Chapter 6
“พุด.. ไหวไหม? ไปหาหมอนะ เดี๋ยวพี่พาไป” ทั้งน้ำเสียงและแววตาห่วงใย มือหนาวางผ้าลอยน้ำไว้เช่นเดิม
“พุดไม่ได้เป็นอะไรมาก..” เธอพูด สบตาคมตรง ๆ ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ได้ หัวใจของเธอไม่พร้อมที่จะให้เขาเข้ามา และก็จะทิ้งเธอไปอีก
“พ่อเลี้ยงกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ บ้านหลังนั้น... พุดจะไม่กลับไป พ่อเลี้ยงอยากมีชีวิตของพ่อเลี้ยงเอง พ่อไปได้เลย ไม่ต้องห่วงพุด พุดกำลังตั้งตัว พุดสบายเมื่อไร พุดจะตอบแทนบุญคุณพ่อเลี้ยงที่ส่งเสียพุดมาจนโต”
‘พ่อเลี้ยง’ ปรายลดาได้ขีดเส้นไว้อย่างชัดเจนแล้ว อีกคนกลับคิดอีกอย่าง เขาได้ทำผิดมหันต์กับการทอดทิ้งผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งไว้ลำพัง ดวงตาแสบร้อนมีหยาดน้ำอุ่นเอ่อคลอขึ้นมา
“พี่ไม่ไปไหนแล้วพุด... พุดไม่กลับ พี่ก็จะอยู่กับพุดที่นี่ พี่เก็บเสื้อผ้ามาแล้ว พุดอยู่บ้านพี่มายี่สิบกว่าปี พุดคงไม่ไล่พี่ไปจากบ้านพุดใช่ไหม?”
คำพูดของเขากระทบจิตใจแข็งกร้าวจนสั่นสะเทือนเบา ๆ บุญคุณท่วมหัวของเขาคงไม่สามารถที่จะทำให้เธอไล่เขาไปไหนได้
“แม่อนงค์ยังทนพุดไม่ไหว... ถ้าพ่อเลี้ยงทนได้ก็อยู่ไปค่ะ หมอน ผ้าห่มอยู่ในตู้ ไปนอนที่โซฟานะ”
ประกายแห่งความหวังเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีฟ้าคราม “เรียกพี่เปา... เหมือนเดิมได้ไหม? พุด... เลิกโกรธพี่ได้แล้วนะ”
กระแสแห่งความอบอุ่นไหลท่วมหัวใจอ่อนล้าเหนื่อยแรง ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะมีน้ำตาไหลซึมออกมาอีกระลอก
เสียงโทรศัพท์สั่นดังจากกระเป๋าสะพายผ้าใบโปรดบนโต๊ะหัวเตียงหยุดบรรยากาศอันน่าอึดอัดของคนทั้งคู่
ร่างบางค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยได้รับความช่วยเหลือจากอีกคนที่ขยับหมอนขึ้นรองหลังให้ ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า ปลายสายคือเจ้าของรูปภาพของดอกเดซี่ อันหมายถึงความรักบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เธอมองมันครู่เดียวก็รีบรับ
“ว่าไงคะ? พี่ธาม...”
[พุดเป็นไงบ้าง ปริมบอกพี่ว่าเราไม่สบาย]
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยกรอกมาตามสาย ดวงตาคู่สวยกลอกไปมา ใช้ความคิดว่าควรตอบอย่างไรดี เมื่อสีหน้าของคนข้างกายบอกว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ยังพยายามที่จะเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อพยายามเงี่ยหูฟัง
“พุดกินยาแล้ว... ตอนเช้าพุดโทรหาอีกทีนะ”
[ให้พี่ไปรับนะ พุดแชร์โลเคชั่นมาให้พี่หน่อยสิ]
“คือ... พุดไปกับปริมดีกว่า ค่อยเจอกันที่มอนะพี่ธาม แค่นี้ก่อนนะคะ”
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบวางสายเลย ปรายลดาทำตัวเหมือนเด็กน้อยทำความผิด ทั้งที่เคยคุยโทรศัพท์กับธามไทได้เป็นชั่วโมง ๆ เธอสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต เมื่อเงยหน้าขึ้นจากจอสี่เหลี่ยมในมือ ดวงตาคุโชนด้วยไฟโทสะยังคงจ้องเขม็งมายังเธอ
“พุดคุยกับใคร?”
