“เอ... หรือจะหน้าเหมือนยายมัส”
มัสลินเป็นลูกครึ่งมีบิดาเป็นชาวต่างชาติ ลูกของมัสลินอาจจะได้เชื้อฝั่งแม่มากกว่าฝั่งพ่อ ลินินสรุปเอาเองว่าเด็กน้อยน่าจะเหมือนแม่มากกว่าพ่อ ความน่ารักของเด็กชายทำให้หญิงสาวอยากไปทำความรู้จักกับแก แต่ต้องอดใจไว้ ได้แต่แอบเก็บภาพของหลานชายไว้ จ้องมองทั้งสองพูคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นปรัชญ์ยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาใครสักคน และเห็นมัสลินเดินเข้ามาในร้านไอศกรีมพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายคนนั้นลินินรู้จักดี เขาชื่อกริชเป็นลูกชายของนายโกมุทนักธุรกิจใหญ่ ทั้งสี่คุยอะไรกันสักพักก็พากันออกไปจากร้าน
ลินินรีบจ่ายเงินแล้วเดินตามไปห่างๆ เธอเคยรู้จักกับกริชมาก่อนสมัยอยู่ที่อเมริกา พ่อแม่ของเธอรู้จักกับนายโกมุท เคยไปรับประทานอาหารกับนายโกมุทหลายครั้ง อีกฝ่ายทาบทามเธอให้ลูกชาย แต่ลูกชายเหมือนยังไม่มีท่าทีตอบสนอง เธอเองก็ถูกมารดาเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับการทาบทามนั้น
“คุณกริช รู้จักกับยายมัสกับนายปอนด์ด้วยหรือเนี่ย”
ลินินมองตามสี่คนที่พากันขึ้นรถขับออกไป ความอยากรู้ทำให้เธอแอบขับรถตามไปจนถึงร้านกาแฟต้นไม้ จอดรถมองอยู่จนทั้งสี่หายเข้าไปในร้าน ก่อนจะขับรถออกมา หยิบโทรศัพท์โทรหามารดา
“คุณแม่คะ วันเสาร์ป่านจะกลับไปหาที่บ้านนะคะ”
“อย่าลืมซื้อไส้อั่วกับแคบหมูน้ำพริกหนุ่มมาให้แม่ด้วยนะลูก แม่อยากกิน” เสียงของมารดาสั่งของชอบ ทำให้คนเป็นลูกยิ้มขำ หัวใจผ่อนคลายความเครียดลง
“ไม่ลืมค่ะ คุณแม่ทานยาครบทุกมื้อหรือเปล่าคะ ป่านกลับไปจะพาไปหาคุณหมอนะคะ”
ลินินต้องกลับไปพามารดาไปตรวจทุกเดือนตามนัดของแพทย์ อาการของท่านหากไม่ได้รับการรักษาและการดูแลที่ดี อาจจะทรุดหนักลงได้ทุกเมื่อ เธอไม่อยากสูญเสียท่านเร็วเกินไป
“แม่รู้น่า ป่านอยู่ทางโน้นก็ดูแลตัวเองนะลูก งานบ้านไม่ต้องทำเอง จ้างคนมาทำให้ ไม่ต้องประหยัด แม่ไม่อยากให้หนูเหนื่อย” แพรพรรณบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ค่ะคุณแม่ แค่นี้ก่อนนะคะ ป่านรักคุณแม่นะคะ”
ลินินกดวางสายไป ก่อนจะปาดน้ำตาที่ไหลออกมา ใครๆ อาจจะไม่ชอบแม่ของเธอ แต่ท่านคือคนที่เธอรักที่สุด ท่านเองก็รักเธอมากเช่นกัน ในฐานะลูกการกตัญญูต่อบุพการีคือสิ่งที่ลินินทำมาตลอด หญิงสาวหวังเพียงว่าเธอจะอดทนพอในการทำงานที่นี่ เธอยังมีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษามารดา อย่างน้อยมีงานก็ดีกว่าต้องตกงาน เธอจะไม่ยอมให้ ปรัชญ์มาทำลายอนาคตของเธออีก
“นายปอนด์ ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันคือด็อกเตอร์ ลินิน ไม่ใช่ยายผ้าป่านที่นายจะรังแกได้อีก!”
