1
“ว่าไงนะ จะมากู้เงินฉันหนึ่งแสน มีอะไรมาค้ำประกันเงินกู้ไหม ถ้ามีฉันจะให้”
เสียงของคุณนายผกาผู้ร่ำรวยและแสนเค็ม ปล่อยเงินกู้ด้วยดอกเบี้ยแสนหฤโหด ดังก้องอยู่ในโสตประสาทหูฝังแน่นเข้าไปในจิตสำนึก จริงสิเธอแบกหน้ามาขอกู้ยืมเงินแต่ไม่มีหลักประกันอะไรเลย อย่างนี้เธอจะได้เงินไปรักษายายที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง
“บ้านที่อยู่ท้ายสวน พอจะค้ำประกันได้หรือเปล่าคะคุณนาย”
คุณนายผกาหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อได้ยินคำพูดที่ชวนหัวเราะของสาวแสนซื่อคนนี้
“ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก บ้านของเธอที่อยู่ท้ายสวนมันมีค่าถึงแสนหนึ่งเหรอ แม่ต้นข้าวใช้อะไรคิดยะ”
คุณนายแสนเค็มหัวเราะอีกครั้งเมื่อพูดจบ มิหนำซ้ำยังเหยียดอีกฝ่ายด้วยสายตา ส่งผลให้สาวน้อยหน้าใสแสนซื่อนามว่าพิตตนันท์หน้าเจื่อนลงทันที จริงอย่างที่นางพูดบ้านเก่าขนาดนั้นได้เงินแค่ห้าพันก็ถือว่ามากแล้ว
“งั้นต้นข้าวขอตัวกลับก่อนนะคะ”
พิตตนันท์ขอตัวกลับทันทีเพราะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะขายขี้หน้าเปล่าๆ หญิงสาวก้าวออกมาพ้นประตูห้องรับแขกอย่างเศร้าสร้อยและเป็นทุกข์ เพราะไม่รู้ว่า จะหาเงินได้จากที่ใด โดยไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามยืนฟังการสนทนาของเธอและคุณนายผกาอยู่
มารุตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายผกา เดินตามพิตตนันท์ออกมา เพื่อยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเธอ แลกกับเงินหนึ่งแสนบาท หลังจากที่ยืนฟังเหตุผลของการมาขอกู้เงินในครั้งนี้
“เดี๋ยว ต้นข้าว” มารุตร้องเรียกหญิงสาวเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ร่างบางหยุดชะงัก หมุนตัวกลับไปมองผู้เรียก
“มีอะไรคะคุณรุต” หญิงสาวเอ่ยถาม
“เธออยากได้เงินหนึ่งแสนบาทอยู่หรือเปล่า” มารุตถามตรงจุด
“คุณรุตจะให้ต้นข้าวยืมหรือคะ” พิตตนันท์ถามอย่างมีความหวัง ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้ม
“อืม ให้เลยล่ะ ไม่เอาคืนด้วย” มารุตตอบ
“จริงหรือคะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง ในที่สุดเธอสามารถหาเงินไปรักษาอาการป่วยของยายที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลได้แล้ว
“แต่มีข้อแม้นะ”
“อะไรคะ”
“ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า เพราะว่าเราต้องคุยกันยาว”
มารุตเดินนำหญิงสาวไปที่โต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่กลางสนามหน้าบ้านเรือนไทย การสนทนาจึงเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อทั้งสองทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อน
“เธอฟังฉันให้จบก่อนนะแล้วค่อยแย้งตกลงไหม”
มารุตรู้ว่าเรื่องจะพูดออกไปนั้น พิตตนันท์ต้องไม่ยินยอมและโวยวายเป็นแน่ เขาจึงพูดดักคอไว้เสียก่อน
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ
“ก่อนที่จะคุยกันจริงจัง ฉันขอถามเธอสักสองข้อได้ไหมว่า ข้อแรกเธอมีแฟนหรือยัง” มารุตถาม
“ไม่ค่ะ ต้นข้าวไม่เคยมีแฟนค่ะ” มารุตพอใจในคำตอบ
“ส่วนคำถามที่สอง เธออาจมองว่ามันละเมิดความเป็นส่วนตัวเธอ แต่ฉันจำเป็นต้องรู้เพราะมันเกี่ยวโยงกับเงินหนึ่งแสนที่ฉันจะให้เธอ” พิตตนันท์มองหน้าเจ้าของคำถาม แต่ก็เปิดโอกาสให้เขาถาม อาจเป็นเพราะเธอต้องการเงินจำนวนนี้
“คุณรุตถามมาได้เลยค่ะ”
“เธอครองพรหมจรรย์อยู่ไหม” มารุตกลั้นใจถามออกไป คนถูกถามอึ้งไปหลายวินาที ที่มาพร้อมกับความตกใจ ไม่คิดว่าคำถามจะเป็นประโยคนี้
