โรงพยาบาลที่ยายหอมรักษาตัว เป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลที่มีสวัสดิการต่างๆ สำหรับคนไทยหลายอย่าง อาทิบัตรสามสิบบาทรักษาทุกโรค บัตรประกันสังคมและอื่นๆ พิตตนันท์ไม่กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเลยหากยายหอมเป็นคนไทย
แต่นี่ไม่ใช่ ยายหอมเป็นคนลาว เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับมารดาที่แต่งงานกับสามีชาวไทย อยู่กินกันราวเจ็ดปี สามีของมารดายายหอมก็เสียชีวิตลง
หลังจากพ่อเลี้ยงเสียชีวิต แม่ของยายหอมไม่ได้เดินทางกลับประเทศลาวเพราะคิดว่ากลับไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น สู้อยู่เมืองไทยที่มีช่องทางทำมาหากินได้มากกว่าดีกว่า สองแม่ลูกอยู่เมืองไทยต่อโดยยึดอาชีพคัดแยกปลาที่สะพานปลาในจังหวัดชลบุรี โดยเจ้าของสะพานปลามีที่พักให้ฟรี เสียแค่ค่าน้ำค่าไฟ และถูกหักจากเงินเดือน
เมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ทางรัฐบาลยังไม่เข้มงวดเรื่องการเข้าเมืองของคนต่างด้าว สองแม่ลูกจึงอยู่เมืองไทยโดยไม่มีบัตรประชาชนหรือสวัสดิการใดใด เช้าตื่นมาทำงานที่สะพานปลา ตกเย็นกลับห้องพักเพื่อพักผ่อน ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ราวสิบปี มารดายายหอมเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ปล่อยให้ยายหอมอยู่เผชิญโลกเพียงลำพัง
ในวัยยี่สิบปียายหอมมีสามีชื่อบุญล้อม เป็นคนขับสามล้อถีบ มีรายได้แบบหาเช้ากินค่ำ ยายหอมจึงทำขนมขายเพื่อหารายได้อีกทางหนึ่ง ด้วยฐานะที่ไม่มากนัก ยายหอมจึงไม่ได้ทำในเรื่องหนึ่งคือ ทำให้ตัวเองอยู่เมืองไทยอย่างถูกต้อง นางคิดว่า ไม่มีก็ไม่เสียหายอะไร เพราะไม่ได้ไปไหน หาเช้ากินค่ำไปวันๆ
ทว่าบุญล้อมไม่คิดเหมือนยายหอม เขาไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในสมัยนั้นเมื่อห้าสิบกว่าปีมาแล้วจะมีเพียงบัตรแรงงานต่างด้าวธรรมดา ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีบัตรต่างด้าวถึงสี่แบบ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้ให้ความช่วยเหลือจนยายหอมได้บัตรแรงงานต่างด้าวมา และต่ออายุตามวันเวลาที่กำหนด บัตรของยายหอมหากเจ้าของบัตรเกิดการเจ็บป่วย จะต้องออกค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พิตตนันท์วิ่งไปที่ตึกผู้ป่วยในเพื่อดูอาการของยายหอม พอไปถึงก็พบว่ามีพยาบาลสองสามคน รายล้อมอยู่รอบเตียง ช่วยกันถอดสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจออกจากใบหน้าของยายหอม
“ยายเป็นอะไรคะ แล้วจะพายายไปไหนคะ”
“เรากำลังพายายหอมไปห้องผ่าตัดพอดีค่ะ เมื่อครู่ยายหอมปวดท้องมาก เราต้องรีบผ่าตัดด่วนค่ะ รบกวนคุณไปเซ็นเอกสารยินยอมให้ผ่าตัดด้วยนะคะ”
พยาบาลพูดอย่างเร่งรีบ ก่อนที่บุรุษพยาบาลคนหนึ่งทำหน้าที่เข็นร่างที่ไร้สติของยายหอมไปที่ห้องผ่าตัด
หลังจากที่เซ็นเอกสารยินยอมให้ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว พิตตนันท์มานั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัดอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ว้าวุ่นใจ อาการป่วยของยายหอมเรื้อรังมานาน สืบเนื่องจากนางดื้อที่จะไปหาหมอ ด้วยเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาทุกครั้งที่ได้ยิน
