อารยาแอบไต่ปลายนิ้วกระดึ๊บๆ ไปหยิบโทรศัพท์ของภีมพลมาใส่รหัสผ่านเข้าเช็คเฟซบุ๊กของตัวเองเพื่อส่งข้อความไปหาฟ้าใส หางตาเขามองแว้บเดียวก็ไม่สนใจขอแค่ไม่ได้คุยกับผู้ชายอื่นจะคุยตอนไหนก็ได้ ไอ้พวกผู้ชายที่หวังมาจีบเมียเขาทางเฟซบุ๊ก ฝันเถอะว่าจะเข้าถึงตัว เขาให้เมียล็อกอินค้างไว้ในเครื่องเขาพอมีคนทักมาจีบก็ถูกเขาด่าทุกราย
ฟ้าใสส่งสายตามามองส่ายหน้าไปมาพยักเพยิดชวนกันไปเข้าห้องน้ำเพื่อจะได้คุยกันในนั้น อารยายิ้มรับ “อายขอไปห้องน้ำกับฟ้าใสสักครู่นะคะ อาภีมอย่าลืมสั่งส้มตำให้อายนะอายอยากกิน ไม่ปวดท้องแน่นอนสัญญาสามนิ้วเลยเอ้า” ทำหน้าจริงจังกระดิกนิ้วทั้งสามไปมา
ให้ตายเถอะ ภีมพลทำหน้าตาเหมือนไม่พอใจเขาไม่ค่อยอยากให้เมียกินอะไรที่เสี่ยงต่อการปวดท้องแต่ดูเหมือนจะห้ามเจ้าหล่อนไม่ได้ “อืมๆ รู้แล้ว เดี๋ยวจะสั่งเพิ่มให้แต่จะสั่งไม่เผ็ดนะ โอเค้?”
“ได้ไงคะอาภีม ส้มตำมันต้องเผ็ดจี๊ดจ๊าดสิถึงจะโดนใจ” ฟ้าใสแย้งได้ตรงจุดอารยารีบพยักหน้ารับเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้นแต่เปลี่ยนใจภีมพลไม่ได้ เขาสะบัดมือไล่สองสาวจะไปไหนก็ไปจึงถูกสองแสบย่นจมูกใส่ก่อนลุกออกไปจากโต๊ะอาหารเหลือเขากับน้องชาย นายภูมิหรี่สายตาคมแคบมองหน้าด้วยสายตาแปลกๆ เขาหวั่นใจจึงแสร้งหยิบแก้วน้ำมาจิบแก้กระหายจนเกือบหมดแก้วมันก็ยังคงจดจ้อง
“พี่ภีม สารภาพมาซะดีๆ ว่าพี่กับน้องอายมีอะไรกันแล้ว เรื่องเมื่อคืน... ผมได้ยินนะ” น้ำแทบพุ่งออกจากปากภีมพลสำลักไอแค่กๆ
“อะไรของนายวะจู่ๆ ก็มาถามเรื่องนี้” ภีมพลแว้ดถามร้อนตัว
“ก็ผมคาใจนี่นา พี่กับน้องอายไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วแต่ทำไมยังวางตัวเฉยเหมือนคนไม่จริงใจไม่จริงจังถึงขั้นยอมเปิดเผยสถานะ ติดปัญหาอะไรเหรอพี่ภีมทั้งที่คุณแม่คุณยายก็เอ็นดูน้องอาย” ทบทวนทั้งวันก็ยังไม่เข้าใจว่าพี่ชายคิดจะทำอะไรกันแน่หรือเห็นน้องเป็นแค่ของใกล้มือ
“นายไม่ต้องมาเสือกเรื่องของฉัน รู้แล้วก็เก็บเงียบไว้ซะอย่าเอาไปบอกใครล่ะ” ตอบหลังเงียบไปพักใหญ่สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “ยังไม่ถึงเวลาที่ทุกคนจะรู้เรื่องนี้ ฉันกับอายเราแค่นอนด้วยกันแก้เหงาเฉยๆ”
“น้องอายเองก็คิดแบบนี้งั้นเหรอครับ” เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าอารยาจะหัวสมัยใหม่ถึงขั้นยอมนอนกับผู้ชายเพื่อแก้เหงา ไม่จริง ไม่มีทางยอมเชื่อแน่นอนเขาว่าภีมพลคิดแบบนั้นไปเองคนเดียวมากกว่า
แววตาภีมพลแข็งกร้าวสั่งให้น้องชายหยุดพูดเรื่องนี้ ชูมือขึ้นเรียกเด็กเสิร์ฟมารับออร์เดอร์เพิ่มสั่งเมนูส้มตำกับขนมจีนมาให้อารยา เมื่อสองสาวกลับมาอาหารก็เริ่มถูกทยอยมาเสิร์ฟเรื่อยๆ กระทั่งเต็มโต๊ะ
“กินเยอะๆ นะ” เอาใจสาวซะหน่อย ฟ้าใสแยกเขี้ยวใส่ภาคภูมิเขี่ยอาหารที่เขาตักให้ไว้บนขอบจานทำหน้าตากวนๆ ไม่ยอมกิน
“กินเองก็ได้” มันเขี้ยวตัวแสบจึงแย่งกลับคืนมากินซะเอง เคี้ยวตุ้ยๆ เลิกคิ้วกวนหล่อนกลับคืนบ้างกลายเป็นทะเลาะกันบนโต๊ะอาหาร
“พอได้แล้วทั้งสองคนอย่าเสียมารยาทกับของกินสิ” ในฐานะที่อายุมากที่สุดในนี้ภีมพลเป็นคนปรามสองหนุ่มสาว “ภูมิ หลังกินข้าวเสร็จนายช่วยไปส่งฟ้าใสที่บ้านหน่อยนะพี่กับอายมีธุระต้องไปทำต่อ”
“ธุระอะไรเหรอคะ” อารยาเสียมารยาทถามขึ้นมาและก็ถูกเขาปรามทางสายตาในทันที น้อยใจชะมัด อยู่กับเขาไม่สามารถมีปากเสียงหรือสงสัยได้ ราวกับหล่อนเป็นคนของเขาเขาจะสั่งหันซ้ายหรือขวาก็ได้
“ไม่ต้องถามมากทำตามที่บอกก็พอแล้ว ฝากด้วยล่ะ”
“ได้ครับ” ภาคภูมิตอบรับเสียงขรึมเนื่องจากยังโกรธพี่ชายเรื่องเมื่อกี้ไม่หาย ไม่ชอบเลยที่พี่ชายเอาเปรียบอารยามากถึงขนาดนี้
หลังจากกินข้าวจนท้องอิ่มหนุ่มสาวสองคู่ก็แยกกันหน้าร้านอาหาร ธุระที่ภีมพลหมายถึงคือตลาดกลางคืนในท้องถิ่น เขาพาหล่อนมาเลือกซื้อชุดที่จะใส่ไปทำบุญในวันพรุ่งนี้มีหน้าที่คอยเดินตามเงียบๆ ไม่ออกความเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะไม่รู้เรื่องแฟชั่นของผู้หญิง
“อาภีม ชุดนี้อายใส่แล้วจะสวยไหมคะ” หยิบไม้แขวนชุดจากในราวทาบบนกายตนเองหมุนกลับมาถามทว่ารอยยิ้มอ่อนหวานกลับกระตุกค้างเมื่อเห็นสายตาภีมพลกำลังจ้องมองผู้หญิงคนอื่น หล่อนน้อยใจนำไม้แขวนผ้ากลับไปวางที่เดิมเดินผ่านหน้าเขาออกจากร้าน
เป็นแบบนี้ตลอดเลย นิสัยเขาเหมือนคุณกรเดชพ่อของเขา เจ้าชู้ หลายใจไม่ยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนไหนทั้งที่นอนกับหล่อนเกือบทุกคืน โทษใครได้ล่ะในเมื่อหล่อนใจง่ายยอมเองแค่เขากอดนิดหน่อยก็ใจอ่อนยอมทุกอย่าง ไร้ค่ามากกว่าผู้หญิงไซด์ไลน์ที่เขาชอบใช้บริการซะอีก
อารยาวิ่งหนีออกมาจากตลาดยกมือเช็ดน้ำตาปอยๆ ออกมาร้องไห้ในที่ห่างไกลผู้คน พอเถอะอาย เลิกรักเขาสักทีฉันไม่อยากเจ็บอีกแล้ว อารยาสั่งตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้นถึงขั้นร่างกายสั่นสะท้าน
“เป็นบ้าอะไรของเธอ วิ่งหนีออกมาทำไม!” ภีมพลวิ่งตามมาหยุดอยู่ข้างหลังตะคอกด่าเสียงดัง ไม่เข้าใจว่าเจ้าหล่อนต้องการอะไร
“อาภีมเลิกเจ้าชู้ เลิกมองคนอื่นนอกจากอายสักทีได้ไหม อายขอร้อง...” หล่อนย้อนกลับไปหาระดมทุบไปกลางอกกว้าง
“หยุดตีได้แล้ว อย่ามาพาลหึงนะอาย!” เขารวบข้อมือเล็กไว้