“คำถามนี้มันเกี่ยวกับเงินหนึ่งแสนหรือคะ” น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธหรือไม่พอใจ พิตตนันทร์แปลกใจและสงสัยมากกว่า
“ใช่ โดยตรงเลยแหละ” มารุตตอบกลับ “ตอบตามตรงนะต้นข้าว”
“ต้นข้าวยังครองพรหมจรรย์อยู่ค่ะ” ถึงไม่รู้เหตุผลแต่เธอก็ตอบออกไป
“งั้นฉันเข้าเรื่องเลยนะ อาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดของเพื่อนสนิทของฉัน ปีนี้ฉันอยากให้ของขวัญที่เขาประทับใจและไม่มีวันลืม เป็นของขวัญที่แปลกกว่าคนอื่นๆ” เขาหยุดชะงักคำพูดนั้นไว้ สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกมา มองใบหน้างามของผู้หญิงตรงหน้าเพียงนิดก่อนพูดต่อ “ของขวัญชิ้นนั้นก็คือ ความบริสุทธิ์ของเธอหรือเรียกง่ายๆ ว่าพรหมจรรย์”
ร่างพิตตนันท์เเข็งราวกับหิน หัวใจแทบหยุดเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพรงด้วยความตกใจ คำพูดที่เปล่งออกมานั้นเป็นคำพูดที่ดูถูกเธอเป็นอย่างมาก และดูถูกศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงด้วย
“คุณมันบ้า บ้าที่สุด” พิตตนันท์ตะโกนใส่หน้าของมารุตเต็มเสียง ตั้งท่าจะวิ่งหนีชายหนุ่มตรงหน้าไปให้ไกลแสนไกล ไกลจากผู้ชายที่หยามเกียรติตน
“เธอลองเอาไปคิดดูนะ ฉันจะรอคำตอบจากเธอสามวัน” เขาพูดไล่หลังพิตตนันท์
“ไม่ว่าจะกี่วัน คำตอบของต้นข้าวก็คือไม่”
หญิงสาววิ่งออกไปจากบ้านหลังนั้นทันที โดยมีสายตาของมารุตมองตามไปจนสุดสายตา
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นต้นข้าว เธอต้องกลับมาให้คำตอบที่ฉันพอใจแน่นอน” มารุตพูดออกมาเมื่อร่างของเธอออกไปจากประตูรั้วแล้ว
พิตตนันท์มาหยุดยืนหอบอยู่ที่สะพานไม้ ที่เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งคลอง ดวงตาคู่หวานมองเรือแจวที่ผ่านสัญจรอยู่ในแม่น้ำสายเล็กๆ เชื่อมต่อกันหลายหมู่บ้าน เป็นแม่น้ำที่ยังอุดมไปด้วยความใสสะอาด ใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ เป็นเพราะหมู่บ้านทั้งสามแห่ง ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ผืนน้ำผืนนี้ให้ลูกหลานไว้ได้ใช้สืบต่อไป บ้านของพิตตนันท์อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แถบชานเมืองมีสวนผลไม้ปลูกอยู่รอบบริเวณ ร่มรื่นและอบอุ่นด้วยไมตรีของเพื่อนบ้านที่พึ่งพาอาศัยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง
“ยายจ๋า...ต้นข้าวจะทำยังไงดี จะหาเงินที่ไหนมารักษายาย”
พิตตนันท์พูดกับผืนน้ำที่สงบนิ่งเบื้องล่าง ปลดปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยไปพร้อมกับความคิดที่ว่างเปล่าของเธอ เพราะตอนนี้คิดอ่านอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตันไปหมด ขณะกำลังจมอยู่กับความทุกข์ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำให้ความคิดที่ล่องลอยไปไกลวกกลับเข้ามาในสมองทันที
“สวัสดีค่ะ”
“ไม่ทราบว่า ใช่คุณพิตตนันท์ญาติคุณยายหอมหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ”
“โทรมาจากโรงพยาบาลนะคะ ตอนนี้อาการของคุณยายยังไม่ดีขึ้น คุณหมอมาตรวจดูอาการคุณยายเมื่อครู่แล้วลงความเห็นว่า คุณยายต้องผ่าตัดค่ะ แต่คุณหมออยากคุยกับทางญาติก่อนค่ะ ไม่ทราบว่า คุณพอมีเวลามาโรงพยาบาลตอนนี้ไหมคะ” พยาบาลบอกตามหน้าที่ ปลายสายน้ำตาไหลอาบแก้ม ใจสั่นและหวั่นใจกับอาการป่วยของยายหอม
“ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” พิตตนันท์ตัดสายทิ้งก่อนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที