Chapter 14
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างไปครู่ มีรอยยิ้มอยู่ข้างในอย่างอิ่มเอมใจ ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะสอดประสานปลายนิ้วเรียวเข้ากับมือของเธอ เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดี เขาหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นสะพายบ่าแทนให้
“พี่เปาอ่ะ... มาบอกรักอะไรแต่เช้า” แก้มขาวนวลร้อนผ่าวขึ้นตามลำดับ ไม่อายก็คงจะแปลก เธอยอมให้เขาจับจูงมืออย่างว่าง่าย มือหนากระตุกมือของเธอเบา ๆ เป็นเชิงว่าขอ...
“พี่จะเอาพุดทุกวัน วันไหนไม่ให้... น่าดู”
แววตาเป็นประกายบอกว่าเขากลายเป็นพวกเสพติดความหวานไปแล้ว ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตเรียบร้อยเดินนำหน้าไปให้คนข้างหลังหลุบตามองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกมากมายหลายอย่าง
บรรยากาศระหว่างเธอและเขาเปลี่ยนไป... ในทางที่ดีแม้ยังมองไม่เห็นอนาคต
ชั้นแรกของห้องพัก คอนโดมิเนียมสไตล์บ้านสวนอยู่ติดกับลานจอดรถยนต์กลางแจ้งที่มีต้นไม้ร่มรื่น ห่างไปไม่กี่ก้าวเดินคงจะต้องสวนกับห้องอื่น ๆ เป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ธรรมดาตรงสายตาของเพื่อนบ้านวันนี้...
ปรายลดาเป็นคนขี้อายอยู่แล้วคงจะหลบหน้าหลบตาผู้คน เธอก้มหน้าก้มตาเดินต่างจากผู้ชายหน้าหนาที่ทำหน้าตาเฉย เปิดประตูรถยนต์ให้เธอแล้วก็เข้าไปนั่งที่ของตัวเองอย่างอารมณ์ดี
“พี่ว่า... เรากลับบ้านกันบ้างดีไหม? กำแพงที่นี่มันคงไม่หนาเท่าบ้านหลังที่พี่ออกแบบ ไม่ก็ต้องซื้อคอนโดฯที่มันแพง ๆ กว่านี้ เลือกที่เก็บเสียงหน่อย...” เบ้ปากว่าแล้วก็เลิกคิ้วมองคนข้างกายที่จะต้องโวยวายแน่ ๆ
“พุดเสียงดังมาก...”
“พี่เปา...!” เสียงหวานตวาดในลำคอ ก่อนจะลดน้ำเสียงให้เป็นเป็นปรกติ “ปัญหามันอยู่ที่พี่ ไม่ใช่พุดหรือกำแพงห้องมันบางป่ะ”
“อืม... งั้นเราเปลี่ยนสถานที่? เป็นในรถ... หรือว่า..”
“ไปได้หรือยังคะ? พุดจะสายละ” เธอว่าให้เขาต้องเหยียบคันเร่งเบา ๆ
ระยะทางไม่ไกลจากที่พักไปถึงมหาวิทยาลัย เสียงกระหึ่มของฟ้าอากาศไม่เป็นใจพาดวงตาคู่สวยเหลือบมองตามหยดน้ำมากมายที่สาดเทลงมาระลอกใหญ่ กระทบลงบนรถยนต์จนเกิดเสียงดังไปทั่วท้องถนน
เสียงฟ้าร้องฝนตกทำให้นึกถึงสมัยที่เธอยังเป็นเด็กสักประมาณห้าขวบได้...
แม่ทะเลาะกับพ่อแล้ววิ่งออกไปกลางสายฝน จากนั้นแม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย
สายตาเย็นยะเยียบของพ่อปองที่ไม่เคยแตะต้องตัวเธอทำให้เข้าใจความหมายได้ไม่ยากว่าเขาไม่ได้รักและเอ็นดูเธออีกต่อไป
ในบ้านหลังนั้น เธอแค่ใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ลำพังกับแม่อนงค์ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้เจอกับพ่อเลี้ยง
“พ่อเปา...” เสียงหวานเรียกผ่านกระจกรถยนต์ออกไป กระตุกหัวใจชายหนุ่ม ไม่ใช่ในทางที่ดีนัก หลังจากที่ความสัมพันธ์ของเธอและเขาเพิ่งเปลี่ยนไป ทว่าเขาแค่กุมพวงมาลัยไปเฉย ๆ
เป็นฝ่ายหญิงสาวที่หน้าแดงซ่านขึ้นตามลำดับ เมื่อหัวสมองดันนึกถึงมัดกล้ามเป็นล่ำสันพร่างพราวด้วยเม็ดเหงื่อ แรงกระตุกครั้งสุดท้ายของคนที่ปลดปล่อยทุกสิ่งเข้ามาในตัวเธออย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจ ผู้ชายอะไรร้อนแรงเป็นบ้า!
“แวะร้านขายยาให้พุดด้วยนะ พี่เปา... เอ่อ... ไม่ได้ป้องกัน” พูดอย่างอาย ๆ ในรอยยิ้มมีนัยของอีกคนที่ตั้งใจว่าจะไม่ทัก
“พี่ไม่ได้ซื้อถุงยางมานานแล้ว วัน ๆ ทำแต่งานไม่มีเวลาไปเล่นซุกซนกับสาวที่ไหน คราวหน้าพี่จะป้องกันละกัน... เว้นแต่ว่าพุดชอบ.. แตกใน”
“บ้า... ท้องขึ้นมาจะทำไง?”
“ท้องก็แต่ง พุดเรียนจะจบอยู่แล้วนี่ พี่ได้ยินว่าเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้เขาเรียนกันแค่สามปีครึ่ง”
คำพูดของเขาเหมือนกับการสร้างสวนดอกไม้หลากสีสันในหัวใจเธอเบ่งบาน มันเคยเป็นความฝันของเด็กสาวคนหนึ่ง
เธอฝัน... ว่าได้ใส่ชุดแต่งงานมีพ่อเลี้ยงเป็นเจ้าบ่าวมาตลอด
สวนทางกับความเป็นจริงที่รอบกายของเขาเต็มไปด้วยผู้หญิงมากหน้าหลายตา เข้ามาหาอยู่ไม่ขาดโดยเฉพาะเรื่องอย่างว่า
“พี่... ไม่ได้มีแฟนหรือว่า... คบกับพี่ปิ่น?”
“พี่คบคนอื่นอยู่ พี่ไม่เอาพุดหรอก เมื่อก่อนพี่ป้องกันทุกครั้งไม่ต้องห่วง” เขาสารภาพไปตามตรง พูดด้วยอารมณ์ปรกติขณะมองทางถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ เพราะไม่อยากให้ปรายลดาไม่สบายใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“คือพุดแค่สงสัย... พี่เคยพาผู้หญิงมาที่บ้านตั้งหลายคน แล้วพุดเกรงใจพี่ปิ่น”
“พี่กับปิ่นเป็นเพื่อนกัน...”
ปิ่นแก้วแต่ก่อนนั้นคบๆเลิกๆมาตั้งแต่ปรเมษฐ์เรียนจบจนถึงทุกวันนี้เข้าออกบ้านได้ตลอดเหมือนเป็นญาติมิตรกันอีกคนหนึ่ง ปรายลดาเองก็เห็นว่าเขาพาปิ่นแก้วเข้าห้องนอนตัวเอง ห้องทำงานและห้องที่เขาไม่เธอเข้าไป แต่ดูท่าทางแล้วว่าเจ้าตัวไม่คงอยากพูดถึงมันอีก
“พี่จะไม่พูดถึงเรื่องคนอื่น ตอนนี้มันอยู่ที่พุดว่าจะรับความรักของพี่ไหวหรือเปล่า? พี่จะไม่ปล่อยพุดไปอีกแล้ว จนกว่าพุดจะหนีพี่ไปเอง”
“พุดเนี่ยนะ... จะหนีพี่?”
“ก็หนีอยู่นี่ไง จนพี่ต้องมาตาม”
น้ำเสียงวางอำนาจดุคนที่ถึงกับเลิกทำหน้าสงสัย เบะปากเป็นเด็กเล็กๆแต่ถ้อยคำมากด้วยเหตุผล “พุดไม่ได้หนี พุดแค่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ พุดอยากลืมพี่เปา...”
“ไม่มีวันที่พุดจะลืมพี่ได้ ไอ้หน้าจืดนั่นจะไม่ได้มายุ่งกับพุดอีกด้วย” เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจทั้งสีหน้าและแววตา เขายิ้มออกมา หันไปมองดวงหน้าแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือเขินอายเขาตามนิสัยของเธอ เมื่อจอดรถลงสนิทดี
“พี่ลงไปซื้อยาให้ดีกว่า...”
เสียงประตูรถยนต์ที่ปิดลงสร้างรอยยิ้มบนวงหน้าหวาน หลังจากที่ปรายลดาได้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนทรมานเพราะรักเขามากเกินไป โดยไม่ได้รู้ว่าปรเมษฐ์เองก็รักเธอมาตลอด รัก... จนอาจจะถึงขั้นหลงใหลคลั่งไคล้...
“แม่ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของพุดนะ แม่เป็นแม่ของเปา... พ่อเลี้ยงพุด เคยเจอกันแล้วใช่ไหม?” อนงค์ได้ยินมาจากชายหนุ่มที่เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ในห้องรับแขกกว้างขวางของบ้านหลังใหญ่
ธามไทตั้งใจเดินทางมาถามความจริง เพราะมันเป็นสถานที่ ๆ เดียวที่ปรายลดาเคยพามาไหว้ผู้ใหญ่ เขาคงได้แต่หวังว่าจะได้ข่าวคราวของเธอบ้าง
หลายวันมานี้เธอบล็อกไลน์ บล็อกเฟซ ปิดเครื่องเปลี่ยนเบอร์หนีไปเสียอย่างนั้น ไปตามหาตัวที่คณะก็ไม่เจอ
ทั้งที่เคยส่งเสียงหัวเราะมาตามสายพูดคุยเรื่องสนุก ๆ ทุกคืน ไปรับไปส่งกันตลอดในความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครพูดอะไร นอกจากความรู้สึกดี ๆ ผ่านแววตาเศร้าหมองของหญิงสาวที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นตอนอยู่กับเขา
“แล้ว... ตกลงทั้งสองคนเป็นอะไรกันครับ? ปริมบอกผมว่าพ่อเลี้ยงเลี้ยงพุดมา แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน”
“ตาเปา ลูกชายแม่เป็นน้องชายของพ่อเลี้ยงพุด ก็เป็นอานั่นแหละจ้ะ เขาเรียกกันแบบนั้น ‘พี่’ ‘พ่อเลี้ยง’ จะให้เรียกอาเลี้ยงมันยังไง ๆ” ในความเข้าใจของอนงค์คือเด็กหญิงพุทราแยกไม่ออกระหว่างพ่อกับอาคืออะไรกันแน่ เมื่อการกระทำของคนทั้งสองสวนทางกัน หล่อนยังเป็นคนบอกเองว่าอาเลี้ยงมันไม่มี...
ก็เรียกกันแบบนั้นมาตลอด...
“เขา... เอ่อ... พ่อเลี้ยง ไม่ใช่ญาติแล้วทำไม...?”
อนงค์มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่รู้ว่าควรบอกดีหรือไม่ กลอกตาไปมาอยู่บนโซฟาเดี่ยวในฝั่งตรงข้ามกัน
“ผมไม่บอกใครหรอกครับ คุณน้าเล่าให้ผมฟังได้”
“พุดไม่ใช่ลูกของลูกชายคนโตของแม่น่ะ เป็นลูกคนอื่น แต่เลี้ยงกันมาแล้วก็ต้องเลี้ยงต่อไป”
หนุ่มวัยยี่สิบสามปีไม่ใช่คนโง่ที่จะคาดเดาเรื่องราวไม่ออก เขารู้สึกสงสารปรายลดาขึ้นมาจับใจ แต่ที่มาวันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...
“พ่อเลี้ยงไม่ได้รักพุดแบบลูกใช่ไหมครับ?”
