3 เดือนต่อมา
ประเทศไทย
อีกซีกหนึ่งของโลกภายในบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก เสียงเด็กชายและเด็กหญิงพากันร้องดังลั่นด้วยความกลัว
“แม่จ๋า...แม่อย่าเป็นอะไรนะ”
“แม่ครับ...ผมจะช่วยแม่”
ดวงหน้าสวยซีดเผือดของ ‘อนันตา’ แทบจะมองไม่เห็นสีเลือด ขาเรียวสองข้างรู้สึกสั่นเกร็ง หัวใจเต้นระรัว ยังมีบุญอยู่บ้างที่แขนขวาคว้ายึดโต๊ะทำงานเอาไว้ได้
เสียงร้องของเด็กหญิงสลับเด็กชายนั้นคือ ‘ไอรัก’ ลูกชาย และ ‘อิ่มอุ่น’ ลูกสาว เด็กลูกครึ่งไทย-อเมริกันวัยเจ็ดขวบเศษเป็นพี่น้องฝาแฝด ทั้งคู่พูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน เพราะอนันตาผู้เป็นมารดาคือครูคนแรกของลูก อนันตาสอนหนังสือให้ลูกๆ ด้วยตัวเองทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไอรักและอิ่มอุ่นถึงจะเก่งแต่เนื่องจากแม่ไม่ค่อยมีเงินจึงจำต้องเข้าเรียนในโรงเรียนวัดบางฉิมพลี ซึ่งอยู่ในละแวกบ้าน
เพราะการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หาเงินเลี้ยงลูกสองคนเพียงคนเดียวทำให้อนันตาตัดสินใจส่งเด็กๆ เข้าเรียนโรงเรียนวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่จัดหลักสูตรเข้มให้ลูกทุกๆ เย็น ทั้งท่องสูตรคูณ บวก ลบตัวเลข แม้จะอายุเพียงเจ็ดขวบเศษ แต่เด็กทั้งคู่สามารถท่องสูตรคูณได้ถึงแม่สิบสอง และบวกลบเลขทั้งแนวตั้งและแนวนอนได้ จนคุณครูเอ่ยชมเสมอ
“แม่ครับ แม่เป็นอะไรไป” ไอรักโผเข้ากอดแม่แน่น
ในขณะที่อิ่มอุ่นคิดว่าแม่ทำงานหนักจนเหนื่อย หนูน้อยในชุดกระโปรงบานสีชมพู ตัดเย็บด้วยฝีมือของอนันตา วิ่งไปที่ตู้ทำน้ำเย็นแล้วกดน้ำใส่แก้ว ไม่ลืมหยิบขวดอุทัยทิพย์มาหยดลงไปหนึ่งหยด เพราะแม่พูดเสมอว่าดื่มแล้วชื่นใจ แต่นาทีที่แม่ล้มทั้งยืน เด็กน้อยคิดอะไรไม่ออก หาช้อนคนไม่ทัน
อิ่มอุ่นเอานิ้วชี้ป้อมๆ สั้นๆ แต่มั่นใจว่าสะอาดดีแกว่งลงไปในแก้ว วิ่งปร๋อกลับมาที่โต๊ะทำงานสีขาวริมหน้าต่างแล้วยื่นแก้วให้แม่
“แม่ขา อิ่มอุ่นเอาน้ำมาให้”
“ขอบใจจ้ะ ไอรัก อิ่มอุ่น”
อนันตารับน้ำจากมือน้อยของอิ่มอุ่นไปจิบเล็กน้อยแล้ววางบนโต๊ะทำงาน คนเป็นแม่น้ำตาไหลพรากมองลูกที่แม้ยังเล็กแต่ก็รู้จักดูแลแม่ อนันตาคว้าร่างอวบกลมของลูกทั้งสองเข้ามากอดแนบอกแล้วหลับตาลง พยายามเบือนหน้าหนี ขับไล่ความรู้สึกเจ็บปวด “แม่ขอโทษนะคะ ไอรัก อิ่มอุ่น วันหลังแม่จะไม่ให้เงินขาดมือแบบนี้อีก”
ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่งานแปลลดน้อยลงพอลูกเปิดเทอมจึงทำให้เธอหมุนเงินไม่ทัน อนันตาเลือกทำอาชีพแปลหนังสือเพื่อจะได้อยู่บ้านมีเวลาดูแลลูกทั้งสองคนเองจึงชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้จะมีอาชีพเสริมทำขนมอบ เช่น เค้กกล้วยหอม บราวนี ขนมปังต่างๆ ส่งตามร้านกาแฟสดในละแวกบ้านแล้วก็ตาม แต่เพราะไม่ได้ค้ากำไรเกินควรจึงเหลือกำไรไม่มาก
อนันตาหายใจสะท้าน เหนื่อยกับชีวิต เรื่องเงินเรื่องทองเธอไม่อยากจะรบกวนใคร แม้จะมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งที่ดูแลเธอกับลูกอยู่ดี แต่เธอก็ไม่อยากรบกวนเขา ไม่เคยปริปากขอหยิบยืมเงินจากใคร แต่เมื่อเห็นลูกน้อยน่ารักตาดำๆ ทั้งสอง คน อนันตาก็บอกกับตัวเองต่อไปจะไม่ปล่อยให้เงินขาดมือ
เมื่อเช้าตอนกำลังจะหุงเข้าวเธอรู้สึกจุกที่ต้องนำข้าวสารที่เหลือเพียงแก้วสุดท้ายมาต้มใส่น้ำเยอะๆ แล้วนำไส้กรอกที่เหลือติดตู้เย็นเพียงหนึ่งอันมาซอยแบบขวาง เป็นชิ้นวงกลมเล็กๆ ทอดให้ลูกแบ่งกันกินกับข้าวต้ม เป็นเพราะอนันตาใจอ่อน นำเงินที่ต้องใช้ถึงปลายเดือนก่อนจะได้รับค่าจ้างแปลให้ ‘นิตยา’ เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปจากเธอสามหลังหยิบยืมไปจ่ายค่าเทอมลูกก่อน
