Chapter 8
“พุดไม่สบาย.. ขอกลับห้องไปนอนก่อนนะคะ” เสียงใสโพล่งขึ้นมา หลังจากที่นั่งเก็บงำความเครียดเอาไว้ในใจ เธอไม่อยู่ในอารมณ์รับประทานอาหาร แม้ว่ามันจะเป็นอาหารจานโปรด
“กินน้ำส้มสักแก้วสิ ค่อยไป กินยาซะด้วย” ซุ่มเสียงเด็ดขาด คนที่นิ่งอึ้งทำให้เขาต้องเอื้อมไปหยิบกระเป๋าผ้า ปรายลดาเป็นคนมีระบบระเบียบจัดของตัวเองเอาไว้เป็นอย่างดี มันจึงไม่ยากเลยที่เขาจะหยิบกล่องยาออกมา เรียงยาไว้บนกระดาษทิชชูบนโต๊ะทีละเม็ด
“ถึงพุดจะไม่มีใคร ไม่ได้หมายความผมจะต้องเป็นพ่อเธอ ผู้ชายสมัยนี้เขาเลี้ยงเด็ก เลี้ยงต้อยกันตั้งเยอะตั้งแยะ อย่าบอกนะว่า... น้องไม่เคยไปเลี้ยงอาหารบ้านเด็กกำพร้า? ยังงี้ใครไปทำบุญทำทาน ก็ต้องเป็นพ่อหมดเลยน่ะสิ”
ตาคมเหลือบมองวงหน้าแดงก่ำของชายหนุ่มที่โกรธจัด มือกำหมัดแน่น ประกาศตัวเป็นศัตรูชัดเจน ขณะที่เจ้าตัวน่าจะรู้ดีว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าปรายลดาอีกครั้งแล้ว
กินข้าวต่อไหวก็หน้าด้านเกินทน แต่วัยคึกคะนองก็เป็นแบบนั้น...
พออาหารเริ่มทยอยมา ปรเมษฐ์ยกยิ้มมุมปากให้อย่างเชื้อเชิญ “มื้อนี้พ่อเลี้ยงเลี้ยงเอง เพื่อนพุดทุกคน พ่อเลี้ยงก็เลี้ยงมาหมด ใช่ไหมพุด?”
ปรายลดาฝืนยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยความตั้งใจว่าหาทางปลีกตัวกลับบ้าน จึงหยิบแก้วน้ำและยาขึ้นมารับประทาน ซึ่งมันแทบจะหก! พอรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร้อนที่ลากผ่านกระโปรงสีดำบริเวณหน้าขา ใต้โต๊ะที่คงจะไม่มีใครสังเกตเห็น
มือหยาบลูบวนไปมา พาอารมณ์ประหลาดวนเวียนในหัวสมองของหญิงสาวที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของความรักในรูปแบบความหลงใหล ความใคร่ หากเขาไม่เป็นคนพร่ำสอนบทเรียนนี้มาก่อน
“เป็นคนที่ไม่สนขี้ปากใครจริง ๆ นะครับ”
“สายตาใคร พี่ก็ไม่เคยสนใช่ไหม? พุทรา... ‘น้ำส้ม’ อร่อยไหม?” ในถ้อยคำย้ำชัด มือซุกซนเริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ...
ในระดับที่ว่ากลืนน้ำส้มลงคอแต่ละครั้ง เธอรู้สึกว่าขาของเธอกำลังสั่น เพราะมันใกล้ถึงที่ที่เขาไม่ควรลุกลามไปเป็นอันขาด มันไม่ใช่พื้นที่สาธารณะอย่างเช่นที่นี่ที่ใครจะเช็คอินเข้ามารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อไรก็ได้!