‘เก็บเงินไว้เรียนหนังสือเถอะลูก อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว อย่าให้ยายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้หลานเรียนไม่จบเลยนะ’
นี่เป็นเหตุผลที่ยายหอมไม่ไปหาหมอ อาศัยทานแต่ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น เพราะต้องการให้เธอนำเงินที่เก็บหอมรอมริบ จากการขายขนมหวานและร้อยพวงมาลัยขาย อาชีพที่หาเลี้ยงดูพิตตนันท์และดาวเรืองมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเติบใหญ่
ยายหอมป่วยเป็นเนื้องอกในกระเพาะอาหาร ผลจากการดื้อดึงไม่ยอมไปพบแพทย์ ทำให้ก้อนเนื้อเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ยายหอมมีอาการปวดท้องเรื้อรังมานานนับหกเดือน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ยายหอมปวดท้องจนสลบไป พิตตนันท์จึงพายายมาตรวจดูอาการและรู้ว่ายายหอมเป็นเนื้องอกในกระเพาะอาหาร แต่ที่ทำให้เธอหนักใจมากที่สุด คือค่ารักษาพยาบาลที่ต้องแบกรับภาระนับแสนบาท เมื่อแพทย์ตรวจเจอเนื้องอกที่มดลูกและที่กระดูกสันหลัง ดีหน่อยที่ว่าเนื้องอกทั้งสองนั้นไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็นิ่งนอนใจไม่ได้ หากกำจัดได้ในตอนนี้ก็สมควรทำ เพื่อต่อไปภายภาคหน้าเนื้อดีสองก้อนนั้นจะไม่รุกรานไปส่วนอื่นอีก
การรอคอยร่วมสี่ชั่วโมงสิ้นสุดลง ร่างของยายหอมถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด นายแพทย์ที่รักษาอาการบอกว่ายายหอมพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องเข้าไปพักฟื้นในห้องปลอดเชื้อหนึ่งคืน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีโรคแทรกซ้อน เธอจึงต้องเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ญาติมาเฝ้าไข้ในห้องปลอดเชื้อ เพราะมีพยาบาลคอยเฝ้าดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แม้ว่าจะสบายใจเรื่องยายหอม แต่ก็มีเรื่องให้หนักใจคือ เรื่องค่าใช้จ่าย เมื่อเธอเซ็นชื่อยินยอมให้ยายหอมผ่าตัด นั่นหมายถึงเธอต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครั้งนี้ ปัญหาใหญ่จึงตามมาว่า พิตตนันท์จะหาเงินจำนวนนี้จากที่ใด ความกลัดกลุ้มอาบไปทั่วจิตใจเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บ้านไม้กลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นใหญ่ ที่แผ่กิ่งใบปกคลุมหลังคากระเบื้องของบ้าน ลมกรรโชกแรงราวกับว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ สายฟ้าฟาดลงมาเป็นระยะ เสียงฟ้าคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ยายจ๋า..ต้นข้าวจะทำยังไงดี”
พิตตนันท์สาวน้อยวัยยี่สิบสองปี ถามคำถามอย่างเลื่อนลอย ในมือถือค่าใช้จ่ายที่ทางโรงพยาบาลแจ้งมาให้ หลังจากที่ยายหอมปลอดภัยจากโรคแทรกซ้อน และมาพักรักษาตัวที่ห้องพักฟื้นให้สภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมที่จะทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกบางส่วนที่เกิดขึ้นในร่างกายออก จำนวนเงินที่ต้องจ่ายงวดแรกสี่หมื่นบาท ทำให้พิตตนันท์แทบร้องไห้ออกมา ขาทั้งสองข้างของเธออ่อนแรงเสียดื้อๆ เดินทางกลับมาบ้านแทบไม่ไหว เงินที่อยู่ติดตัวมีไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท เพราะเงินที่เก็บหอมรอมริบมาหลายปี หมดไปกับการรักษาพยาบาลในวันแรกๆ ที่พายายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล