ตอนที่ 1.
“จอดตรงนี้ก่อน”
ลินินบอกคนขับแท็กซี่ให้หยุดตรงบริเวณปากซอยก่อนทางเลี้ยวเข้าบ้าน หญิงสาวลงจากรถมายืนดูรอบๆ บริเวณนั้น หลับตาลงเพื่อนึกเปรียบเทียบกับภาพความทรงจำเก่าเมื่อห้าปีก่อน เมื่อลืมตาขึ้นมาทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิมจนไม่เหลือร่องรอยเก่า ตลาดทรัพย์เจริญของคุณยายฝ้ายคำถูกแทนที่ด้วยคอนโดสูงระฟ้า ตึกแถวกลายเป็นลานจอดรถ ภาพคุ้นตาของร้านรวงและผู้คนคึกคัก หายไปจากสายตา เวลาเปลี่ยนทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง หญิงสาวสะท้อนใจ
“ลงไปดูอะไรลูก รีบเข้าบ้านเถอะแม่ร้อนจะตายแล้ว”
นางแพรพรรณเปิดกระจกส่งเสียงเรียกลูกสาวให้กลับขึ้นรถ นางมองรอบๆ กายอย่างหงุดหงิดใจ หลังจากขายตลาดแล้วหอบเงินพาสามีตามลูกสาวไปเริ่มต้นชีวิตยังต่างแดน ไม่เคยคิดว่าต้องย้อนกลับมายังที่เก่า หากไม่เพราะการค้าล้มเหลวสามีเสียชีวิต นางไม่มีทางพาลูกสาวกลับมาอีก
“ไม่มีอะไรเหลือเลยค่ะ ห้าปีทำให้ที่นี่เปลี่ยนไปหมด” ลินินทอดถอนใจ
“เจ้าสัวเขาเอาที่ตลาดไปทำคอนโด นี่คงได้กำไรหลายล้าน ตอนนั้นกดราคารับซื้อแบบครึ่งต่อครึ่ง ถ้าแม่ไม่จำเป็นต้องใช้หนี้ให้เขา แม่ก็ไม่ขายหรอก” แพรพรรณยังเจ็บใจไม่หาย
ตอนนั้นเจ้าสัวโภคินใช้อำนาจของเจ้าหนี้กดดันให้เธอขายตลาดให้ในราคาถูก เธอกับสามีจึงต้องยอมขายให้อย่างไม่มีทางเลือก ตอนนี้นึกเสียดายก็สายไปเสียแล้ว
“ป่านจ้างบริษัทมาทำความสะอาดล่วงหน้าไว้แล้ว คุณแม่คงพออยู่ได้ ป่านจะจ้างคนงานไว้รับใช้คนหนึ่งนะคะ”
ลินินบอกมารดาหลังจากรถแล่นมาจอดหน้าประตูรั้วบ้านแล้ว คนขับรถช่วยยกกระเป๋ามากองไว้ให้ ก่อนจะขับรถออกไป ทิ้งสองแม่ลูกให้ขนกระเป๋าเข้าบ้านเอง
ประตูรั้วเปิดออกกว้าง เผยให้เห็นสภาพภายในบ้านที่ทรุดโทรมตามเวลาเพราะขาดคนดูแล ยังดีที่ได้รับการทำความสะอาดจึงไม่รกรุงรัง ลินินยกกระเป๋าเข้ามาภายในบ้านแล้วปิด ล็อกประตูรั้วบ้าน
“พรุ่งนี้คนที่ป่านติดต่อจ้างไว้ เขาจะมาทำงานค่ะ อาทิตย์หน้าป่านต้องขึ้นเชียงใหม่ไปรายงานตัว คุณแม่อยู่บ้านคนเดียวได้นะคะ ป่านจะให้คนงานมาอยู่เป็นเพื่อน”
ลินินได้งานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เป็นงานที่ได้รับการทาบทามจากอธิการบดีของที่นั่นมานานพอสมควร เมื่อเดินทางกลับเมืองไทยลินินจึงตอบรับ หญิงสาวไม่ได้พามารดาไปอยู่ด้วย เพราะแพรพรรณต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลกับแพทย์เฉพาะทางในกรุงเทพจากอาการโรคมะเร็ง หลังจากนายสมเกียรติเสียชีวิต แพรพรรณก็ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ค่ารักษานั้นแพงมากจำเป็นต้องย้ายกลับมารักษาตัวที่เมืองไทย
“แม่ก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด จะให้กลัวอะไร”
