Chapter 9
“พุด... ขอตัว ไปทำการบ้านก่อนนะ” แล้วเดินไปอย่างระแวดระวัง เมื่อมีสายตาคู่หนึ่งในห้องติดตามอยู่ตลอดในทุก ๆ ฝีก้าว ตอนนี้เธอชักเริ่มสับสนกับพ่อเลี้ยง ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
กระทั่งร่างสูงหยุดยืนอยู่ในส่วนของห้องรับแขก นัยน์ตาประกายฟ้าครามส่งรังสีอำมหิตลอดผ่านช่องสี่เหลี่ยมของชั้นวางหนังสือ ปรายลดาที่กำลังหาหนังสือเรียนอยู่พูดออกมาลอย ๆ
“พี่เปา... กำลังว่าพุดในใจอยู่หรือเปล่า? หรือว่ามีอะไรไม่พอใจพุด”
“เปล่านี่... พี่ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่าบอกนะว่า... พุดป่วยจนหูแว่ว?” คิ้วเข้มหนาที่เรียงตัวอยู่เหนือดวงตาคู่คมผูกกันเป็นปมด้วยกำลังตรึกตรองเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับแฟนหนุ่มของเธอที่ไม่ยอมรับปากเขาด้วยซ้ำว่าจะเลิกกับมัน!
“พุดรู้ว่าพี่จะหาเรื่องพุด หาเรื่องพี่ธาม”
“ก็ถ้าพี่กำลังจะหาเรื่อง พุดจะทำยังไง?”
“พุดจะไปทำอะไรได้ล่ะ...” คนพูดมองค้อนเข้าทีหนึ่ง ก่อนจะหย่อนกันนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อที่จะทำรายงาน
ร่างสูงในเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มผู้พกพาความสูงชะรูดกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรเดินอ้อมไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน สั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“เอามือถือมาให้พี่”
“จะเอาไปทำอะไรคะ?”
“เอามา...”
หญิงสาวละสายตาจากหนังสือ ถอนหายใจหนัก ๆ ยอมทำตามที่เขาบอกคือส่งโทรศัพท์ให้ ยังปลดล็อกรหัสให้เขาจัดการทุกอย่างตามใจอยาก
“เรียนจบแล้วไม่ต้องมาทดแทนบุญคุณอะไรพี่ แค่ทำตามที่บอก... ห้ามมีแฟน พุดเคยทำอะไรให้พี่ ก็ทำให้มันเหมือนเดิม”
ใบหน้าสดสวยหันไปมอง... “ค่ะ”
เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำในทันที ปรายลดาวางปากกา แท็บเล็ตในมือเพื่อที่จะลุกไปทำหน้าที่ของตน...
อย่างแรกคือตู้เย็นของเขาไม่เคยว่าง น้ำผลไม้ ขนมปัง อาหารไขมันต่ำ โปรตีนของคนเล่นกล้าม เธอจึงเดินไปเปิดมัน พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จึงจัดการเสื้อผ้าเป็นรายการต่อไปซึ่งเธอก็รีดมันทุกตัวแม้แต่ชุดนอน หยิบเสื้อผ้าออกจากตู้ วางผ้าเช็ดตัวไว้บนปลายเตียง กลับไปที่หน้าห้องเพื่อกวาดสายตามองหารองเท้า...
ลูกเลี้ยง... ทาส... หรือภรรยา...
หน้าที่ไม่ได้ต่างไปสักเท่าไร ปรายลดาดูแลเขามาเป็นอย่างดีตลอดชีวิตเด็กสาวคนหนึ่งที่จะสามารถทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณได้ และถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากคำเดียว
“คืนนี้พี่จะนอนกับพุด...”
“ก็นอนสิคะ” เธอตอบ มันเป็นเรื่องปรกติที่นอนเตียงเดียวกันกับเขาหรือแม่อนงค์มาแต่เล็ก ๆ ในบางครั้ง แม้แต่กับปองกานต์ พ่อเลี้ยงตัวจริงที่จะได้มีโอกาสเห็นหน้ากันนับครั้งได้ ถึงพอเธอเริ่มโตสักหน่อยก็มีห้องนอนของตัวเอง บางคนในบ้านยังชอบมานอนด้วย...