ตั้งแต่วันที่ถูกปรัชญ์สั่งสอน ลินินก็ไม่เคยเฉียดกรายเข้ามาใกล้ชายหนุ่มอีกเลย เวลาต้องพบกันก็หาทางเลี่ยงไปอยู่ห่างๆ ปรัชญ์เองน่าจะพอใจกับการกระทำแบบนั้น กลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ยิ่งลินินหลบหน้าเขาก็หาเรื่องไปเสนอหน้าให้เธอเห็น ยิ่งเธอถอยห่างเขาก็แกล้งไปอยู่ใกล้หรืออยู่แถวบริเวณที่เธอชอบไปนั่งเล่น หาเรื่องกวนใจเธอไม่ให้อยู่อย่างสงบ จนลินินเริ่มทนไม่ไหว เป็นฝ่ายมาหาเขาที่เรือนกระจก
“นี่นายปอนด์ นายจะก่อกวนจนฉันอยู่ไม่ได้เลยใช่ไหม อยากให้ฉันลาออกเลยไหม จะได้สมใจนาย”
ลินินตามเข้ามาต่อว่าชายหนุ่ม เมื่อเห็นเขาหลบมาหามุมสงบส่วนตัวที่นี่
“ได้อย่างนั้นก็ดี เอาใบลาออกมาให้ดูด้วยนะ เผื่อเธอเขียนไม่ถูกระเบียบ จะช่วยแก้ให้”
ปรัชญ์ตอบโต้กลับ เขายังคงนั่งเอนกายสบายอารมณ์ ไม่สนใจหญิงสาวที่ดูเป็นเดือดเป็นแค้นกับการถูกเขาปั่นป่วน
“นายมัน... หึ ด่าไปก็ไม่ซึมผ่านกะโหลกหนาๆ ของนายหรอก นายหาเรื่องแกล้งฉัน จะให้ฉันลาออกจากที่นี่ใช่ไหม นายทำไปเพื่ออะไร”
ลินินอยากด่าเขาให้เจ็บแสบ แต่ยังระแวงว่าเขาจะโมโหร้ายลงโทษเธอแบบวันก่อนอีก ปากของเธอบวมและช้ำแถมยังต้องนอนฝันร้ายถึงเขามาหลายคืน
“ก็ไม่อะไร พอใจจะทำมีอะไรไหม”
ปรัชญ์ยักไหล่ ท่าทางยียวนขัดกับภาพลักษณ์ของอาจารย์ที่เขาเป็น ต่อหน้าลูกศิษย์นักศึกษาเขาจะทำท่าทรงภูมิ ดูเคร่งขรึมน่านับถือ แต่ยามนี้มาดนั้นมันหายไป มีแต่ท่าทางเหมือนนายปอนด์ลูกชายแม่ค้าขายขนมที่ตลาดของคุณยายฝ้ายคำเมื่อหลายปีก่อน ลินินเกลียดท่าทางนั้นมาก เธอเรียกเขาว่าหมาตลาด เขาเรียกเธอว่ายายผ้าป่าน แล้วยังหาผ้าป่านมาทำผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะ เช็ดข้าวของในร้านให้เธอเห็นยามเธอเดินผ่าน เหมือนจงใจใช้มันเป็นตัวแทนของเธอในการย่ำยีเล่นให้เจ็บใจ
“นายมันอันธพาล ไม่รู้ยายมัสเห็นดีอะไรในตัวนาย ถึงเลือกแต่งงานกับคนไม่มีดีอย่างนาย” ลินินอดปากไม่ได้
ปรัชญ์ยกคิ้วสูง ถ้อยคำเหน็บแนมนั้นเขาไม่สะเทือน แต่การเข้าใจผิดของลินินต่างหากที่ทำให้เขาสะดุ้ง
“แม่เธอบอกว่ามัสแต่งงานกับฉันอีกละสิ”
เขาเหยียดปาก ยิ้มหยันยายคุณหนูป่านที่เชื่อคำพูดของแม่ราวกับคนปัญญานิ่ม ไม่เคยค้นหาความจริง ไม่เคยวิเคราะห์ว่าจริงหรือเท็จ
“แล้วนายไม่ได้แต่งงานกับมัสหรือไง ฉันเห็นลูกของนายกับมัสแล้วนะ เด็กผู้ชายตัวกลมๆ คนนั้น”
ลินินเปิดมือถือให้เขาดูรูปที่เธอแอบถ่ายเขากับพี่ไม้ไว้ ปรัชญ์หรี่ตามองแล้วถอนหายใจแรง
“นี่ทำตัวเป็นนักสะกดรอยตามฉันเลยหรือยายผ้าป่าน แล้วก็เข้าใจอะไรเอาเอง สมกับเป็นลูกคุณนายแพรพรรณ ชอบแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะ” ชายหนุ่มเหน็บไปถึงมารดาของหญิงสาว
“ฉันกลับไปบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน ตามหาป้าแววกับอาหมี่ แต่ไม่พบสองคนนั่น แม่ฉันบอกว่า ยายมัสย้ายไปอยู่กับนายหลังงานศพคุณยาย แล้วคนแถวนั้นก็บอกว่ายายมัสก็ย้ายตามนายออกไป เมื่อวันก่อนฉันเห็นยายมัสด้วย ครอบครัวนายคงอบอุ่นน่าดู มีลูกน่ารักเมียก็สวย”
ลินินเชื่อในสิ่งที่มารดาบอก และเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น
“แล้วไง เธอจะมาทวงตำแหน่งพี่เมียกับน้องเขยอย่างฉันเหรอ”
ปรัชญ์ไม่แก้ความเข้าใจผิด ปล่อยลินินเข้าใจแบบนั้นไป เวลารู้ความจริงจะได้หน้าแตกละเอียดหมอไม่รับเย็บ
“ก็ถ้าเราเป็นญาติกันแล้ว นายก็น่าจะทำตัวดีๆ กับฉันหน่อยสิ ยอมให้ฉันไปพบยายมัสกับหลาน”
ลินินพยายามสงบศึก เธอเห็นแก่หลานชายที่น่ารัก เห็นแก่น้องสาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน หลังจากบิดากับมารดาย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ก็นำเงินไปลงทุนเปิดร้านอาหารไทยที่นั่น แต่การค้าไม่ค่อยดีแถมยังชวนกันเข้าบ่อน จนไม่มีเวลามาดูแลกิจการ พนักงานในร้านก็ไม่ใส่ใจลูกค้า ทำให้เกิดปัญหาขาดทุน จนต้องปิดร้าน เงินทองก็ร่อยหรอลงไป บิดาของเธอดื่มหนักจนคืนหนึ่งขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุ ทำให้บาดเจ็บสาหัสกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว ค่ารักษาพยาบาลทำให้แทบหมดตัว มารดาของเธอหาเรื่องด่าทอสามีทุกวัน จนอีกฝ่ายทนไม่ไหวกินยาพิษฆ่าตัวตาย ก่อนตายนายสมเกียรติได้บอกลูกสาวว่า
“หนูป่าน พ่ออยากให้หนูตามหายายมัส อยากให้หนูช่วยเหลือน้อง ชดใช้แทนพ่อกับแม่ด้วยนะลูก”
ลินินไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาสั่งเสียแต่ก็ยอมทำตาม หลังจากบิดาเสียชีวิตจึงพามารดาย้ายกลับมาที่ประเทศไทย โชคดีบ้านเก่ายังเหลืออยู่ แม้จะทรุดโทรมเพราะขาดการดูแลแต่ก็ยังอาศัยอยู่ได้ เธอได้งานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงพาตัวเองมาหาเช่าทาวน์เฮาส์อยู่ ส่วนมารดานั้นปล่อยให้อยู่บ้านเก่ากับคนรับใช้ที่จ้างมาดูแล
“มัสหลุดพ้นจากพวกร้ายกาจอย่างพวกเธอมาแล้ว ฉันไม่มีทางให้มัสต้องพบเจอกับคนที่ทำร้ายมัสอีกเด็ดขาด”
ปรัชญ์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เขาไม่อยากให้ลินินเข้ามาวุ่นวายกับมัสลินอีก มัสลินกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ควรรื้อฟื้นความหลังให้ต้องมาเจ็บปวด