ในวันที่อุณหภูมิร้อนถึงสี่สิบองศา สามแม่ลูกพากันเดินออกมาคอยรถประจำทางหน้าหมู่บ้าน แม้จะต้องใช้เวลาเดินออกมาเกือบหนึ่งกิโลเมตรกลับไม่มีเสียงบ่นใดๆ นอกจากเสียงหอบน้อยๆ
เมื่อมาถึงจุดรอรถโดยสาร อนันตาจูงลูกน้อยทั้งสองไว้ มือข้างซ้ายจับไอรัก มือข้างขวาจับอิ่มอุ่น มีแท็กซี่หลายคันวิ่งผ่านหน้าแล้วชะลอ หวังว่าสามคนแม่ลูกจะโบกใช้บริการ แต่พวกเขาคิดผิด
อนันตารู้ว่าแท็กซี่จะทำให้เธอและลูกๆ ไปถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว และสบายขึ้น ไม่ต้องทนกับความร้อนระอุในยามกลางวัน ทว่าเงินของลูกที่ให้หยิบยืมมาทำให้อนันตาละอายใจ ทีแรกเธอตั้งใจว่าจะนอนพัก ไม่ไปโรงพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ แต่ลูกทั้งสองขอร้องให้ไป อนันตาคิดดูแล้ว หากเธอเป็นอะไรไปในเวลานี้ ลูกทั้งสองจะอยู่อย่างไร
งานฟรีแลนซ์ที่อนันตาทำ จ่ายค่าจ้างเป็นชิ้นงานไม่ได้จ้างเป็นรายเดือน ไม่มีประกันสังคม แต่ทางบริษัทก็ทำประกันชีวิตไว้ให้ ซึ่งหน้าบัตรมีรายละเอียดว่าคุ้มครองค่ารักษาแบบโอพีดีครั้งละหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาท
เธอโน้มตัวลงไปจุมพิตที่หน้าผากของไอรักและอิ่มอุ่น น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น “ไอรัก อิ่มอุ่น ร้อนมากไหม แม่ทำให้ลำบาก ถ้ามีคนอื่นเป็นแม่ ลูกคงไม่ต้องทนตากแดดแบบนี้”
เด็กลูกครึ่งตัวน้อยส่ายหน้าหวือ “อิ่มอุ่นไม่กลัวร้อนหรอก ขอแค่ได้ไปกับแม่” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ดวงตากลมบ๊องแบ๊วสดใส
“ไอรักขอแค่มีแม่อยู่ด้วย ร้อนยังไงก็ทนไหวครับ”
ได้ฟังแค่นี้อนันตาก็ชื่นหัวใจที่สุด ทั้งสามหยุดยืนรอรถอยู่นานโดยไม่รู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของคนที่ยืนรออยู่ตรงนั้น เพราะใบหน้าสวยจัดของอนันตา รูปหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด แม้ไม่ได้สวยจัดจ้าน แต่กลับชวนมอง เรียกได้ว่ายิ่งมองยิ่งสวย อนันตาเห็นมีสายตาผู้ชายคนหนึ่งมองเธอนานแล้ว เธอจึงเบือนหน้าหนีไม่มองตอบ เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้ก็รีบหลบตาแต่พอหันมาอีกด้านหนึ่งก็เห็นหญิงสูงอายุคนหนึ่งยิ้มใจดีให้
“ลูกเหรอแม่หนู”
“ใช่ค่ะ” อนันตาพยักหน้าพร้อมกับตอบเบาๆ
“น่ารักนะ” หญิงสูงอายุบอกแล้วยิ้มให้เด็กทั้งสอง
“ขอบคุณค่ะ” อนันตายิ้มบอก มองลูกๆ ทั้งสองที่น่ารักมาตั้งแต่แรกเกิด ใครเห็น ใครก็ชม โชคดีที่หญิงสูงวัยไม่ถามถึงพ่อของลูก อนันตาถอนใจยาว เพราะหลายคนพอมองหน้าลูกแล้วย้ายสายตามองใบหน้าแม่ที่ดูแตกต่างกัน ก็มักจะมีคำถาม
‘ลูกหน้าไม่เหมือนแม่ สงสัยจะหน้าเหมือนพ่อนะคะ/ครับ’
พ่อของลูก อนันตาไม่อยากนึกถึงเขาอีก เธอพยายามลืมผู้ชายคนนั้น หน้าตาของเขาหล่อเหลาทรงเสน่ห์ มีบุคลิกเงียบขรึม ดวงตาคมเข้มฉายแววฉลาดทันคน แต่บางครั้งดูแวววาวแฝงด้วยอำนาจ ผมสีน้ำตาลเข้ม ตัดผมรองทรงสูง ชุดที่เธอเคยเห็นเขาสวมเป็นประจำคือสูทหรู ราคาแพงระยับ คัตติงเนี้ยบ แต่ถ้าคนสนิทที่รู้จักเขาดีพอจะรู้ว่าบุคลิกที่กล่าวมาเป็นบุคลิกที่คนภายนอกจะได้พบเห็น แต่ตัวจริงของเขา
‘โคลี่ จอมหื่น’
ไม่เขาไม่ใช่โคลี่ของเธอ เขาเกลียดเธอ และเธอก็เกลียดเขา อนันตาพยายามสลัดเขาออกจากหัวที่จริงก็สลัดเขาออกจากใจมาแปดปี แต่ทำไมเขายังอยู่ในใจของเธอตลอด
“แม่ขา รถเมล์มาแล้วค่ะ โบกเร็วๆ” อิ่มอุ่นกระตุกมือแม่แรงๆ เร่งให้รีบโบกกลัวรถจะผ่านไปแล้วต้องรออีกนาน
อนันตาสะดุ้ง รีบยื่นมือเรียวไปโบกรถประจำทาง รถคันนั้นเกือบจะผ่านหน้าเธอไปแล้ว จำต้องเบรกกะทันหัน
“แย่จริง!” อนันตาว่าตัวเองที่โบกรถอย่างกระชั้นชิดแล้วรู้สึกผิดขึ้นมา เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ไม่ทันได้มองอะไรเสียงกระเป๋ารถเมล์ที่ยืนอยู่ตรงประตูทางขึ้นก็ตวาดแหวลงมา
“ขึ้นเร็วๆ สิ จะไปไหม ขึ้นแล้วก็ชิดในเลย อย่ามายืนขวางประตู”
สามคนแม่ลูกรีบขึ้นไปบนรถประจำทางที่เบียดเสียด แม้จะไม่มีใครลุกให้นั่ง เด็กหญิงกับเด็กชายก็ไม่ได้บ่นแม้แต่ประการใด แต่เพียงครู่เดียวก็มีคนใจดีลุกให้นั่ง อนันตาจึงรีบบอกขอบคุณเขา
ในขณะที่รถเมล์เคลื่อนออกจากป้ายไปแล้ว รถยนต์คันหรูสีดำระดับเฟิสต์คลาส สนนราคามากว่าสิบห้าล้านบาท ที่ขับตามรถเมล์มาจำต้องเบรกกะทันหัน
คนขับรถบ่นอุบ “เกือบจะชนตูดแล้วไหมล่ะ เบรกรับคนซะได้ ไอ้คนโบกก็ช่างกระไร” แล้วรีบหันไปขอโทษขอโพย ร่างสูงในชุดสูทเรียบหรูแลดูมีออราที่นั่งเหยียดกายหลังพิงเบาะ แล้วหลับตาคิดทบทวนวางแผนงานในปีนี้
“ขอโทษครับคุณโคล์ เมื่อครู่รถเมล์เบรกกะทันหัน ผมเลยต้องเบรก ไอ้คนขับก็กลัวไม่ได้ผู้โดยสาร ไอ้คนโบกก็...”
โคล์ อิเมอร์สัน ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เลิกบ่น “ช่างเถอะ ไม่เกิดอุบัติเหตุก็ดีแล้ว”
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าคนโบกสวย ผมลงไปด่าแล้วครับ”
โคล์ไม่อยากจะฟังอะไร เขานิ่งเงียบอยากจะทบทวนอะไรก่อนเข้าประชุม คนขับรถเห็นสีหน้ารำคาญก็รู้ตัวว่าต้องรีบหุบปากซะ อย่าทำอะไรให้นายใหญ่ไม่ชอบ บอดีการ์ดที่ขับตามมาสั่งเอาไว้ ที่เขาได้มาเป็นคนขับเพราะชำนาญเส้นทางดี รอบรู้เส้นทางเลี่ยงรถติด จึงได้มารับใช้มหาเศรษฐีจากอเมริกาผู้นี้เป็นครั้งคราว