ไม่มีอะไรมากไปกว่ากอด ต่างคนต่างนอน เขาแค่เปลี่ยนไปตั้งแต่เธอเริ่มโตเป็นสาว...
อายุสักประมาณสิบห้าได้... มันเริ่มต้นที่การลูบไล้ด้วยสัมผัสอ่อนโยน ซึ่งเธอไม่เคยนึกรังเกียจมันแม้แต่น้อย
“พี่จะนอนกับพุดทุกวัน” ปลายเสียงแอบแฝงความเจ้าเล่ห์ ปลายเท้าหนาที่ยังสวมถุงเท้าอยู่ก้าวไป หยุดยืนมองมือเรียวซึ่งคว้ารองเท้าสกปรกของเขาได้คู่หนึ่ง
ปรายลดาไม่ใช่เด็กสาววัยใสอีกต่อไป... เธอพอจะรู้ และก็ค้างคาใจ
“คือ... พุดไม่อยากให้พี่ธามเสียใจ เขาดีกับพุด คอยให้กำลังใจพุดตลอด พุดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เปาจะทิ้งพุดไปอีกเมื่อไร”
‘เขาดีกับพุด’ แววตาคู่คมทอประกายวูบไหวดุจเปลวไฟ เขาโกรธพอ ๆ กับที่เจ็บปวด ทว่าสติที่อยู่ครบถ้วนดีบอกว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ขณะยืนดูหญิงสาวขัดรองเท้าสีดำเปรอะเปื้อนให้เงามัน...
“เมื่อคืนนี้พี่นอนอยู่ที่โซฟา พี่รู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาในห้อง พุด... ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”
“รู้สึกอะไร? ไม่เห็นจะมีอะไรนี่” เอ่ยเนือย ๆ แล้วเธอก็จัดการรองเท้าหนังราคาแพงจนใหม่เอี่ยมสะอาดในระดับที่พึงพอใจ วางไว้ให้เรียบร้อยดี
“พี่เคยได้ยินเรื่องคอนโดฯมือสอง ฆ่ายกครัว ผูกคอตาย... ทาสีใหม่ ใส่เฟอร์สวย ๆ ขายราคาถูก แป้บเดียวมีคนมาซื้อละ ลูกค้าประจำของพี่ประมูลบ้าน ที่ดิน คอนโดฯมือสองมาโมใหม่แล้วขายต่อ พุดรู้หรือเปล่า? ห้องสวย ๆ มันราคาถูกเพราะว่าเคยมีคนตาย”
“พี่เปา... พูดอะไร?” สีหน้าเฉยเมยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ร่างบางห่อไหล่ไว้แล้วเม้มริมฝีปากเข้าหากันเมื่ออีกคนค่อย ๆ โน้มตัวลง พูดทีละถ้อยคำเบา ๆ
“พี่คิดว่า... ที่นี่... มีอะไรบางอย่าง...”
“พี่เปา... คิดไปเอง.. มั้งคะ” เสียงที่เบาลงจนเกือบจะไม่ได้ยิน ประสาทสัมผัสของเธอไวขึ้นราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังพูดเป็นเรื่องจริง ทั้งที่มันอาจเป็นแค่กลลวง
“พี่ว่ากลับไปนอนที่บ้านเราดีกว่า”
“พี่เปา... พี่อย่าเอาเรื่องผีมาหลอกพุด” ว่าเข้าให้แล้วขยิบตาอย่างนึกโกรธ เรื่องที่เธอไม่ชอบให้เขาพูดแต่เจ้าตัวก็หัวรั้นอยู่ ยังนั่งยองลงข้าง ๆ กันหน้าช่องทางแคบ ๆ ใกล้ประตู ยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
“พี่ไม่ได้หลอกพุด... พี่กำลังจะบอกเรื่องสำคัญมาก.. ถ้าได้กลิ่นอะไร ได้ยินเสียงอะไร หรือมีคนเรียกชื่อเรา ตอนกลางคืนต้องห้ามทัก ห้ามตอบ เข้าใจนะ? พี่ไปอาบน้ำก่อน เราทำการบ้านไปอ่ะ”
“พุดอาบก่อน..”
ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เพราะไม่อยากได้กลิ่นหอม ๆ ของปรายลดามาป่วนประสาทให้ต้องเกิดอารมณ์เปลี่ยวในห้องน้ำลำพัง ดวงตาคู่คมสีฟ้าครามประกายวาววับจ้องลึกลงไปในแววตาวูบไหวสั่น
“อาบน้ำด้วยกันไหม?”
“บ้า!” เสียงหวานว่า ก่อนจะตีมือลงบนฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นคว้าหมับเข้าไว้ไม่ให้เธอได้ทำร้ายเขา ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองตาม เมื่อเขาค่อย ๆ ลากมือของเธอขึ้นวางบนบ่า กระชับเอวบางไว้ในอ้อมแขน
“เดี๋ยวนี้มีปากมีเสียง... ยังกล้าตีพี่เหรอ? หืม... พุทรา”
“พุดไม่ได้ตั้งใจ... พุดกลัวนี่” ดวงตาคู่สวยกลิ้งกลอกไปมาในสีหน้าหวั่นกลัวทั้งคนทั้งผี
“ก็ควรจะต้องกลัว ฉากหนังผีในห้องน้ำนี่มันเป็นอะไรที่สุดแล้วนะ ห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า... ผีช่องแอร์ ระหว่างที่พี่เข้าห้องน้ำไป มันอาจจะออกมาก็ได้”
“พุดโตแล้วป่ะ... แล้วพี่เปาน่ะ พุดว่าน่ากลัวกว่าผีอีก”
“ก็ได้... ไม่บังคับ อ้อ... ระวังให้ดีแล้วกัน พี่แน่ใจว่าคอนโดฯนี้มีผีแน่ ๆ” ตรงนี้ตัวหนึ่ง... ใบหน้าหล่อเหลาผุดยิ้มร้าย พลันแค่นหัวเราะในลำคอ ถึงแผนการจะไม่สำเร็จดั่งใจหมาย แต่ก็มาได้กว่าครึ่งทาง...
อีกคนนั้นคงจะไม่ทันล่วงรู้ถึงแผนการร้าย จึงแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องวิญญาณหลอนในคอนโดฯ กดบ่ากว้างด้วยมือทั้งสองเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน
ปัง! เสียงสนั่นดัง
“กรี๊ด!” หวีดร้องดังเร็วพอกับที่สองแขนคว้าหมับเข้ารอบคอแกร่ง ทว่าพอมานึกขึ้นได้ทีหลังว่าเป็นเสียงอะไร คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน “พี่เปาทุบพื้นทำไม?”
“เปล่า พี่ไม่ได้ทุบสักหน่อย” ไม่ขาดคำดี
เคร้ง! คราวนี้ดังมาจากห้องน้ำ สองคนหันคอมองขวับไปพร้อม ๆ กันด้วยสีหน้าตื่นตะลึง คนหนึ่งนั้นไม่ยอมปล่อยคอที่ล็อกไว้แน่น ตัวสั่นเทาเป็นลูกนกตกรัง มีแค่เสียงหอบหายใจสั่นกลัวเป็นเครื่องบ่งบอกอย่างดีว่าเธอไม่ได้เสแสร้งทำ
ปรายลดานั้นกลายเป็นคนขี้กลัวผีตั้งแต่แม่เสียไป ชอบบอกว่าแม่มาหาอยู่บ่อย ๆ ปองกานต์จะเอาเรื่องผีมาขู่ วันไหนกินเหล้าเมาก็ขังลูกเลี้ยงไว้ในที่มืด ๆ หลายนานกว่าเขาจะเลิกงานแล้วกลับบ้านไปเจอ หากไม่ใช่เขาก็แม่อนงค์จะเป็นคนช่วยเธอออกมาทุกครั้ง
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกครั้งหนึ่ง ยกมือขึ้นตบแผ่นหลังบางเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก น่าจะเป็นเสียงหนู พี่เห็นห้องเรามีหนูอยู่ตัวนะ เดี๋ยวพี่ไปจับมันให้”
น้ำเสียงปลอบประโลมทำให้จิตใจสงบลง ทว่าคงไม่มากพอที่จะอยู่คนเดียว “อย่าเพิ่งไปอาบน้ำนะพี่เปา อยู่กับพุดก่อน ดูทีวีกัน ทำอะไรก็ได้”
“อืม... งั้นเราไปดูทีวีกัน...”