แพรพรรณบอกให้ลูกสาวสบายใจ นางเกิดและเติบโตที่นี่ แค่จากไปอยู่ต่างแดนห้าปี ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกรู้สาอะไรกับการต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ขาดเพียงคนรับใช้และบรรยากาศเก่าๆ แต่จะให้นางโหยหาอะไร เมื่อสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีความหมายต่อนางเลย
“คุณแม่อาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวป่านจะไปโทรสั่งอาหารมาให้ทาน พรุ่งนี้ถึงจะมีคนมาทำอะไรให้ วันนี้กินอะไรง่ายๆ ไปก่อนนะคะ”
ลินินส่งมารดาเข้าห้องนอนได้ ก็ลงมาโทรสั่งอาหาร จากนั้นก็เดินสำรวจไปรอบๆ บ้าน ต้นไม้ในเขตบ้านของเธอถูกตัดทำความสะอาดเรียบร้อย มีเพียงฝั่งของเรือนไทยบ้านเก่าของคุณยายฝ้ายคำที่ยังรกเรื้อ หญิงเดินไปเกาะรั้วมองข้ามไปยังฝั่งนั้น ภาพความทรงจำเก่าๆ ย้อนวนมาในมโนนึก
“พี่ปอนด์ทำชิงช้าให้มัส พี่ป่านมาเล่นด้วยกันสิคะ”
มัสลินในวัยเยาว์ตะโกนข้ามรั้วมาเรียกพี่สาว ที่นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ในสวนฝั่งตึกใหญ่ ลินินหันไปมองก็พบว่าใต้ต้นไม้ข้างเรือนไทย ปรัชญ์หรือพี่ปอนด์ของมัสลิน กำลังผูกเชือกห้อยชิงช้า ให้น้องสาวของเธอเล่น
“อย่าไปเรียกเลย คุณหนูป่านเขาไม่เล่นของแบบนี้หรอก”
ปรัชญ์วางมือจากชิงช้าที่ผูกเพิ่งเสร็จ กอดอกมองมายังเธอ สายตาของเด็กหนุ่มในวัยสิบแปด ไม่ได้มองมาแบบเป็นมิตรเท่าไหร่ เขาอายุมากกว่าเธอสามปีแต่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ยอมตามใจเป็นเพื่อนเล่นเด็กอายุสิบสามอย่างมัสลิน ทั้งที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย กลับไม่ยอมอ่านหนังสือมาเล่นสนุกกับเด็กอยู่ได้ เธอเรียนเร็วและยังสอบเทียบข้ามชั้น จึงเรียนเกือบทันเขา ปีหน้าเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกัน
“พี่ปอนด์ อย่าพูดดักแบบนั้นสิ พี่ป่านชอบชิงช้าจะตาย ตอนเด็กๆ เคยเล่นกับมัสบ่อยๆ”
มัสลินหันไปต่อว่าปรัชญ์ แล้วหันกลับมายิ้มประจบ
“พี่ป่านมาเล่นเถอะ มัสจะแกว่งให้ เดี๋ยวป้าแพรมาอดเล่นนะ”
ตอนแรกลินินจะปฏิเสธ แต่เห็นใบหน้ากวนโทสะของ ปรัชญ์ ทำให้เธอละเมิดกฎของตัวเอง โดยยอมวางตำราเรียน เดินข้ามไปยังฝั่งเรือนไทย แล้วนั่งลงบนชิงช้าด้วยมาดนางพญา มัสลินดีใจที่พี่สาวมาเล่นด้วย รีบแกว่งชิงช้าให้
“สนุกไหมพี่ป่าน”
มัสลินถาม หลังจากแกว่งชิงช้ามาพักหนึ่ง
“ก็ดี มัสจะเล่นต่อไหมพี่จะลุกให้”
ลินินขยับจะลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ ปรัชญ์แทรกตัวเข้ามาผลักชิงแทน ทำให้ร่างที่ยังไม่ทันวางเท้าแตะพื้นเสียหลักล้มฟาดดังโครม
“ตายแล้ว หนูป่าน เป็นอะไรหรือเปล่าลูก!”