“พุดกลับก่อนนะ!” ร่างบางลุกพรวดจากเก้าอี้ พร้อม ๆ กับที่วางน้ำส้มในมือ ไม่สนว่ามันจะหกกระเด็นใส่เสื้อสีขาว คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายพาดบ่าหนีไปอย่างรวดเร็ว ยังกับว่าน้ำส้มสยองแก้วนั้นใส่อะไรลงไป
ข้าวปั้นปลาดิบและอาหารมากมายบนโต๊ะไม่มีอะไรพร่องไปจากจานเลยสักอย่าง ธามไทนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก พยายามจะตามไปแต่ก็ไม่ทัน เขายังไม่รู้ว่าแฟนสาวของตัวเองพักอยู่ที่ไหน ขณะที่ปรเมษฐ์สั่งพนักงานให้ห่ออาหาร ออกจากร้านอาหารไปด้วยท่าทางสบายใจ จนกระทั่งมาถึงห้องแล้วพบว่านัชชาแวะมา
ปรกติสองคนนี้เจอกันแทบทุกวัน เรียนที่เดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เขาถึงได้ตัดสินใจหนีปัญหาหัวใจ ไปทำงานไกลถึงต่างประเทศ เพราะคิดว่าหญิงสาวยังมีเพื่อนรักและแม่อนงค์ โดยไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า...
ปรายลดากลัวการถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะจากพ่อเลี้ยงที่เธอรักมาตลอด เธอจึงเริ่มป่วย เหมือนคราวที่เขาจากไปคราวก่อน
โรคซึมเศร้าเป็นปัญหาสภาวะสังคมในปัจจุบัน ผู้ป่วยจะเป็นโรคซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม ร่างกายอ่อนแอลงในลำดับต่อมา
สมัยมัธยมต้นครั้งหนึ่ง และมัธยมปลายอีกครั้ง ปรายลดามีผลการเรียนอยู่ในระดับตกต่ำจนเกือบต้องซ้ำชั้น หากไม่ได้เพื่อนรักอย่างนัชชาคอยช่วยเหลือ พาไปพบจิตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยา ยังช่วยสะสางงาน กระตุ้นให้ทำงานส่งอาจารย์ให้ครบ ปรายลดาจึงก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต นักศึกษาใกล้จบการศึกษา บางคนก็เริ่มไปฝึกงานบ้างแล้วหากมีเวลา เป็นเรื่องที่นัชชาตั้งใจมาบอกเพื่อนวันนี้ว่าหล่อนคงไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากว่าต้องไปช่วยแม่ดูแลบริษัทผลิตปลากระป๋องยักษ์ใหญ่ ที่คงจะมีคนสืบทอดกิจการแค่คนเดียว
คล้ายหินก้อนใหญ่ที่ฝังระเบิดเวลาเอาไว้หล่นทับลงมา ปรายลดาแสร้งทำฝืนยิ้มว่าเธอไม่เป็นอะไร มองแผ่นหลังของเพื่อนจนลับตา...
“ไม่เป็นไรน่ะ... รายนั้นเดี๋ยวก็แวะมา บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้” ปรเมษฐ์ให้กำลังใจด้วยการยกมือขึ้นวางบนศีรษะ ขยี้เส้นผมสีดำสลวยจนยุ่งเหยิงอย่างที่เคยทำ ก่อนจะปิดประตูห้องลงเบา ๆ ในสีหน้าเฉยชาของหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะไม่คิดอะไร ที่จริงแล้วเธอไม่สบายใจ
นัชชาเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ หล่อนคงจะหวังดี อยากให้เธอได้ปรับความเข้าใจกับพ่อเลี้ยง ต้นเหตุของอาการป่วยทางใจ มันอาจดีกว่ายาหมอที่กินเท่าไรก็ดีขึ้นแค่ไม่นาน
ปรายลดาเคยคิดอยู่ว่าหากเป็นแค่แฟนกัน เลิกกันไปไม่นานก็หายเจ็บ แต่กับปรเมษฐ์...
