกที่กว้างใหญ่ มาเกือบสองปี และฉันยังไม่เคยเจอเลยว่าพรหมลิขิตคือใคร ใครลิขิตเรา หรือเราลิขิตตนเอง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้ออกไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาที่นิยมมากที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนสาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีคนจำนวนไม่น้อยไปจับจ่ายใช้สอยตามสินค้าที่เขาต้องการ ตามชั้นที่เรียงซ้อนกัน ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคียว ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดื่มมากมาย และรวมไปถึงของสดใหม่ตลอดวัน
ในขณะที่ฉันยืนอยู่ใต้ต้นซากุระที่เบ่งบาน ดอกซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมา เพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือ โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เชื่อกันว่า เป็นพระนาง ที่เป็นผู้ริเริ่มปลูกต้นซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้ตั้งชื่อตามพระนามของนาง
วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เทพนินิงิได้ขอพระนาง โอโฮยามัทซูมิ เพื่อขอนางมาเป็นชายา
ในตอนนั้นโอโฮยามัทซูมิได้เสนอธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหิน แต่เทพนินิงิไม่ยอมยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์ดังปรารถนา
และมันมีคำเชื่อที่ว่า ใครอยากพบรักแท้ หรือเนื้อคู่ ให้ลองมาขอพรที่ใต้ต้นซากุระในเวลาพลบค่ำ
แต่ในครั้งนี้ฉันจะลองเชื่อดูสักครั้ง
ดอกซากุระก็ได้ล่นร่วงลงมาอยู่บนมือในขณะที่ฉันกำลังเล่นโทรศัพท์ เพื่อเช็คอินในโซเชียลว่าฉันกำลังอยู่ที่ไหน จากนั้นฉันก็มองกลีบดอกซากุระสีชมพูอ่อน และหยิบมันออกมา จากนั้นนำมันมาไว้บนฝ่ามือพร้อมกับเอามือมาประสานกันไว้ที่หน้าอก
จากนั้นฉันค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ และอธิฐานในใจว่า ‘ถ้าตำนานเป็นเรื่องจริง ฉันขอให้ได้เจอเนื้อคู่ รักแท้ หรือพรหมลิขิตในเร็ววัน’
เมื่ออธิฐานเสร็จ ฉันก็ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น พลันสายตาของฉันเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังมองมาทางฉันเช่นเดียวกับฉันที่มองเขา
เขามีรูปร่าง ไม่ใหญ่มากนัก ส่วนสูงก็คงราว ๆ ร้อยแปดสิบเซนซิเมตร สิผิวขาว ทรงผมรองทรงสูงสีน้ำตาล แต่งตัวสบาย ๆ เสื้อยืดสีดำ สวมเสื้อฮู้ดสีเทา กางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม เหมือนจะเป็นลูกครึ่ง ฉันสังเกตได้จากรูปร่างและลักษณะของเขา
ชายคนเดิมได้ก้าวขามาทางฉัน ซึ่งฉันอยู่ห่างจากเขาออกไปประมาณห้าร้อยเมตร เสียงหัวใจที่อยู่ในอกข้างซ้ายมันกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่ฉันเพิ่งอธิฐานไปยังไม่ถึงห้านาทีเลยนะ คำอธิฐานจะแสดงผลออกมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่าตำนานเป็นเรื่องจริง คงไม่หรอกมั่ง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นกัน ไร้สาระนา!
ฉันส่ายหน้าไปมาเพื่อปัดไล่ความคิดออกจากศีรษะ พร้อมกับก้าวขาเดินออกไปจากจุดที่ยืน อากาศเริ่มหนาวเข้าไปทุกที ฉันเองคงต้องรีบกลับที่พักแล้วล่ะ
“นี่คุณ” น้ำเสียงทุมต่ำของบุคคลปริศนา พร้อมกับมีมือใครบางคนจับแขนฉันไว้ จากนั้นฉันค่อย ๆ หันหน้าไปตามเสียงเรียกอย่างช้า ๆ เขาคือผู้ชายคนนั้นที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อสักครู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฉันยิงคำถามเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมสีหน้าที่สงสัย ส่วนเขาก็ปล่อยมือออกจากแขนฉันทันทีที่ฉันหันไปเผชิญหน้ากับเขา
“ผมเป็นลูกครึ่งครับ พูดไทยได้” เขาส่งยิ้มมาให้ฉันอย่างเป็นมิตร พร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ชวนมอง
“อ๋อค่ะ มีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”
“พะ...พอดีว่าผมมาเที่ยวที่นี้คนเดียว ผมพยายามมองหาคนที่มาจากประเทศเดียวกัน” เขาทำหน้าง่อยด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าลง “ผมอยากจะขอคุณเป็นเพื่อน และมาเป็นเพื่อนเที่ยวกับผม” เขาเอ่ยปากเชิญชวนพร้อมกับต้องการเพื่อนเที่ยวเพิ่ม
“ดะ...ได้ค่ะ” ฉันตอบออกไปน้ำเสียงที่สั่นด้วยความงง และสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ“ ริมฝีปากสีส้มอ่อน ๆ ไม่รู้ว่าเป็นสีธรรมชาติหรือสีที่เติมแต่งจากลิบมันที่ใช้ไว้สำหรับคนทีมีริมฝีปากแห้ง
“ฉันชื่อ ฟ้างาม ค่ะ” ฉันตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นมิตรให้เขา
“ชื่อน่ารักจังครับ” เขาเอ่ยปากชมชื่อเล่นของฉัน จนทำให้ฉันนั้นแทบตั้งตัวไม่ติด
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครชมฉันหรือจีบฉันหรอกนะ แต่เพราะฉันอาจจะเลือกมากเกินไป เลยทำให้ผู้ชายหลาย ๆ คนไม่อยากจะเข้ามาจีบฉัน
“ขอบใจนะ เป็นชื่อที่พ่อกับแม่ฉันตั้งให้” จริง ๆ ก็ไม่อยากบอกหรอกนะ เห็นแก่ความหล่อละกัน อิอิ