ระหว่างขบคิดถึงปัญหาของตนที่มีมากมายเสียเหลือเกิน หลินหลินจึงชวนบ่าวทั้งสองออกไปนอกอาราม นางบอกแก่นักพรตหญิงที่เป็นหัวหน้าของที่นี่ว่านางต้องการออกไปซื้อธูปที่ตลาดเพราะตอนเดินทางมาที่อารามไม่ได้นำติดตัวมาด้วย
นักพรตหญิงเห็นว่าเป็นของใช้ที่จำเป็นต้องมี จึงไม่ว่าอะไร หลินหลินและบ่าวทั้งสองคนจึงออกจากอารามมาที่ตลาดอีกครั้ง ระหว่างเดินดูหนทางที่จะหาเงินเพื่อดำรงชีพ หลินหลินก็สังเกตเห็นว่าทางเดินตรอกหนึ่งมีโคมกับผ้าแดงติดอยู่ตลอดทาง
“ผ้าแดงกับโคมแดงที่ติดตามถนนหมายความว่าจะมีงานมงคลหรือลู่เจียว จิวฮุ่ย”
ลู่เจียวมองตามสายตาของเจ้านายแล้วหันกลับมาตอบ “ใช่ เจ้าค่ะ การจะติดผ้าแดง โคมแดงได้ต้องเป็นขุนนางสูงศักดิ์ หรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์ ในตรอกข้างหน้านั่นถ้าบ่าวจำไม่ผิดเห็นทีจะเป็นจวนของท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย...”
“หึ เจ้าคงลืมไปแล้วมั้งลู่เจียว” จิวฮุ่ยขัดขึ้น “ท่านหลี่ไม่ใช่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วแต่เป็นมหาอัครเสนาบดีต่างหาก” จิวฮุ่ยบอกด้วยสีหน้าถมึงทึง ทำให้หลินหลินขมวดคิ้ว ท่าทางของจิวฮุ่ยบอกว่ามีความแค้นแน่นอกกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางกำลังสงสัยจิวฮุ่ยก็พูดต่อ “คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ เพราะอัครเสนาบดีหลี่ถึงทำให้ครอบครัวท่านต้องถูกประหารทั้งที่ไม่มีความผิด อัครเสนาบดีหลี่ใส่ร้ายครอบครัวท่านให้ฮ่องเต้ฟัง”
หลินหลินนิ่งเงียบไป นางจำได้รางเลือนว่าตอนที่นางนอนป่วยไม่ได้สติจากพิษไข้ตอนที่ถูกสั่งให้ไปยืนตากหิมะ นางได้ยินฉินซือเฉิงคุยกับคังกงกงว่าอัครเสนาบดีจางบิดาของนางกล้าแข็งข้อกับเขา ดีที่เสนาบดีหลี่หาหลักฐานที่เสนาบดีจางไม่ยอมเก็บค่าภาษีที่นาที่ฉินซือเฉิงสั่งให้เก็บเพิ่มจากราษฏรมาให้ได้ ฉินซือเฉิงจึงถือโอกาสนี้ลงโทษเสนาบดีจางด้วยข้อหาขัดราชโองการ ก่อการคิดกบฎ
นางสะลึมสะลืออยากจะลุกขึ้นมาช่วยเหลือครอบครัว แต่เพราะพิษไข้จึงหลับไป ไม่คิดว่าฮ่องเต้โฉดจะวางแผนคิดเล่นงานครอบครัวนางถึงตาย อำนาจไม่เข้าใครออกใคร เมื่อได้มาแล้วก็ใช้อย่างบ้าคลั่ง
ยิ่งคิดหลินหลินก็ยิ่งแค้น แล้วเหตุใดสิ่งที่เจ้าของร่างรับรู้ นับวันนางกลับจำมันได้ เป็นไปได้หรือไม่จางชิงหลินคืออดีตชาติของนาง นางย้อนเวลากลับมาร่างเดิมเพื่อทำอะไรบางอย่าง
‘เขย่าบัลลังก์ทรราช อย่างนั้นหรือ’
“จิวฮุ่ยถ้าอย่างนั้นเจ้าไปสืบให้ข้าทีว่าใช่งานมงคลของตระกูลหลี่จริงหรือไม่ ถ้าใช่ให้สืบต่อว่าเป็นงานอะไร จะจัดเมื่อไร”
หลินหลินหมดอารมณ์จะเดินตลาดต่อ จึงบอกให้ลู่เจียวพากลับ และไปรอฟังข่าวจากจิวฮุ่ยที่อาราม หลินหลินก้าวเข้าเขตอารามไม่นาน ก็ไม่คาดคิดว่าจะมีแขกมารอพบ
หัวหน้านักพรตหญิงยืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว
“คุณหนูจางกลับมาแล้ว ท่านอ๋องเก้ามารอพบคุณหนูอยู่นานแล้ว”
หลินหลินขมวดคิ้ว “อ๋องเก้า!” อีตาหน้าหล่อมาหาข้าทำไม
จะว่าตกใจก็ตกใจแต่ประหลาดใจมากกว่า นางกับเขาไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกัน นางเป็นอดีตพี่สะใภ้ตกยากของเขา เขาจะมาพบนางทำไม นางกำลังชั่งใจแต่ความอยากรู้ก็เอาชนะ นางเห็นอนาคตของเขา รอยยิ้มฉ้อฉลผลิขึ้นทีละน้อย
‘ท่านมีประโยชน์กับข้าแล้วอ๋องเก้า’