แต่เมื่อถึงวันกำหนด นิตยากลับไม่มีเงินคืน ในขณะที่อนันตาเริ่มเงินขาดมือเพราะงานแปลน้อย บางทีค่าต้นฉบับก็ถูกเลื่อน ความเครียดบวกกับการทำงานหนักพักผ่อนน้อย เมื่อครู่เธอตั้งใจจะลุกขึ้นเดินไปชงกาแฟอีกแก้วเกิดสภาวะบ้านหมุน วัตถุในห้องเคลื่อนที่เองได้ จึงเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมา โชคยังดีที่เธอไม่ล้มลงกระแทกพื้น
ไอรักเป็นห่วงแม่ เขาเห็นแม่ทำงานหนักทุกวัน เด็กชายเข้ามากอดแม่แน่น “แม่ครับ ไอรักจะพาแม่ไปหาหมอนะครับ”
อนันตายกมือเย็นเฉียบลูบศีรษะลูกด้วยความรัก “แม่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว นอนพักเดี๋ยวคงหาย”
“แต่แม่หน้าซีดมากเลยนะครับ”
“แม่ แม่ไม่มีเงิน” อนันตากัดฟันบอกลูกหน้าเศร้า
เด็กชายลูกครึ่งหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาเตะตา หันไปกุมมือน้องสาว “อิ่มอุ่นมีเงินเท่าไหร่”
อิ่มอุ่นเงยหน้ามองแม่ด้วยความเป็นห่วง แล้วหันมาตอบพี่ชาย เด็กๆ นับเลขเก่งและนับเงินที่หยอดลงกระปุกซึ่งได้มาจากธนาคารออมสินทุกๆ วัน
“สามร้อยสี่สิบแล้ว”
“พี่มีสี่ร้อยสิบบาท”
เด็กทั้งสองจับมือกันวิ่งไปหยิบกระปุกออมสินที่วางไว้บนชั้นที่สองของชั้นวางสีขาวติดกำแพงในห้องนั่งเล่น แล้วนำกระปุกมายัดใส่มือแม่
“ไอรักให้แม่หมดเลยครับ”
“อิ่มอุ่นก็ให้แม่หมดเลยค่ะ ไปหาหมอกันนะคะ”
อนันตายกมือปาดน้ำตาแล้วปล่อยโฮ กอดลูกทั้งสองปิ่มจะขาดใจ พวกเด็กๆ ได้รับค่าขนมเล็กน้อยแค่วันละยี่สิบบาทยังอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้
“แม่...” อนันตาพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นติดอยู่ในลำคอ “แม่เบียดเบียนเงินของไอรักกับอิ่มอุ่นไม่ได้หรอก”
อิ่มอุ่นยิ้มแป้นให้แม่ แล้วยกมือป้อมๆ ไปปาดน้ำตาที่ไหลย้อยอาบแก้ม ในสายตาของแม่หนู แม่ของอิ่มอุ่นสวยมาก แต่ขาดการดูแลตัวเอง อิ่มอุ่นไม่รู้ว่าทำไมแม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วย
“อิ่มอุ่นให้แม่ค่ะ แต่ถ้าแม่ไม่กล้าใช้ อิ่มอุ่นให้ยืมก็ได้ ถ้าแม่มีคืน อิ่มอุ่นคิดดอกเบี้ยแค่ร้อยเดียวค่ะ”
อิ่มอุ่นเด็กน้อยลูกครึ่งพูดภาษาไทยชัดแจ๋วเอ่ยอย่างน่ารัก พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้โลกเทาๆ ของอนันตาสดใสขึ้น
“ร้อยเดียว!” ไอรักที่ได้ฟังมองค้อนน้องสาว “ยัยอิ่มขี้งก คิดดอกเบี้ยแม่ด้วย”
อนันตาเห็นสองพี่น้องค้อนกันไปมา จากที่ร้องไห้เมื่อครู่เพราะความเครียดกลับหลุดหัวเราะพรืดออกมา สาบานได้ หากไม่มีลูกแล้ว เธอก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน
“แม่ต้องร่างสัญญากู้ยืมเงินด้วยหรือเปล่า”
อิ่มอุ่นตัวแสบรีบชิงตอบ “ถ้าแม่เขียนไหว ก็ดีค่ะ เราจะได้มีหลักฐานเก็บไว้คนละหนึ่งใบ”
อนันตารู้ว่าแม่ตัวแสบชอบแอบไปคุยกับลุงข้างบ้านที่เป็นนักกฎหมาย ฝ่ายนั้นชอบมาวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหน้าบ้าน อิ่มอุ่นจึงเป็นเด็กที่ออกจะหัวหมอนิดๆ
“เรานี่มันแสบจริงๆ” อนันตายกมือยีผมอิ่มอุ่นแล้วแสร้งเขกศีรษะเล็กเบาๆ ไปหนึ่งที แค่นี้เธอก็รู้สึกว่าอาการป่วยหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีอะไรดีเท่ากับยาใจสองคนนี้แล้วจริงๆ
“ตกลงว่าแม่ไปหาหมอนะคะ” อิ่มอุ่นยังถามต่อ แววตาใสแจ๋วมองแม่ด้วยความเป็นห่วง
อนันตาถอนใจให้กับดวงตาดำขลับสองคู่ที่มองมา แล้วพยักหน้าเบาๆ “ไปก็ไปจ้ะ”