“เพื่อนพุดค่ะ ไว้พุดจะพามาแนะนำให้รู้จัก แม่อนงค์เคยเจอพี่ธามแล้ว ตอนพี่เปาไม่อยู่”
‘ไม่อยู่’ คำสั้น ๆ ช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับเขาที่เกือบจะฆ่าเธอให้ตาย ก้อนแข็งจุกตันคอขึ้นอีกคราวที่เธอทิ้งตัวลงปิดกระบอกตาร้อนผ่าวเพื่อข่มตานอน
เขานั่งอยู่ข้าง ๆ เธอใกล้เพียงเอื้อมมือ โดยไม่พูดอะไรสักคำหลังจากนั้น
ปรเมษฐ์รู้สึกผิดที่ทำร้ายเธอมากพอ ๆ กับความโกรธที่มีเพราะแรงริษยา ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววเหี้ยมโหดที่ไม่ได้เห็นมานานนับปี
ไม่มีวันซะหรอก! ถ้าลูกพุทราที่เข้าเฝ้าทะนุถนอมมาแต่เล็กจนโตจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน คงจะต้องข้ามศพพ่อเลี้ยงอย่างเขาก่อน
ปรายลดาเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณเสมอ แม้ยังมีความรู้สึกขุ่นเคืองใจพ่อเลี้ยงอยู่ เธอเคยทำหน้าที่ดูแลเขาอย่างไร ยังทำเหมือนเดิมไม่มีขาดตกบกพร่อง
แต่เช้ามาไข้ที่ลดลงมากแล้วทำให้พอลุกไหว เธอจึงเข้าครัวไปทำอาหารง่าย ๆ เอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทางของเขาใส่ไม้แขวนไว้อีกฝั่งถัดจากเสื้อผ้าของเธอ ของใช้ผู้ชายก็นำไปไว้ในห้องน้ำ วางข้าวต้มลงบนโต๊ะแล้วครอบฝาไว้
การกระทำทุกย่างก้าวอยู่ในแววตาคู่คมเข้มประกายจรัสคู่หนึ่งของคนที่นอนเหยียดกายอยู่บนโซฟาในชุดทำงานชุดเดิมของเมื่อวาน
ความร้อนรุ่มในเรือนกายชายแกร่งสะสมมาร่วมสองเดือน กับการที่เขาต้องไปอยู่คนเดียวลำพัง ไกลถึงเกาะสวรรค์อย่างปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ มันเหมือนน้ำเดือด ๆ ในกระติกน้ำร้อนที่ใส่น้ำเยอะเกินไป
มันอาจจะระเบิด... หรือเครื่องพังตอนไหนก็ได้
ปรเมษฐ์คิดว่าเธอน่าจะรู้...
จากขอบตาแดงช้ำใต้ดวงตาคู่สวยที่ยังคงลอบมองโซฟาหน้าโทรทัศน์จอแอลซีดีอยู่บ่อย ๆ ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเสือโหย ดูท่าทางว่าจะอยากเป็นอาหารเสืออีกต่างหาก
ร่างบางในชุดนักศึกษาค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาข้างคนที่นอนขี้เกียจอยู่กับผ้านวมหนา “พี่เปาจะกินข้าวเลยไหม? จะกินน้ำอะไร พุดจะลงไปเซเว่น ไปซื้อให้”
“พี่กินแค่ข้าวพุดก็พอแล้ว เราน่ะ.. ไปเรียนไหวหรือไง พี่ว่าไปหาหมอก่อนไหม? เรียนเมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่ไหวก็ดรอปไปก่อน”
“พุดไปหาหมอมาแล้วค่ะ พุดมียากิน ยังไงก็ต้องไป พุดอยากเรียนจบไว ๆ” ในประโยคหลังกระตุกหัวใจอยู่ไม่น้อย หากว่าสาวน้อยของเขาจะไปมีชีวิตของตัวเองเหมือนที่เธอกำลังทำ จะอย่างไร ความเป็นห่วงนั้นมีมากกว่า
เมื่อปรายลดาพยายามปกปิดอาการป่วยไว้ด้วยเครื่องสำอางอ่อน ลิปสติกสีชมพูหวาน เป็นอะไรที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
“พุดไปหาหมอตอนไหน กินยาอะไร?”
คนถูกถามเงียบไปครู่จึงตอบ “พุดเป็นไข้บ่อย กินยาเดิมนั่นแหละ อาการมันเหมือนเดิม”
“เป็นไข้อะไรบ่อย ๆ ?” ในสีหน้าสงสัย ปรเมษฐ์คงไม่ปล่อยเธอไปง่าย ๆ จนกว่าเขาจะได้คำตอบ “เราปิดบังอะไรพี่?”
“พุดไปเรียนก่อน ค่อยกลับมาคุยได้ไหมคะ?”
“มีเรียนกี่โมงล่ะ? มออยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ไม่ใช่เหรอ”
นิสัยของปรายลดาคือตื่นก่อนเวลาไปโรงเรียนหลายชั่วโมง เพราะต้องทำหน้าที่แม่บ้าน แม่ครัว ที่เธอต้องยอมเหนื่อยขนาดนั้นเพราะถ้าไม่มีปรเมษฐ์แล้ว ในวันที่พ่อปองกานต์ทิ้งเธอไป เธอคงจะต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า ไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ มีชีวิตสุขสบายขนาดนี้
เธอผ่อนลมหายใจออกครั้งหนึ่ง “พุดอยู่ก่อนก็ได้... พี่เปาจะกินข้าวก่อนไหม? พุดเก็บของของพี่เปา ทำกับข้าว ทำอะไรเสร็จหมดแล้ว”
ในน้ำเสียงอ่อนลงเป็นคนละคนกับหญิงสาวที่โกรธจัดเอาแต่ร้องไห้เมื่อวาน ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นนั่งบนโซฟานุ่มที่นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน สะบัดผ้าห่มออกวางไว้ข้างกายลวก ๆ
“เรากินข้าวกินยาให้เรียบร้อย เดี๋ยวพี่จะไปส่ง...”
“ค่ะ” คำตอบสั้น ๆ ในสีหน้านิ่งเรียบมีความไม่พอใจแฝงอยู่ ผ้านวมหนาที่เขาสะบัดไป เธอแค่ลุกขึ้นไปพับมันให้เรียบร้อย
ปรายลดาควรจะบ่นว่าทำไมเขาถึงได้เป็นผู้ชายซกมก ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่บ่นอะไรสักคำ ชายหนุ่มตาละห้อยมองตามท่าทางเย็นชาไร้เยื่อใย กระทั่งว่าเธอเก็บผ้าห่มหมอนของเขาเสร็จ
“พุด... ยังโกรธพี่ใช่ไหม?”
“พุดจะมีสิทธิ์อะไรไปโกรธพี่เปา.. พี่จะอยู่หรือไป พุดเป็นแค่ลูกเลี้ยง พุดทำได้แค่อยู่ตรงนี้ หน้าที่ของพุดคือเรียนหนังสือให้จบ” เธอมั่นใจในคำพูดของตัวเองทุกถ้อยคำและยังทำหน้าที่ของตัวเองดี แม้ความอดทนใกล้สิ้นสุดลงเต็มทีกับทุก ๆ ครั้งที่เขาทิ้งเธอไปและกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่จะไม่ไปไหนแล้ว กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะพุด เลิกโกรธอะไรไร้สาระน่ะ” ปรเมษฐ์ไม่ขอโทษ ยังไม่ชอบการอ้อนวอนใคร ใบหน้าสดสวยชะงักนิ่ง หม่นหมองกว่าเก่าขณะแค่นยิ้ม
“แน่ใจหรือคะ... ว่าพี่เปาจะเป็นได้?”
คำถามเจือแววเจ็บปวดสร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นในใจชายหนุ่ม ยิ่งปรายลดาเยือกเย็นจนดูเหมือนว่าเธอไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
“พี่ทำมันไม่ได้หรอก... เชื่อพุดสิ...”
“ก็คอยดูไปละกันว่าพี่จะดูแลเราเหมือนเดิมไหม ไปกินข้าว กินยาได้แล้ว” น้ำเสียงเคร่งขรึมยืนกรานว่าห้ามโต้แย้งใด ๆ เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะรับประทานอาหารไม่กี่ก้าว