ในที่สุดก็พยักหน้าตอบ
“ข้าจะไปพบท่านอ๋อง ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่ใด”
หัวหน้านักพรตหญิงบอกนางแล้ว หลินหลินก็มุ่งหน้าไปทางโถงรับรองของอาราม อารามแห่งนี้กว้างใหญ่ เป็นอารามที่สำคัญของราชวงศ์ชิง
เมื่อมาถึงหลินหลินก็หยุดยืนมอง
“ท่านอ๋อง”
ฉินจิ้นเหอตวัดสายตามอง ลุกขึ้นยืนช้าๆ หางเปียสะบัดตามท่วงท่าสง่างามทว่าแข็งแกร่ง ดวงตาเขาแน่วแน่มองสตรีตรงหน้า
“ข้าคิดว่าเจ้าจะปลงผมบวชเป็นชีไปแล้ว”
หลินหลินหน้าแดงด้วยความโกรธ นึกไม่ถึงว่าคำพูดแรกก็ฟังระคายหูเสียแล้ว “ข้าไม่ได้บอกว่าจะออกบวชแต่จะศึกษาธรรม”
“อ้อ เป็นข้าเข้าใจผิดเอง ต้องขออภัยด้วย” ฉินจิ้นเหอก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มรู้ทัน
หลินหลินมองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจ “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาพบหม่อมฉันถึงที่อารามด้วยเรื่องอะไรเพคะ” นางเชิดคางถาม
ฉินจิ้นเหอมองท่าทางฉลาดเฉลียวไม่กลัวใครแล้วเก็บซ่อนสีหน้าพึงใจกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้ามาศึกษาธรรมจึงอยากมาพบ”
แต่สายตาที่เขามองนางบางครั้งฉายแววกรุ้มกริ่มน่าโมโห
‘อีตานี่ คิดจะมาจีบแม่ชี หรือไง’
หลินหลินลอบเบ้หน้าอีกครั้ง “อยากจะสนทนาธรรมกับหม่อมฉันเช่นนั้นหรือ แต่หม่อมฉันเพิ่งเริ่มศึกษาคงสนทนาด้วยไม่ได้เพคะ”
“เป็นแม่ชีแต่กลับไม่อยากสนทนาธรรม เห็นทีเจ้าคงสนใจเรื่องอื่น หรือยังตัดทางโลกไม่ได้”
“ท่านอ๋อง! เชิญท่านพูดจุดประสงค์การมาของท่านดีกว่าอย่าได้นอกเรื่องเลย ท่านต้องการอะไรกันแน่”
ฉินจิ้นเหอกระตุกยิ้ม แสร้งเดินผ่านร่างบางราวกิ่งหลิว มองดูภายนอกก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากจางชิงหลินคนเดิม แต่ทำไมเขาถึงคิดว่านางไม่ใช่จางชิงหลินหากบอกว่าจางชิงหลินมีฝาแฝดเขาคงจะเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
“อารามแห่งนี้สงบร่มเย็นเหมาะแก่การพำนักเสียจริง แต่อันที่จริงสตรีที่เคยอยู่สุขสบายเช่นเจ้าทำไมถึงอยากมาอยู่ที่อาราม หากอยู่ที่จวนสกุลหลวนคงสบายกว่า มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงกันแน่”
หลินหลินระงับความโกรธแล้วตอบ “หม่อมฉันทูลให้ท่านอ๋องทรงทราบแล้วอย่างไรเพคะว่าอยากมาศึกษาธรรม”
“พี่สะใภ้ระหว่างเราไม่ต้องมากพิธีก็ได้” ฉินจิ้นเหอบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนเรียบง่าย แต่แววตากรุ้มกริ่ม หนำซ้ำในใจเขาคิดอะไรอยู่ไม่มีใครรู้ “ถ้าหากบอกว่ามาศึกษาธรรม เช่นนั้นเหตุใดทำไมถึงต้องส่งจิวฮุ่ยบ่าวคนสนิทไปสืบเรื่องที่สกุลหลี่ด้วย”
หลินหลินตกใจ มองจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่จ้องนางกลับเช่นกัน “ท่านอ๋อง ท่านต้องการอะไรกันแน่ ข้าเป็นอดีตฮองเฮาตกยาก ไร้ที่พึ่ง ต้องการพึ่งอารามเป็นที่พักแต่ท่านอ๋องก็ยังมารบกวนข้า”
ฉินจิ้นเหอหัวเราะ “พี่สะใภ้ เจ้ากำลังวางแผนทำอะไรบอกข้ามาตามตรงเถอะ” เขาจ้องมองจางชินหลินที่ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครั้งนางดำรงตำแหน่งฮองเฮา ท่าทางของนางดูไม่มีความมั่นใจแบบนี้ เป็นฮองเฮาที่อ่อนโยน ผ่อนปรน จนดูว่าไม่เข้าใจความจริงของโลก ผิดกับเวลานี้ดูฉลาด รู้ทัน บางครั้งดวงตาคู่งามของนางก็แฝงความเจ้าเล่ห์