เสียงกรีดร้องของแพรพรรณดังก้องขึ้น คนเป็นแม่กลับมาทันเห็นลูกสาวตกจากชิงช้าพอดี และแน่นอนทันเห็นว่าใครเป็นคนแกว่ง รีบวิ่งมาดูลูกสาวสุดที่รัก
“ป่านไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่”
ลินินลุกขึ้นในสภาพคางแตก ใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมม เสื้อผ้ามีเศษหญ้าติดเต็มตัว นางแพรพรรณแทบจะกรีดร้องอีกหน โมโหจนตัวสั่นหันไปตวาดตัวต้นเหตุ
“นังมัส ไอ้ปอนด์ แกสองคนแกล้งลูกสาวฉันใช่ไหม ฉันเห็นนะว่าเมื่อกี้พวกแกจงใจแกว่งชิงช้าแรง จนหนูป่านตกลงมา ฉันจะเอาเรื่องพวกแก”
แพรพรรณมองรอบตัวก่อนจะเดินไปคว้าไม้ไผ่ที่ปักอยู่ข้างกระถางต้นไม้ เอามาหมายจะฟาดมัสลินก่อนพวก ปรัชญ์เข้ามาขวางไว้เลยเป็นคนถูกฟาดเสียเอง เขาแย่งไม้จากมือแพรพรรณมาโยนทิ้ง
“คุณนาย มันเป็นอุบัติเหตุ อย่ามาโทษกันมั่วๆ นะ เอะอะก็หาเรื่องตีมัส สักวันเถอะผมจะแจ้งตำรวจข้อหาทารุณกรรมเด็ก”
ปรัชญ์เอาตัวปกป้องมัสลินไว้ เขามองแพรพรรณด้วยสายตาเกลียดชัง แลเลยมาทางลินินด้วยสายตาไม่ต่างกัน
“คุณแม่คะ ป่านเจ็บค่ะ พาป่านไปหาหมอหน่อยค่ะ”
ลินินต้องยุติเรื่องไม่ให้ลุกลามมากกว่านี้ จำต้องเรียกร้องความสนใจจากมารดา นางแพรพรรณรีบพาลูกสาวไปหาหมอทันที
“ไปลูก แม่จะพาไปคลินิกหน้าปากซอย กลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการแกนังมัส ไอ้ปอนด์แกด้วยฉันจะไปเก็บค่ารักษาที่แม่แก หนูป่านเจ็บตัวเพราะฝีมือแก แม่แกต้องจ่ายค่ารักษาลูกฉัน”
พูดจบแพรพรรณก็จูงลูกสาวเดินออกไป ลินินหันกลับไปมองเห็นสายตาของปรัชญ์มองเธอด้วยแววตาวาวโรจน์ เธอหว่านเมล็ดความเกลียดใส่ใจเขาอีกแล้วใช่ไหม หลังจากไปให้หมอทำแผลให้ แพรพรรณทำตามที่พูดลากลูกสาวไปยังร้านขายขนมของเปรมใจเรียกร้องค่ารักษาจากแม่ของปรัชญ์
“ลูกของเธอ มันทำลูกสาวฉันเจ็บตัว เธอต้องชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าลูกสาวฉันมีแผลเป็นเสียโฉม ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้หนักกว่านี้” แพรพรรณเอามือเท้าเอวพูดจาข่มขู่เปรมใจ
ลินินทนดูไม่ไหวเดินหลบมานอกร้าน นั่นทำให้พบกับปรัชญ์ที่ยืนอยู่ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ใบหน้าของเขาเครียดเคร่งดวงตาดุกร้าว
“ยายผ้าป่าน แม่เธอมันเหลือเกินจริงๆ”
เขากระชากแขนลินิน ไปยังตรอกเล็กๆ ข้างร้าน ก่อนจะผลักเธอติดกำแพง ลินินตกใจกลับท่าทางคุกคามนั้น
“นายเป็นบ้าอะไร ทำตัวเหมือนหมาบ้า” ลินินขึ้นเสียงใส่
“ฉันบ้าแน่ หึ แม่เธออยากได้ค่าเสียหายใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเธอก็เรียกค่าเสียหายอย่างอื่นเพิ่มด้วยละกัน”
พูดจบปรัชญ์ก็ดันรวบร่างลินินมากอดไว้ พร้อมกับประกบจูบเธอแบบไม่ทันตั้งตัว ลินินตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ ปล่อยให้เขาขโมยจูบแรกไปอย่างไร้ทางต่อต้าน เด็กหนุ่มจูบปากเธอจนหนำใจก็ผลักเธอล้มลงกับพื้น ยิ้มเยาะเด็กสาว