ความรักของเขาเป็นเหมือนเชือกที่ผูกคอเธอเอาไว้ วันไหนพ่อเลี้ยงใจดี เธอจะได้เป็นทาสที่ถูกจูงให้เดินตามไปง่าย ๆ แต่ถ้าเขาอยากจะฆ่าเธอขึ้นมาก็แค่กระตุกเชือกให้เธอค่อย ๆ ขาดอากาศหายใจไปอย่างช้า ๆ
ดวงตาคู่สวยเชยขึ้นมองวงหน้าคร้ามคมที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ เธอพอจะรู้อยู่ว่าเขาเป็นห่วง “พุดไม่เป็นไรค่ะ พี่เปา... จะอาบน้ำเลยไหมคะ? พี่เอาอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวพุดลงไปเซเว่น ไปซื้อมาให้”
หน้าที่ของเธออีกอย่างคือหาของว่างไว้ให้พ่อเลี้ยง วางไว้บนโต๊ะตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยแบบงานก่อสร้าง บางวันเขาก็นอนดึกอาจถึงเช้าหากต้องโหมงานโปรเจกต์ใหญ่ ๆ บ้างคุยวิดีโอคอลประชุมเรื่องงาน หลายวันนี้เขาแค่ทำตัวเป็นคนว่างงาน ไม่ยอมไปไหนยังทำตัวติดเธอเป็นตังเม
“พุดไม่เป็นไร เพราะมีคนอยู่ด้วย ไม่ใช่พี่ใช่ไหม?” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจตรงข้ามกันกับอีกคน
“พี่เปาห้ามพุดมีแฟนจนกว่าจะเรียนจบ”
“แล้วทำตามที่พี่บอกหรือเปล่า?”
ปรายลดามองลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าครามที่เธอเคยหลงใหล เพื่อสะกดกลั้นความขมขื่นในใจ เธอแค่รู้สึกดี ๆ กับชายหนุ่มที่เข้ามาเยียวยาแผลใจให้ก็เท่านั้น
“พี่ธามเขาดีกับพุด...”
“เลิกกับมันซะ เรียนหนังสือจบค่อยมาคุยเรื่องแฟน เข้าใจที่พี่พูดไหม?”
พอคนตัวเล็กพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ เขาถึงได้เห็นความหดหู่นั้น มันมากพอ ๆ กับแรงริษยาที่ลุกไหม้ดั่งเปลวเพลิงในอก เขาจะต้องจัดการกับไอ้หน้าจืดนั่นแน่ ๆ
“เรา... มีอะไรกับมันหรือเปล่า.. จูบ... มีเซ็กส์..?”
คนถูกเอาผิดกลอกตาไปมาจึงตอบ “เปล่าค่ะ”
“จับมือ กอด หอมแก้ม.. ทำแค่ไหน?”
“จับมือ.. หอม..” เท่านั้น เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เธอรู้สึกกลัวหน้าตาถมึงทึงของคนตรงหน้าจนต้องรีบบอก “เขามาหอม พุดไม่ได้ระวัง”
มันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง และเธอไม่ได้ถือสาอะไร ธามไทไม่เคยล่วงเกินเธอไปมากกว่านั้น ต่างจากอีกคนที่ทั้งจับทั้งลูบคลำ! อย่างในร้านอาหารก่อนหน้านี้ ถ้าเธอไม่วิ่งหนีออกมาก็ไม่รู้ว่ามือปลาหมึกมันจะเลื้อยไปถึงไหน
ปรเมษฐ์กลับทำตัวไร้เดียงสาขณะว่ากล่าวตักเตือน
“พี่บอกเรากี่ครั้งแล้ว เป็นผู้หญิงต้องระวังตัวมาก ๆ ห้ามอยู่ที่ไหนกับผู้ชายสองต่อสอง ใครชวนเข้าห้อง ไปบ้าน อย่าไป จำได้ใช่ไหม?”
“ค่ะ...”
“ต่อไปนี้ พี่จะไปรับไปส่งทุกวัน เหมือนตอนเราเรียนอนุบาลหนึ่งเชียว พุทรา รับโทรศัพท์ด้วย ถ้าไม่รับ...” เสียงเข่นเขี้ยวมาตามไรฟันละคำพูดไว้ในฐานที่เข้าใจว่าคนอย่างเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง! หญิงสาวที่กำลังถูกเอาผิดถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