Chapter 7
ห้องขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ผสมผสานไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ใช้ห้อง ๆ หนึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและทำงาน ผนังสีขาวกั้นแบ่งแยกเป็นสัดส่วน มีครัวขนาดเล็กและโต๊ะรับประทานอาหารสองตัว
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารฝีมือแม่ครัวคนเดิมจากโต๊ะรับประทานอาหารให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มนั่งลงดีแล้วจึงถาม “พี่แป๋วกับแม่บอกว่าพุดซื้อห้องเองนี่ พี่แต่งให้ใหม่เหมือนเดิมดีไหม?”
“ไม่ค่ะ แบบนี้ดีแล้ว พุดเบื่อสีชมพู” ไม่พูดเปล่า พอนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกันกับเขา เธอมีความคิดบางอย่าง...
“ที่พี่เปาว่าให้พุดเป็นเหมือนเดิม มันควรจะเป็นช่วงเวลาไหนดี? ตอนพุดตัวเล็ก ๆ ตอนสิบขวบ หรือว่า... บนเตียงนอนก่อนที่พี่จะทิ้งพุดไป”
ปรเมษฐ์กลืนน้ำลายลงคอจนเกิดเสียง เขาพยายามทำตัวให้เป็นปรกติในทุก ๆ มื้อเช้า ก้มหน้าตักอาหารเขาปาก
“แล้วแต่พุด... พี่เป็นคนอยากกลับมาอยู่กับพุด พี่จะไปบังคับอะไรพุดได้”
“งั้น... พุดยังไม่หิว พุดจะนั่งเล่นมือถือ ค่อยกินข้าวอีกสิบนาที” ว่าแล้วเธอก็จ้องเขาด้วยแววตาวาววับอย่างท้าท้าย
เสียงกระทบกันของช้อนที่หล่นลงในจานดังเคร้ง! เมื่อภาพของอดีตในวัยเยาว์ของปรายลดาผุดเข้ามาในหัว
“เด็กดีไม่เล่นมือถือเกินสิบนาที”
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่งมาหยุดยืนข้าง ๆ ตาคมเหลือบมองตามอย่างหวาดหวั่น เธอไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้
“พี่... จะกินข้าวยังไง?”
“เมื่อก่อนพี่เปาก็กินได้นี่... ทำไมตอนนี้จะกินไม่ได้” เธอยิ้มอย่างที่เคยคือฉีกยิ้มกว้าง คว้าท่อนแขนใต้ชุดนอนลายขวางไปอีกทาง แล้วหย่อนก้นนั่งลงบนตักแกร่ง โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางมือไว้ที่เดิมคือบนโต๊ะ
ร่างนุ่มหอมในชุดนักศึกษาทำเอาสั่นไปทั้งตัว! ความคิดของชายหนุ่มปรากฏอยู่ในสายตาหื่นกระหาย ซึ่งเขาต้องผ่อนลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง
“พุด... พุดรู้ว่าพี่ไปเพราะอะไร พุดเป็นแบบนี้พี่ลำบากใจนะ”
เธอยิ้มกับคำพูดของเขาแทนที่จะโกรธหรือน้อยอกน้อยใจ มันเป็นยิ้มที่ปรากฏให้เห็นแม้กระทั่งในแววตา “พุดรักพี่เปา... รักจนอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าพุดตายคงไม่ได้เผา พุดบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาลไปละ”
“พี่ไม่ชอบฟังเรื่องตาย...”
“พุดแค่บอก” เธอบอกแล้วอิงแอบกายแนบชิด ซบใบหน้าลงบนแผงอกกว้างกำยำ เพื่อที่จะกดจอสี่เหลี่ยมอย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่ากดมันไปเพื่ออะไร
ใจของเธอพร้อมจะกลับไปเด็กสิบห้าขวบอีกครั้ง เธอชอบที่จะนั่งตักเขาเล่นโทรศัพท์ไปแบบนี้จนหลับ สุดท้ายก็ไม่ได้กินข้าว...