“นั่นสินะคะ อายก็ลืมไปว่าไม่มีสิทธิ์หึงอาภีม... กลับกันเถอะค่ะอายไม่อยากได้อะไรแล้ว” ไม่อยากได้อะไรจากเขาอีกแล้วแม้กระทั่ง ‘ความรัก’ ก็ไม่อยากได้ หล่อนไม่อยากต้องเจ็บปวดเหมือนแม่ของเขา อารยาร้องไห้เดินย้อนกลับมาทางเดิมรอที่รถเข้าไปนั่งรอข้างในเก็บกักน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลตลอดทางจากตัวอำเภอกลับมายังบ้านแม่ของเขา คุณดุจตะวันกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์เห็นเข้ากำลังจะทักทายแต่หล่อนกลับวิ่งหนีท่าน น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งสุดแสนเสียใจในการกระทำของเขา
“ภีม น้องอายเป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้ ภีมทำอะไรน้องหรือเปล่า” ท่านคาดคั้นคำตอบจากลูกชายคนโตสีหน้าภีมพลค่อนข้างขรึม
“ไม่รู้สิครับ ผมไม่สนใจผู้หญิงงี่เง่า” ว่าจบเขาก็ขึ้นบ้านทันทีไม่สนใจเสียงเรียกของมารดา ปิดประตูลงกลอนเข้ามานั่งปลายเตียงไม่สนใจจะเปิดไฟยกมือขึ้นกุมขมับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงดี แค่มองผู้หญิงอื่นแค่นั้นอารยาก็หึงหน้ามืดตามัวแล้วเหรอ งี่เง่าสิ้นดีผู้หญิงโง่ ทำไมไม่มองให้ดีว่าเข้ามองคนอื่นด้วยสายตาแบบไหน ไม่ใช่สายตาเจ้าชู้อยากได้อยากเข้าไปจีบสักหน่อย แค่ปรามไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นซุบซิบกับเพื่อนแล้วปรายสายตามาทางเมียเขา ซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ ไร้สาระ!
แล้วคิดเหรอว่าเขาจะอธิบายอะไรละเอียดอ่อนแบบนี้ให้อารยาฟัง ฝันไปเถอะ คนปากหนักปากแข็งอย่างเขาไม่ทำอะไรมุ้งมิ้งแบบนี้หรอก ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะเขาทำให้หล่อนมีน้ำตาอีกแล้วสินะ
ภีมพลทิ้งกายลงนอนบนเตียงกว้างถอนหายใจเหนื่อยอ่อน คิดไม่ตกว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไงดี รักอารยานะ แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยไม่กล้าให้คนอื่นรับรู้สถานะลับๆ ว่าหล่อนเป็นเมียทางพฤตินัยของเขา
“คงงอนเหมือนทุกครั้งล่ะมั้งอาบน้ำแล้วไปง้อดีกว่า” เด้งกายขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวหลังให้ไฟในบ้านทุกดวงดับลงก็ออกจากห้องนอนส่วนตัวตรงดิ่งไปยังห้องอารยาทว่ากลับพบว่าหล่อนลงกลอนแน่นหนา ไม่ละความพยายามภีมพลหมุนลูกบิดรุนแรงเคาะประตูเรียกหล่อน เงียบ... ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา เขากลับไปห้องเพื่อต่อสายโทรหาหล่อน
สายแรกไร้การตอบกลับและสายที่สองก็เช่นกัน ให้มันได้อย่างนี้สิ โกรธจริงเหรอวะเนี่ย เขาตัดสินใจเลิกโทรตื้อทิ้งโทรศัพท์แล้วข่มตานอนประท้วงอารยาเหมือนกันว่าเขาจะง้อแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนทางด้านอารยานั้นกำลังนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าใบหน้ายังเจิ่งนองน้ำตา