“นั่นแหละ แม่ก็ไม่ค่อยชอบหรอก แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอก”
ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้น ต่างคนสบตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง อนงค์ตัดสินใจเอ่ย
“เราเป็นเพื่อนกับพุด ช่วยกันเรียนหนังสือนะ แม่ว่าดีกว่า แม่จะบอกเปาไว้ให้ว่าไม่มีอะไร”
ธามไทไม่ได้คิดเหมือนแม่อนงค์... จึงทำหน้ายุ่งๆขณะนั่งประสานมือไว้ด้วยกันที่หน้าตัก
“ผมกับพุทราคบกันนะครับ คุณน้า... แต่ลูกชายคุณน้า...”
“อย่าไปยุ่งกับมันน่ะ เชื่อแม่ เป็นเพื่อนกันนะลูกนะ” บอกปัดไปอย่างรำคาญใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่อนงค์พูดคำ ๆ นี้ เมื่อสมัยมัธยมต้น มัธยมปลายก็มีอยู่คนสองคนมาตามจีบหลานสาวคนสวยของบ้านด้วยการอยู่ในฐานะเพื่อน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าหายไปไหน
แม่อนงค์อย่างไรเสียก็ต้องปกป้องลูกตัวเอง ถึงหล่อนจะเป็นคนพูดจาไพเราะนับลูกนับหลาน เอ็นดูผู้น้อยทุกคน
“จะรอพุด ก็นั่งรอไปก่อนนะลูก โทรนัดกันแล้วใช่ไหม?”
“ครับ เพื่อน ๆ พุดจะมาทำรายงานที่นี่” ไม่ขาดคำดี เสียงออดที่ดังขึ้นทำให้อนงค์ต้องลุกไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขก
บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่ออกแบบอย่างสวยงามลงตัวโดยสถาปนิกชื่อดัง สไตล์โมเดิร์นแบบเรียบง่าย ทั้งภายนอกและภายในตกแต่งด้วยสีเทาเข้มสลับสีเทาอ่อน ตัดขอบด้วยสีขาวเล็กน้อยสร้างความโดดเด่น มีระเบียงนั่งเล่นพ่วงติดกับสวนหย่อม บ่อปลาคาร์ฟขนาดใหญ่
นักศึกษาหนุ่มสาวนั้นมาพร้อมกันกับเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาวที่จอดลงหน้าบ้าน ปรายลดาเป็นคนชักชวนเพื่อน ๆ มา เพราะเคยมากันแล้วและเป็นสถานที่ที่ทำงานได้อย่างอิสระ ยังไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย สะดวกกว่าบ้านของเพื่อนคนอื่นที่มีคนอยู่เต็มบ้าน
เธอตกใจทันทีที่ก้าวขาเข้าบ้านแล้วพบว่าธามไทนั้นนั่งรออยู่
สองสายตาสบประสานกันอย่างอึดอัดใจ เพื่อนอีกสามคนที่มาด้วยกันยกมือไหว้แม่อนงค์
“สวัสดีค่ะ แม่อนงค์”
“ไหว้พระเถอะจ้ะ ตามสบายกันเลยนะลูก แม่จะไปจ่ายตลาด ไปหาข้าวหาปลาให้ลูกหลานกินละ” ในถ้อยคำปราศรัยของผู้ใหญ่ใจดีที่ฉีกยิ้มหวาน อนงค์อยากให้เด็ก ๆ ได้ทำตัวตามสบาย จึงคว้ากระเป๋าหนังขึ้นสะพาย แล้วออกจากบ้านไป
“ดีนะ บ้านแม่กับบ้านพ่อเลี้ยงแกอยู่ในซอยเดียวกัน เดินทางไปมาสะดวก รถไม่ติดด้วย”
“นั่นสิดาว บ้านใกล้กัน แม่อนงค์ไม่ต้องลำบากเลยจ้ะ” ปราลดายิ้มบาง ๆ พอไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีกับทุกคนในคณะที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง หลายคนรู้ว่าเธอไม่ถือตัว ช่วยงานอาจารย์ตลอด ถึงจะเงียบซึมในบางครั้ง