มันจึงเป็นปัญหาใหญ่ของปรเมษฐ์ ในสมัยที่เขายังเป็นเสือผู้หญิง เขาดันมีความคิดอกุศลกับเด็กสาววัยสวยสะพรั่งอยู่บ่อย ๆ และต้องคอยหักห้ามใจเพราะยังมีสำนึกความดีความชั่วอยู่ในใจเสมอ จนต้องหาที่ระบายอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย
ทุกวันนี้เขาแค่กลายเป็นเสือสิ้นลายไร้เขี้ยวเล็บ... ที่กลัวแม้กระทั่งเด็กอายุยี่สิบเอ็ดย่างเข้ายี่สิบสองปี
“พุด... ไม่ต้องเล่นมือถือจนครบสิบนาทีก็ได้มั้ง เดี๋ยวไปเรียนสายหรอก” ตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังครั้งหนึ่ง แล้วหลุบดวงตาสุกใสที่เหลือบขึ้นมองอย่างไม่ได้ให้คำตอบอะไรเขา
กลิ่นหอมอ่อนของเส้นผมสีดำขลับหลังสระไดร์ใหม่ ๆ ใบหน้าสดสวยที่เชยขึ้นมองกรามแกร่งที่มีเคราเขียวครึ้มขึ้นแซม พาเสียงดังสะท้านสะเทือนจากอกของเขาและเธอเกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน
มีบางอย่างเกิดขึ้น...
มันเป็นเรื่องปรกติของผู้ชายที่ยังใช้งานได้เป็นอย่างดี
คนที่นั่งทับมันอยู่เต็มก้นรู้สึกได้ว่าพ่อเลี้ยงแอบซ่อนความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างขนาดไหนไว้ในกางเกงนอน! มันอยู่ในองศาที่คงจะสามารถสอดใส่กันได้อย่างพอดิบพอดีหากไม่มีเสื้อผ้ามาขวางกั้น
เสียงกริ่งดัง... ช่วยชีวิตคนทั้งคู่ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งแข็งไปทั้งตัว โดยเฉพาะตรงนั้น...
“สงสัยปริมจะมารับ... ไม่ต้องกวนพี่แล้วล่ะ ตามสบายนะคะ” เสียงหวานเอ่ยพลันลุกพรวด เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าผ้าอย่างรวดเร็ว ปรายลดาแทบวิ่งออกไปจากห้องของตัวเอง ทิ้งคนข้างหลังไว้กับความหงุดหงิดงุ่นง่านในห้องเปลี่ยว ๆ ลำพัง
ในทุก ๆ วันศุกร์เป็นวันที่นักศึกษาการตลาดระดับชั้นปีที่สามเรียนเสร็จในช่วงบ่าย อาการร้อนรนก้นไหม้นั่งไม่ติดเก้าอี้ทำให้ปรเมษฐ์ต้องบึ่งรถยนต์คู่ใจจากคอนโดมิเนียม มาจอดรออยู่ข้างตึกคณะก่อนเวลาเลิกเรียน หลังจากที่เขาได้โทรไปถามนัชชาว่าเธอกำลังรับประทานยาอะไรกันแน่
กว่าจะเค้นคอเอาความจริงมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่นัชชาปกปิดความลับนี้ให้เพื่อนมานาน หล่อนระเบิดอารมณ์ใส่ตัวต้นเหตุอย่างเขา จึงค่อยยอมบอกว่าปรายลดาเป็นโรคเครียดสะสม ร้องไห้อยู่บ่อย ๆ จนต้องรับประทานยาระงับประสาท และยาต้านซึมเศร้า...
ก็คงจะเป็นโชคดีที่แม่ม่ายผัวตายไม่ตัดสินใจคล้องคอบนขื่อบ้านอย่างที่แม่อนงค์บอก เขายังเผลอดีใจไปว่าเธอขาดเขาไม่ได้ กระทั่งพบว่าเหตุผลทั้งหมดมันหักลบกลบกันไม่มีเหลือ
ท่าทางกะหนุงกะหนิง หัวเราะคิกคักของสองหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันมาถึงหน้ารั้วมหาวิทยาลัยพาเปลวโทสะในดวงตาคู่คมลุกโชน ปรเมษฐ์กระโจนกายออกจากรถยนต์ที่จอดรออยู่หลายนาน มือกระแทกประตูรถยนต์ให้ปิดลงจนเกิดเสียงดัง ไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าคนทั้งสอง
“สวัสดีครับ คุณพ่อ” นักศึกษาหนุ่มสูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลาเอาการยกมือไหว้เขาในทันที ขณะที่คนรับไหว้ยกมือตามไปอย่างนั้น ใบหน้าคร้ามคมฉาบด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษในน้ำคำ
“ผมมีลูกเลี้ยงคนเดียว ไม่คิดรับลูกเขย ไม่รู้ก็ลองไปถามยัยปริมดูใหม่นะ ผมกับลูกพุทราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือด”
เหมือนชกหน้ากันด้วยหมัดหนัก ๆ! ธามไทไม่รู้มาก่อนว่าพ่อเลี้ยงของเธอไม่ใช่พ่อเลี้ยงแท้ ๆ ยังหน้าเด็กเท่าเด็กนักศึกษา เล่นเอาสาว ๆ เจ้าของรถยนต์แต่ละคนที่เดินมาเหลียวมองคอแทบหลุด คาดว่าคงไม่อยากกลับบ้านกันแล้วทีนี้
ปรายลดาได้แต่ยืนตะลึงงัน สบสายตาคมกริบที่กำลังเชือดเฉือนมายังเธอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการที่ยัยเพื่อนตัวแสบไม่ยอมกลับบ้านด้วยกันเป็นเพราะอะไร และทำไมพ่อเลี้ยงถึงได้มาอยู่ตรงหน้าเธอได้จังหวะพอดิบพอดี
“พุดไปก่อน...”
“ไปกินข้าวกันก่อนสิ ชื่อธามไทใช่ไหม?”
“ครับ” ธามไทยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ใจดีสู้เสือ... โดยไม่ได้รู้ว่าเขาอาจถูกเสือขย้ำตายตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าถ้ำ หากยังขืนจะแย่งลูกเสือตัวนี้ไป
ปรเมษฐ์พานักศึกษาทั้งสองคนขึ้นรถยนต์ เลือกร้านอาหารไม่ไกลจากห้องพักของปรายลดามากนัก ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีในการเดินทาง ด้วยว่าการจราจรยังไม่ติดขัดในช่วงบ่าย
ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ด้านในสุดของร้านมีโต๊ะสี่ที่นั่ง โซฟาติดผนัง ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ในร้าน ปรายลดากลับรู้สึกมันชวนอึดอัดชอบกล
ไม่มีการแนะนำตัวอะไรกันมากมาย ผู้ชายสองคนฟาดฟันกันทางสายตาอย่างดุเดือด สั่งอาหารเหมือนไม่ได้อยากมารับประทานอาหาร ที่จริงก็ตั้งแต่ในรถยนต์ที่เธอได้นั่งเงียบกริบมาตลอดทาง คงเป็นเพราะธามไทได้ยินเรื่องแต่งเสริมเติมแต่งที่เหมือนว่าจะถูกหลอกปั่นหัวจากยัยปริมตัวแสบ
“ผมได้ยินมาว่าพ่อเลี้ยงทำงานที่ฟิลิปปินส์ มาคราวนี้กลับมากี่วันล่ะครับ?”
“งานของผมทำที่ไหนก็ได้ คงไม่กลับไปแล้วล่ะ คิดถึงลูกเลี้ยงน่ะ” เขาตอบแล้วก็หันไปทางคนข้าง ๆ ในท่าทีและน้ำเสียงเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ “อยู่ที่นู่น นอนไม่หลับสักคืน เคยนอนกอดพุดทุกวัน...”
นัยน์ตาคู่สีฟ้าครามลึกลงไปมีเปลวไฟลูกหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะไม่เห็น เลือดร้อน ๆ ของหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีขึ้นหน้าอยู่เหมือนกัน
“ผมกำลังคบกับพุด คุณรู้ใช่ไหม?”
“แล้วยังไง?”
“ผมเคยเลี้ยงปลา... ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จนมันโต ผมไม่เคยคิดจะเอามันมาทำต้มยำกินเลยนะครับ ผมกินมันไม่ลง เพราะผมเลี้ยงมันมากับมือ”
ธามไทสำรวมคำพูดอย่างรักษามารยาทที่สุดแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่ามีคนหนึ่งเริ่มที่จะนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างอึดอัดอยู่ข้าง ๆ พ่อเลี้ยงที่เอ่ยปากชม
“เข้าใจเปรียบเทียบ สมเป็นเด็กการตลาด แต่ว่าเนื้อปลามันคาว... ไม่ได้นุ่ม หอม หวาน จะไปกินลงได้ยังไงล่ะ?”
“ผมไม่อยากให้คนอื่นมองพุดไม่ดี ว่าพุดมีเสี่ยเลี้ยง หรือว่าเลี้ยงต้อย...”
ปรเมษฐ์หรือจะเลิกเลี้ยงต้อย! เป็นเรื่องแซวกันอย่างสนุกปากในหมู่เพื่อนตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปีที่รับอุปการะเด็กสาวคนหนึ่ง ส่งเสียเงินให้ทุกเดือนมาจนถึงทุกวันนี้ เขาคิดมันขึ้นมาแล้วก็ยิ้ม...
รอยยิ้มของเขาช่างไร้ความจริงใจ แน่ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพร้อมจะจัดการผู้ชายทุกคนให้อันตรธานหายไปจากชีวิตของปรายลดา โดยไม่สนวิธีการ
“อายุแค่เท่านี้ ระวังก้างปลาจะทิ่มคอตายนะครับ เก็บอนาคตไว้ไปคบกับคนอื่นเถอะ ผู้หญิงเยอะแยะ คนนี้... พ่อเลี้ยงขอ”